Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
ฉันเรียกมันว่าพรมลิขิต

ฉันเรียกมันว่าพรมลิขิต

Benja

5.0
ความคิดเห็น
488
ชม
10
บท

หญิงสาวผู้ไม่เคยมีความรักมาก่อน จนเธอได้มาพบกับเขาและได้ตกหลุมรักเขา และเขาก็ตกหลุมรักเธอเช่นกัน แต่ความรักของเธอไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทำให้เธอต้องพบกับความผิดหวัง แต่แล้วในความโชคร้ายก็มีแสงสว่างเข้ามาฉุดเธอให้หลุดพ้นจากตรงนั้น

บทที่ 1 วันเปิดเทอมวันแรก

บรรยากาศในเช้าวันนี้เป็นเช้าที่สดใส ผู้คนมากมายต่างออกมาเพื่อดำเนินชีวิตไปตามแต่ละแบบของแต่ละคน

แสงแดดยามเช้าสาดส่องไปที่รั้วกำแพงสีขาวที่ทอดตัวยาวเป็นแนวเห็นได้มาแต่ไกล ภายในรั้วกำแพงเป็นอาคารตึกเล็กใหญ่สลับกันไป อีกทั้งมีสระน้ำกว้างใหญ่อยู่ตรงกลางและยังรายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่คอยให้ความร่มรื่นอยู่ริมสระ ตามทางเดินก็เต็มแน่นไปด้วยหนุ่มสาวที่กำลังเดินทางกันเข้ามาในที่แห่งนี้

หนึ่งในนั่นก็คือริสาสาวน้อยคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในรั้วกำแพงสีขาวแห่งนี้ ที่นี้ก็คือมหาวิทยาลัย และวันนี้ก็เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของภาคเรียน

หญิงสาวแต่งชุดนักศึกษามาอย่างเรียบร้อย เธอจัดได้ว่าเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี รูปร่างสมส่วน ผิวพรรณสีน้ำผึ้ง ริสาเดินมองซ้ายมองขวาชื่นชมความงามของต้นไม้ดอกไม้ที่กำลังผลิดอกสีสันสวยสดใสอยู่ริมสระน้ำ และทันใดนั้นเธอก็ต้องหยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกำลังเรียกชื่อเธอได้ยินมาแต่ไกล

"ริสา ริสา ทางนี้จ้า" เสียงเล็กๆใสๆของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังยืนเรียกริสาอยู่ที่ใต้ร่มต้นไม้

เมื่อริสาได้ยินและหันไปมอง ทำให้เธอถึงกับยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนเรียกชื่อเธอมาแต่ไกล ริสารีบเร่งฝีเท้าของตัวเองเพื่อจะไปหาเจ้าของต้นเสียงที่เรียกชื่อเธอมาแต่ไกล

"คิดถึงจังเลยลินดาเพื่อนรัก" ริสาพูดด้วยน้ำเสียงดีใจและสวมกอดเพื่อนของเธอด้วยความคิดถึง

"ฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกันริสา ว่าแต่ทำไมเธอเพิ่งมาถึงเนี่ย รู้มั้ยว่าจะสายแล้วเดี่ยวก็เข้าเรียนกันไม่ทันหรอก"

"ก็ฉันกำลังเดินดูความเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยเรานะสิว่าช่วงที่พวกเราปิดเทอมไปมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็เท่านั้นเอง" ริสาพูดไปก็หันมองรอบๆข้างไป

