เจ้าสัวลึกลับกับเจ้าสาวบังเอิญ
หลายวันต่อมา ชูจี้สวมเสื้อสายเดี่ยว และกระโปรงลูกไม้สีขาวเรียบ ๆ ยืนอยู่ในโบสถ์เล็ก ๆ ในเขตชานเมือง
เธอกำลังจะแต่งงาน
กับผู้ชายที่เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
เธอไม่ได้เช่าชุดแต่งงาน เพราะไม่อยากเปลืองเงินโดยใช่เหตุ เธอต้องเอาเงินเก็บทั้งหมดไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ยายซุน
เธอซื้อดอกยิปโซสีขาวราคาห้าสิบบาทมาจากร้านดอกไม้ และขอริบบิ้นสีขาวของเจ้าของร้านเพื่อเอามามัดผมด้วย ใบหน้ารูปไข่ ทำให้เธอดูสง่าอย่างงดงาม
ได้ฤกษ์แต่งงานแล้ว แต่เจ้าบ่าวยังไม่มา สถานที่จัดงานนั้นดูโล่ง เนื่องจากมีคนมาร่วมงานน้อยมาก
หลินปินปลอบชูจี้เบา ๆ “ไม่ต้องกังวลนะ รถอาจจะติด รออีกหน่อยเถอะ”
ชูจี้เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
เธอเคยได้ยินเรื่องของผู้ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยมาบ้าง เขาชื่อลู่เหยี่ยน ไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง
การที่จะต้องมาแต่งงานกับผู้ชายแปลกหน้าแถมยังไม่ได้เรื่องแบบนี้ ทำให้ชูจี้รู้สึกไม่สบายใจ แต่เธอก็ไม่มีทางเลือก
“ทำไมครอบครัวเจ้าบ่าวไม่มีใครมาเลยล่ะ?” รั่วเฟยขมวดคิ้วแน่น พลางมองไปที่ลานเล็ก ๆ ที่มีคนอยู่ไม่กี่คน วันนี้เธอมาในตรีมหวานแหวว ด้วยชุดกระโปรงยาวสีม่วงอ่อน แต่งหน้าอ่อน ๆ เหมือนนางเอกในละครทีวี
ดูเหมือนว่าตระกูลลู่นั้นไม่ได้สนใจเรื่องงานแต่งงานเลย แต่ชูจี้ก็ไม่ได้สนใจอะไรเช่นกัน เธอห่วงก็แต่ค่ารักษาพยาบาลของยายซุนเท่านั้น
ชูจี้ถามรั่วเฟยเบา ๆ ว่า “หลังจบพิธีแต่งงาน คุณจะให้เงินฉันทันทีใช่ไหมคะ?”
เธอรับปากพ่อแม่บุญธรรมของเธอ และยอมแต่งงานเพื่อแลกกับเงินค่ารักษาพยาบาลของยายซุน เพื่อรักษาชีวิตของยายซุนไว้
“ครอบครัวเดียวกันแท้ ๆ แกจะพูดเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อะไรนักฮะ ไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า ฉันจะให้เงินแกแน่นอน เลิกถามได้แล้ว” น้ำเสียงที่นุ่มนวลของรั่วเฟยนั้นดูจะไม่ค่อยพอใจนัก
และตอนนั้น ชูเสวก็เดินเข้ามา
เธอเดินควงแขนเข้ามากับจือหยวน ด้วยชุดสั่งตัดสุดหรูดูแพง
ชูเสวเดินตรงเข้าไปหาหลินปิน กับรั่วเฟย ด้วยสีหน้าพึงพอใจ เธอแย่งแฟนของชูจี้มาได้ และชูจี้กำลังจะได้แต่งงานกับลูกนอกสมรสที่แสนจะยากจน
จือหยวนมองไปชูจี้ในชุดกระโปรงยาวสีขาว เขารู้สึกเสียดายอยู่เต็มหัวใจ
เพราะเขาทรยศเธอ ผู้หญิงที่เขารักเลยต้องไปแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น
เดิมทีวันนี้เขาไม่ได้อยากมา แต่ชูเสวบังคับให้เขามา พอรู้ว่าชูเสวท้อง เขาก็จำเป็นต้องอยู่กับเธอ
ตั้งแต่เดินเข้าประตูมา จือหยวนก็มองชูจี้อย่างไม่วางตา ชูเสวไม่อาจทนได้
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ใดที่มีชูจี้อยู่ ทุกคนก็จะสนใจแต่เธอเท่านั้น
ความอิจฉาขึ้นมากระจุกอยู่ที่อก นิสัยเอาแต่ใจของเธอก็ผุดขึ้น “ถ้ายังกล้ามองอีกฉันจะควักลูกตาคุณออกมาซะ อีผู้หญิงชั้นต่ำแบบนั้นมีอะไรน่าดูนักหนา?”
เมื่อตะคอกจือหยวนเสร็จ เธอก็หันไปเยียดชูจี้เบา ๆ “ทำไมเจ้าบ่าวยังไม่มาอีกล่ะ? งานแต่งงานตัวเองแท้ ๆ ยังมาสายได้ คงเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องจริง ๆ นั้นแหละ แม้แต่ครอบครัวของฝ่ายเจ้าบ่าวยังไม่มีใครมาเลยสักคน ดูเหมือว่าจะไม่มีใครให้ความสำคัญไอ้ลูกนอกสมรสนั้นเลยสินะ”
ถ้าชูเสวพูดแบบนี้ที่บ้านคงไม่มีใครตำหนิเธอ แต่นี่มันเป็นที่สาธารณะและเธอก็เป็นน้องสาวของเจ้าสาวด้วย เมื่อได้ยินเธอพูดจาหยาบคายแบบนี้ ผู้คนต่างก็พากันซุบซิบเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้น
ชูจี้ยกกระโปรงขึ้น และก้าวไปข้างหน้า แต่ก่อนไม่ว่าชูเสวจะพูดจาก้าวร้าวแค่ไหน เธอก็ไม่เคยว่าอะไร สายตาเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แล้วเธอก็พูดออกมาว่า “ชูเสว คำก็ลูกนอกสมรส สองคำก็ลูกนอกสมรส ก่อนจะพูดอะไรช่วยดูสถานที่ และระวังปากเธอด้วย แม้แต่มารยาทขั้นพื้นฐานก็ไม่มีเลยงั้นเหรอ?”
ชูเสวถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง เธอไม่เคยเห็นชูจี้มีท่าทางแบบนี้มาก่อน ปกติชูจี้จะไม่ต่อปากต่อคำแบบนี้
ขณะโบสถ์ตกอยู่ในความเงียบ ทันใดนั้นประตูโบสถ์ก็ถูกเปิดออก
ท่ามกลางแสงอันเจิดจ้า ชายหนุ่มรูปร่างสูงยาวเข่าดีก็เดินเข้ามา
พอประตูโบสถ์ปิดลง ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเข้มของเขากำลังกวาดสายตามองไปข้างหน้า เขาเม้มปากแน่น มือกำลังติดกระดุมเสื้อสูทสีดำอย่างเร่งรีบ
ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลาอย่างไม่มีที่ติ ราวกับเทพบุตรจำแลงลงมา สะกดสายตาทุกคู่ให้หันมามองที่เขาเป็นตาเดียว