สามีในมุมมืด
ผู้เขียน:Shem Krieger
หมวดหมู่โรแมนติก
สามีในมุมมืด
เพียงแค่หนึ่งวินาทีต่อมา ร่างของมู่มู่ก็ถูกแขนยาวมาโอบเอาไว้ จากนั้นก็ดึงเข้าไปในอ้อมกอดที่สบายและอบอุ่น
ในขณะเดียวกัน ก็มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งขี่จักรยานผ่านหลังของผู้ชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเฉี่ยวหลังของเขาเบา ๆ
ไม่กี่วินาทีต่อมา บริเวณรอบข้างก็สงบเงียบลง พอผู้ชายคนนั้นมั่นใจว่าไม่มีอันตรายแล้ว ถึงได้ปล่อยมู่มู่ออกมาจากในอ้อมกอด
“ไม่เป็นไรใช่ไหม” ผู้ชายคนนั้นกดเสียงต่ำ พูดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
มู่มู่ที่กำลังสับสนงงงวยถึงได้เห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้นอย่างชัดเจน ดูหล่อเท่อยู่นิดหน่อย
แต่ว่าเมื่อตะกี้นี้ ดูเหมือนตัวเองจะมีอันตราย แล้วคุณลุงคนนี้ก็เป็นคนมาช่วยตนเองเอาไว้
มู่มู่เข้าใจแล้ว เขารีบส่ายหัวพร้อมกับตอบกลับไปอย่างหน่อมแน้มทันที “ไม่เป็นไรฮะ คุณลุง ขอบคุณที่ช่วยผมนะฮะ”
ผู้ชายคนนั้นส่ายหัวเล็กน้อย บ่งบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดอยู่ไม่น้อย “เด็กจะวิ่งเถลไถลไม่ได้นะ กลับไปหาแม่เถอะ”
“อื้อ”
ตอนนี้ภายในใจของมู่มู่เริ่มรู้สึกกลัวเอาภายหลัง หลังจากที่ตอบรับแล้วก็รีบหันตัววิ่งไปหาหม่ามี๊ทันที
พอผู้ชายคนนั้นเห็นมู่มู่เดินไปแล้ว ก็รู้สึกพึงพอใจ จากนั้นก็ก้าวเดินจากไปทันที
เมื่อตะกี้หนานจืออินคุยโทรศัพท์เพลินไปหน่อย ไม่ได้สนใจลูกชาย ตอนนี้หลังจากที่คุยโทรศัพท์เสร็จก็เห็นลูกชายมาอยู่ข้างตัวเรียบร้อยแล้ว เธอนึกว่าลูกชายเล่นสนุกจนพอแล้ว แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็เลยไม่ได้สนใจ ก่อนจะพูดกับลูกชายอย่างยิ้มแย้ม “มู่มู่ ไปกันเถอะ พวกเราไปทำเรื่องเข้าพักที่โรงแรมกัน”
“ได้เลยฮะ”
หลังจากที่หนานจืออินทำเรื่องเข้าพักที่โรงแรมเสร็จแล้ว ก็ทำเรื่องบริการรับฝากเด็กต่อ หลังจากที่กลับห้องมาวางกระเป๋าสัมภาระเสร็จ หนานจืออินก็เอาลูกชายไปฝากกับครูที่รับมอบหมายให้ช่วยดูแล หลังจากสั่งกำชับไปบ้างก็จากไปอย่างรีบร้อนทันที
...