"ฉันว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก มหาวิทยาลัยก็ยังเป็นมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม แต่ที่รู้ๆที่เปลี่ยนไปแน่นอนก็คือเราสองคนไงริสา ที่ตอนนี้เรานะขึ้นปี 4 แล้วนะ อายุก็แก่ขึ้นอีกปีหนึ่งแล้ว" ลินดาพูดไปก็ทำท่าทางตลกไป แล้วทั้ง 2 คนก็พากันเดินไปห้องเรียนและชวนกันพูดคุยตลอดทางด้วยความคิดถึง ริสาและลินดาเป็นเพื่อนกัน ทั้งคู่สนิทสนมกันมากเนื่องจากเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ปี 1 และตอนนี้ทั้ง 2 ก็เรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้ว จึงมีความสนิทสนมกัน เมื่อทั้งริสาและลินดาเดินมาถึงห้องเรียนภายในห้องก็มีเพื่อนๆนักศึกษาด้วยกันอยู่เต็มห้องเรียนต่างพูดคุยสนทนากันเสียงดังเพราะไม่ได้เจอกันนานในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ต่างมีเรื่องเล่าสู่กันฟังมากมาย ในระหว่างที่รออาจารย์เข้ามาสอน ทั้งคู่เดินมาหาที่นั่งว่างๆ2โต๊ะติดกัน และนั่งลงตรงนั้นเพื่อรอเวลาเรียน ไม่นานก็มีหญิงสูงวัยแต่งชุดกระโปรงยาวเลยเข่าเป็นลายผ้าไทยสีน้ำตาลอ่อนทั้้งชุดดูเหมาะสมกับวัยของผู้สวมใส่ยิ่งนัก และได้เดินเข้ามาในห้องเรียนที่ริสาและลินดานั้งอยู่

เมื่อหญิงสูงวัยผู้นี้เดินเข้ามาในห้องเรียน เสียงพูดคุยของเหล่านักศึกษาทั้งชายและหญิงต่างเงียบลงทันที หนึ่งในนักศึกษาคนหนึ่งเป็นเสียงผู้ชายกล่าวขึ้นว่า

"นักศึกษาทำความเคารพ" ทุกคนพอได้ยินเสียงต่างพูดจาสวัสดีครับ สวัสดีค่ะ หญิงสูงวัยที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนคืออาจารย์ที่เข้ามาสอนในวันนี้ ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตาตั้งใจเรียน รวมถึงริสาและลินดาด้วย

บรรยากาศในการเรียนเริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากที่ได้ปิดภาคเรียนไป วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกทุกคนต่างตื่นเต้นที่ได้มาเรียนในวันแรกหลังจากหยุดเรียนกันไปหลายวัน วันนี้ทั้งริสาและลินดามีวิชาเรียนกันจนถึงตอนบ่ายของวัน หลังจากเรียนเสร็จริสากำลังเตรียมเก็บเอกสารอุปกรณ์การเรียนของเธอเพื่อเตรียมตัวออกจากห้องเรียนเพื่อจะเดินทางกลับที่พัก ส่วนลินดาก็กำลังเก็บเอกสารเตรียมตัวจะกลับเช่นกัน ทั้งคู่เดินออกจากห้องเรียนเพื่อจะเดินทางกลับ ระหว่างทางเดินที่เดินมาเรื่อยๆลินดาเอ่ยปากชวนริสา

"ริสา วันนี้เลิกเรียนแล้วริสามีธุระอะไรที่จะไปทำต่อหรือเปล่าจ๊ะ" ลินดาเอ่ยถามเพื่อนของเธอด้วยน้ำเสียงที่มีความหวัง เมื่อริสาได้ยินที่เพื่อนถามก็ตอบกลับไปว่า "วันนี้ไม่มีจ๊ะ ก็กะว่าจะกลับบ้านเลยจ๊ะ มีอะไรหรือเปล่าลินดา" ริสาถามกลับลินดาด้วยน้ำเสียงและแววตาที่สงสัยในคำถามของเพื่อนของเธอ ส่วนลินดาเมื่อได้ยินที่ริสาถามกลับมาเธอก็เอ่ยตอบไปว่า

"ฉันว่าวันนี้ถ้าริสาไม่มีธุระอะไรที่ไหน ฉันกะว่าจะชวนริสาไปทานข้าวเย็นที่บ้านของฉัน พอดีวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ที่บ้านคุณแม่ทำกับข้าวไว้หลายอย่าง ท่านบอกไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าก่อนที่ฉันจะมามหาวิทยาลัยแล้วละ ว่าวันนี้ให้ชวนริสามาทานข้าวเย็นที่บ้านเราด้วย" ลินดาบอกริสา

"เกรงใจคุณแม่กับคุณพ่อของเธอจังเลยลินดา ที่ท่านคิดถึงฉันและเอ็นดูฉันเสมอ" ริสาบอกและยิ้มให้กับเพื่อนของเธอ

