หลังหย่าเธอกลายเป็นมหาเศรษฐี
เฝิงหยุนเหนียนเดินก้าวใหญ่ ๆ เข้ามายังห้องโถง แล้วก็เดินตรงไปเพื่อประคองมู่จือหนิงขึ้นมา
หลังจากนั้น แววตาของเขาก็แข็งทื่อเขามองไปที่เซิ่งเกออย่างผิดหวัง “เดิมทีคิดว่าหย่ากันแล้วเธอจะทำตัวดี ๆ ไม่คิดเลยว่าเธอจะใช้วิธีสกปรก ๆ แบบนี้ น่าขยะแขยงที่สุด ทีแรกฉันว่าจะยกวิลล่าหลังนี้ให้เป็นชื่อของเธอ แต่ดูเหมือนว่าคงจะไม่จำเป็นแล้วล่ะ”
“อาหยุน อย่าไปต่อว่าเซิ่งเกอเลยนะคะ เป็นเพราะฉันไปทำให้เธอโมโห เธอถึงได้พลั้งมือผลักฉัน ทุกอย่างมันเป็นความผิดของฉันเอง คุณด่าฉันแทนเถอะ”
มู่จือหนิงซบอยู่ในอ้อมอกของเขาด้วยท่าทางอ่อนแอ ทำทีท่าว่ารู้สึกผิด แล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำทำให้ดูน่าสงสาร แต่ตอนที่เธอชำเลืองมองไปที่เซิ่งเกอ เธอกลับแสดงสีหน้าอย่างผู้ชนะออกมา
สีหน้าของเฟิงหยุนเหนียนดูเย็นชามาก เขาพูดกับเซิ่งเกอด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงการออกคำสั่งว่า “ขอโทษอาหนิงซะ เดี๋ยวนี้”
เหอะ ต้องการให้เธอขอโทษงั้นเหรอ?
น่าโมโหจริง ๆ
เซิ่งเกอกวาดตามองคนสองคนที่รักกันปานจะกลืนกิน แล้วก็ยิ้มออกมา จากนั้นก็ดึงมู่จือหนิงออกมาจากในอ้อมแขนของเฟิงหยุนเหนียนอย่างอ่อนโยน
ตอนแรกคิดว่าเธอจะโกรธ แลัวก็เถียงขึ้นมาซะอีก แต่กลับไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะยังคงยิ้มได้อยู่อีก?
สีหน้าของมู่จือหนิงเต็มไปด้วยความสงสัยมาก เธอไม่เข้าใจว่าสรุปแล้วเซิ่งเกอต้องการจะทำอะไรกันแน่ จนทำให้เธอลืมที่จะต่อต้านไปชั่วขณะ แล้วก็ปล่อยให้เซิ่งเกอดึงเธอไป
เพียะ——
“โอ๊ย!”
เสียงกรีดร้องน่าอนาถกว่าเมื่อกี้นี้เป็นร้อยเท่า มู่จือหนิงเอามือกุมหน้าบวม ๆ ของเธอเอาไว้ แล้วก็ล้มลงไปกับพื้นอย่างแรง
เซิ่งเกอใช้แรงเกือบทั้งหมดที่มีของเธอในการตบครั้งนี้ เธอตบแรงจนฝ่ามือของเธอเองก็ชาไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามู่จือหนิงที่ถูกตบนั่นน่าจะเจ็บปวดมากจริง ๆ
ใบหน้าของเซิ่งเกอยังคงเผยรอยยิ้มอยู่ เธอดูไม่แยแสจนน่าประหลาดใจ แล้วก็ดูไม่เหมือนกับเป็นคนที่เริ่มลงมือตบก่อนเลยสักนิดเดียว
เธอก้มมองไปที่มู่จือหนิงที่อยู่บนพื้น แล้วก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ในเมื่อเธอบอกว่าฉันรังแกเธอ งั้นถ้าฉันไม่ตบเธอจริง ๆ สักที แล้วฉันจะช่วยเธอพิสูจน์การกระทำที่ชั่วร้ายของฉันได้ยังไง?”