"ถ้าริสาไม่ติดอะไร ไปทานข้าวที่บ้านฉันนะ" ลินดาเอ่ยปากชวนเพื่อนอีกครั้ง

"ได้เลยจ๊ะลินดา แต่ก่อนไปบ้านเธอฉันขอแวะซื้อของไปฝากคุณพ่อคุณแม่เธอหน่อยนะ เพราะฉันก็ไม่ได้ไปเจอท่านทั้ง2นานแล้ว" ริสาพูดกับลินดา

ทั้งสองเดินออกมาหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อเรียกรถแท็กซี่ สักพักก็มีรถแท็กซี่คันสีเขียวเหลืองขับผ่านมาจอดที่ทั้ง2คนยืนอยู่พอดี ทั้ง2คนจึงขึ้นรถแท็กซี่คันนั้นและบอกให้ไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยที่พวกเธอเรียนอยู่นัก ไม่นานทั้งริสาและลินดาก็มาถึงห้างสรรพสินค้า

ทั้ง2จึงพากันเดินเข้าไปในห้างแห่งนั่น และเดินมุ่งตรงไปยังที่ตั้งขายผักและผลไม้สด ที่นั่นเต็มไปด้วยผักและผลไม้ที่มีทั้งของไทยและที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ วางเรียงรายเต็มไปหมด ริสาเดินตรงไปยังที่จัดวางส้มและแอปเปิล ริสาหยิบส้มและแอปเปิลใส่ตระกร้า ข้างๆกันมีสตรอเบอรี่ องุ่น เธอก็หยิบลงตระกร้ามาอย่างละเท่าๆกัน โดยมีลินดาคอยช่วยหยิบเลือกอยู่ใกล้ๆ เมื่อริสาเลือกผลไม้เสร็จเธอก็นำไปให้พนักงานช่วยจัดใส่กระเช้าผลไม้และตกแต่งให้สวยงามสำหรับนำไปให้คุณพ่อคุณแม่ของลินดา ไม่นานนักพนักงานก็จัดผลไม้เสร็จได้กระเช้าผลไม้ขนาดกำลังพอดีไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป ริสามองดูด้วยความพอใจในฝีมือการจัดกระเช้าของพนักงานที่รู้จักตกแต่งใช้ใบไม้ ดอกไม้ และริปบิ้นสีมาตกแต่งให้กระเช้าผลไม้ใบนี้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น

ทั้งริสาและลินดาใช้เวลาอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ไม่นาน ทั้ง2คนก็เดินออกมาหน้าห้างสรรพสินค้าเพื่อจะเรียกรถแท็กซี่ไปบ้านของลินดากัน

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

ทัณฑ์สวาทเมียบำเรอ

ทัณฑ์สวาทเมียบำเรอ

เทียนธีรา
5.0

เมื่อเด็กที่อยู่ในอุปการคุณของผู้เป็นบิดาทำท่าว่าจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นแม่เลี้ยงของเขา ภาคิม วัชรอาชา ผู้ชายที่แสนจะหยิ่งยโสจึงยอมไม่ได้ สู้ให้บิดามีนางบำเรอเป็นร้อยเหมือนกับนางในฮาเร็มของสุลต่านยังจะดีเสียกว่าให้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนั้นมาร่วมสกุล เขาสลัดคู่ควงทุกคนทิ้งแทบจะทันทีแล้วหันมามุ่งมั่นกับการกำจัดว่าที่แม่เลี้ยงและจัดการลงทัณฑ์ผู้หญิงไม่เจียมตัวให้รู้สำนึกว่าอย่างมากเธอก็เป็นได้แค่ ‘นางบำเรอ’ เท่านั้น วิโรษณา ดุษยา เพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ สาวน้อยไร้เดียงสาจึงต้องยอมตกเป็น ‘เมียบำเรอ’ ของผู้ชายกักขฬะไร้หัวใจโดยไม่ยอมปริปากบ่น และไม่แม้แต่จะเรียกร้องความสมเพชใดๆ จากเขา เพราะรู้ว่าในสายตาของซาตานร้าย ผู้หญิงข้างถนนอย่างเธอมีค่าไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น “คุณภาคิม ได้โปรดอย่าทำกับปุ้มแบบนี้” “ฉันมีสิทธิ์ลงโทษเธอตามวิธีของฉันวิโรษณา” เสียงเขาแหบกระเส่า วิโรษณาดิ้นอย่างกระสับกระส่าย ทำไมเขาไม่ลงโทษเธอด้วยการเฆี่ยนตี หรือให้อดข้าวอดน้ำ ขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันก็ได้ เขาไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้ร่างกายของเธอปั่นป่วนและกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความทรมานอันแสนวาบหวาม ลิ้นร้อนดั่งไฟนาบจุมพิตทั่วทุกอณูเนื้อของดอกไม้แสนฉ่ำหวาน ก่อนจะแทรกลิ้นชื้นเข้าไปรุกรานความอ่อนนุ่มที่นิ้วเรียวของเขาได้สัมผัสมาแล้วก่อนหน้านี้ สาวน้อยพยายามตั้งสติไม่ปล่อยการกระทำไปตามอารมณ์เร่าร้อนที่กำลังรู้สึกอยู่ แต่ลิ้นอุ่นจัดของคนแสนชำนาญก็แทรกลึกเข้าไปในความอ่อนนุ่มกลางกายด้วยจังหวะอันร้ายกาจอย่างไม่หยุดหย่อน ใบหน้าสวยแดงซ่านด้วยอารมณ์ร้อนแรง มือเล็กจิกลงบนที่นอนและขยุ้มจนยับย่นเพื่อระบายความซ่านสยิวที่กำลังโรมรันกายสาวอย่างหน่วงหนัก ร่างบางกระตุกไหว คิ้วสวยขมวดนิ่วด้วยอารมณ์สะท้านซ่าน หลงใหลไปกับสัมผัสของเขาจนเผลอยกสะโพกขยับไปมาเบาๆ ปลายลิ้นหนาลากถูไถขึ้นลงตามกลีบกุหลาบแสนสวยที่เปียกชุ่มไปด้วยความฉ่ำหวาน สองขาเรียวสั่นระริกๆ เมื่อชายหนุ่มเริ่มออกแรงกดปลายลิ้นแตะต้องแรงขึ้น

คุณหนูปกปิดตัวตนไม่ได้แล้ว

คุณหนูปกปิดตัวตนไม่ได้แล้ว

Critter
5.0

เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"

โชคชะตาของพระชายา

โชคชะตาของพระชายา

Raff Madison
3.8

ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

มาชาวีร์
5.0

หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง

คุณสามีเป็นผู้พิการ

คุณสามีเป็นผู้พิการ

Devocean
4.9

"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"

แผนลวงรัก

แผนลวงรัก

ปรียานุช จิรามณี
4.9

"ท่านครับ คนยังไม่ตาย ต้องการชนอีกทีไหมครับ" "จัดการเลย" เสิ่นอันหยูซึ่งกำลังจมอยู่ในกองเลือด ได้ยินคำสั่งของสามีกับหู เธอกับเขาไม่เคยเป็นสามีภรรยาที่แท้จริง และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่เคยมีลูก อย่างไรก็ตาม การแต่งงานที่ไม่มีบุตรทำให้แม่สามีกล่าวหาว่าเสิ่นอันหยูมีบุตรยาก ตอนนี้ สามีของเธอไม่เพียงนอกใจเธอเท่านั้น แต่เขาต้องการให้เธอตายด้วย! เขาก็หย่ากับเธอได้ แต่นี่เขาพยายามจะฆ่าเธอ... ในวันที่หย่ากัน เสิ่นอันหยูที่เคยรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดนั้นก็แต่งงานกับชายอีกคนหนึ่งทันที สามีคนที่สองของเธอเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในเมือง เธอสาบานว่าจะใช้อำนาจของเขาให้เป็นประโยชน์และแก้แค้นคนที่เคยทำร้ายเธอ! เดิมทีการแต่งงานของพวกเขาในครั้งนี้ควรเป็นเพียงข้อตกลงที่หาประโยชน์สำหรับทั้งสองฝ่ายเท่านั้น แต่สุดท้าย เธอกลับถูกชายที่ดื้อรั้นคนนี้ตรึงไว้กับกำแพง "เอาจริงเลยได้ไหม ผมอยากอยู่กับคุณตลอดไป"

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