มู่จือหนิงนั่งอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรง น้ำตาคลอเบ้า ร้องไห้กระซิก ๆ ขึ้นมาเบา ๆ
เฟิงหยุนเหนียนไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเซิ่งเกอจะกล้าลงมือต่อหน้าต่อตาเขาแบบนี้ ทำให้แวบแรกเขาถึงกับลืมที่จะดึงมู่จือหนิงขึ้นมา
สีหน้าของเขาดูขึงขังมาก เขาจ้องมองไปที่เซิ่งเกออย่างบีบบังคับ “ไม่เพียงแต่ไม่ขอโทษ แต่เธอกลับทำรุนแรงกว่าเดิม! นี่เธอกำลังทดสอบขีดจำกัดความอดทนของฉันอยู่ใช่ไหม? !”
“คุณคิดมากไปแล้ว คุณเฟิง”
เซิ่งเกอโบกมือไปมา ใบหน้าของเธอเผยรอยยิ้มที่สดใสมากขึ้น
“ยังไงเราก็เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน ก่อนที่จะจากกัน ฉันขอมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับคุณอีกอย่างก็แล้วกัน!”
ขณะที่เธอพูด เธอก็หยิบเอกสารปึกหนาออกมาจากกระเป๋า แล้วก็ขว้างไปที่หน้าของเฟิงหยุนเหนียน
แล้วกระดาษสีขาวเหมือนหิมะก็โปรยปรายไปทั่วท้องฟ้า
เฟิงหยุนเหนียนหยิบมั่ว ๆ มาใบหนึ่ง แล้วก็เห็นว่าในกระดาษเป็นบันทึกข้อความสั้น ๆ ที่เต็มไปด้วยคำเยาะเย้ยถากถาง ถ้อยคำที่ใช้บ่งบอกถึงความเย่อหยิ่ง ตอนที่เขาอ่านหมายเลขที่ไม่ได้ลงชื่อของผู้ส่งในใจ เขาก็รู้สึกช็อคมาก
เมื่อพลิกไปด้านหลังเป็นหลักฐานเกี่ยวกับการที่เขาถูกวางยาเมื่อคืนนี้ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างเป็นหลักฐานที่ชัดเจนมาก จนทำให้สามารถสรุปได้ว่าหลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่คน ๆ เดียว ซึ่งก็คือมู่จือหนิงนั่นเอง
เฟิงหยุนเหนียนขมวดคิ้วแน่น แล้วก็มองไปที่มู่จือหนิงที่อยู่บนพื้นด้วยสายตาที่น่ากลัว
ส่วนมู่จือหนิงก็เพิ่งจะอ่านเนื้อหาบนกระดาษจบพอดี สีหน้าของเธอซีดเผือด
ความจริงแล้วเธอเป็นคนสั่งให้คนไปใส่ยาลงในไวน์ของเฟิงหยุนเหนียนเอง แถมเธอยังโทรไปหาเฟิงหยุนเหนียน เพื่อขอให้เขามาหาเธอที่โรงแรม แต่แล้วเธอกลับไม่คาดคิดว่าคนขับรถจะทำงานผิดพลาด ไปส่งเขาที่วิลล่าแทน ทำให้คนที่โดนปู้ยี้ปู้ยำกลายเป็นเซิ่งเกอไปซะได้!
ด้วยความที่เธอรู้สึกโกรธมาก ตอนแรกเธอจึงแค่อยากจะส่งข้อความไปทำให้เซิ่งเกอต้องเจ็บช้ำน้ำใจเท่านั้น
แต่แล้วใครจะไปรู้ล่ะว่า ครั้งนี้เซิ่งเกอจะกล้าเผชิญหน้ากับเธออย่างนี้!
แล้วหยุนเหนียนจะมองเธอยังไง......
ก่อนที่เธอจะทันได้โต้เถียง เซิ่งเกอก็ถือกระเป๋าเดินทางที่แพ็คของใส่ไว้เรียบร้อยแล้วขึ้นมาแล้ว ก่อนที่จะจากไป เธอยังมองไปที่ผู้ชายที่เธอเคยรักเป็นครั้งสุดท้ายอีกด้วย
“เฟิงหยุนเหนียน คุณจำเอาไว้นะว่า คนที่หย่าไป และต้องถูกทอดทิ้งนั้นไม่ใช่ฉัน แต่เป็นคุณ! เพราะฉันไม่ได้ต้องการคุณอีกแล้ว แล้วตระกูลเฟิงของคุณก็ไม่คู่ควรกับฉันด้วย!”