ณ ซูเฉิง กรุ๊ป หนานเหวินซานกับสวีซิ่วลี่นำทนายมาเจรจาพูดคุยกับผู้ซื้อที่มีความประสงค์จะซื้ออยู่ในห้องประชุม
ตรงบริเวณเคาน์เตอร์ในเวลานี้ หนานจืออินเอาบัตรประจำตัวประชาชนออกมาให้กับพนักงานที่เคาน์เตอร์ดู พร้อมกับพูดขึ้น “ฉันเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหนาน ฉันมาหาพ่อของฉัน ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
หลังจากที่พนักงานที่เคาน์เตอร์ยืนยันสถานภาพอย่างแน่ชัดแล้ว ก็ไม่กล้าขวางรั้งอีก แจ้งให้ทราบไปตามความจริง “คุณหนานกับคุณสวีอยู่ที่ห้องประชุมค่ะ”
หนานจืออินฟังจบ ก็เก็บบัตรประจำตัวประชาชนก่อนจะตรงไปยังห้องประชุมทันที
ภายในห้องประชุม หนานเหวินซานเจรจาพูดคุยกับอีกฝ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทนายความของทั้งสองฝ่ายตรวจสอบเอกสารแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร
“เจ้าสัวเฉิน ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไรแล้ว พวกเราก็มาเซ็นชื่อกันเถอะ” หนานเหวินซานอยากจะเซ็นชื่อรับเงินอย่างอดไม่ไหวแล้ว
“ได้ครับ เซ็นชื่อกัน”
เจ้าสัวเฉินเพิ่งตอบรับกลับไป ทันใดนั้น จู่ ๆ ประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดเข้ามา
“รอเดี๋ยว” หนานจืออินตะโกนขัดจังหวะทันที
เมื่อตะกี้นี้เธอได้ยินบทสนทนาของพวกเขาจากตรงประตูแล้ว หนานจืออินรู้สึกโชคดีที่ตัวเองมาได้ทันเวลาพอดี
ในตอนนี้ ตอนที่หนานเหวินซานกับสวีซิ่วลี่เห็นว่าหนานจืออินบุกกระโจนเข้ามานั้น ทั้งสองคนก็รู้สึกประหลาดใจและรู้สึกโกรธอยู่ไม่น้อย
“แก แกมาที่นี่ได้ยังไง” หนานเหวินซานลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดถามขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ในตอนนั้นหลังจากที่เธอถูกตนเองไล่ออกจากตระกูลไปก็หายสาบสูญไปแล้ว ตนเองนึกว่าเธอจะตายไปแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวออกมา แถมยังมาบริษัทอีกด้วย
ตอนนี้สวีซิ่วลี่ก็ลุกขึ้นยืนตามมาเช่นกัน ก่อนจะพูดถามขึ้นมาด้วยความโมโห “แกมาทำอะไรที่นี่”
“แน่นอนว่ามาขัดขวางพวกคุณยังไงล่ะ” หนานจืออินมองพ่อและแม่เลี้ยงของตัวเองพร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างหนักแน่น
จากนั้น หนานจืออินก็มองไปยังคนที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเขา เดาว่าคนพวกนี้น่าจะเป็นผู้ซื้อ ก่อนจะพูดขึ้นมาต่อ “สวัสดีค่ะ ฉันคือหนานจืออิน บริษัทแห่งนี้เป็นสิ่งที่คุณตาของฉันทิ้งไว้ให้กับแม่ของฉันในตอนนั้น แม่ของฉันเคยบอกเอาไว้ว่าในอนาคตจะให้ฉันรับช่วงมาบริหารดูแลต่อ แล้วก็มีเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรด้วย ดังนั้นบริษัทแห่งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับพ่อและแม่เลี้ยงของฉัน พวกเขาไม่มีสิทธิ์ในการขายค่ะ”
คำพูดนี้ ทำให้พวกคนของเจ้าสัวเฉินอึ้งตะลึงไป ต่างรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
ในตอนนี้หนานเหวินซานและสวีซิ่วลี่เริ่มกระวนกระวายแล้ว
“ไอ้เด็กสมควรตาย แกพูดอะไรอยู่ แม่ของแกตายไปแล้วบริษัทนี้ก็เป็นของฉัน ฉันมีสิทธิ์ตัดสินใจทั้งหมด” หนานเหวินซานจ้องเขม็งหนานจืออินพร้อมกับพูดออกมาอย่างโหดร้าย
“ใช่ ๆ ” สวีซิ่วลี่พูดคล้อยตาม ตอนนี้รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ พุ่งเข้าไปจะตบหนานจืออิน “แกมันนังชั้นต่ำ ฉันจะตบแกให้ตายไปซะ แกรีบไสหัวออกไปให้พ้นเลยนะ”
สวีซิ่วลี่พูดพลาง ก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาจะตบหนานจืออิน มืออีกข้างเตรียมที่จะผลักเธอ ไล่เธอออกไป
พอหนานจืออินเห็นการกระทำของสวีซิ่วลี่ ก็รีบยื่นมือออกไปต่อต้านทันที ในขณะเดียวกันก็คัดค้านแสดงออกว่าตัวเองจะไม่ออกไป
“นังชั้นต่ำ นี่แกกล้าต่อต้านเหรอ” สวีซิ่วลี่ทำไม่สำเร็จ รู้สึกโกรธจนกัดฟันกรอด ๆ “แกมารนหาที่ตายแบบนี้ วันนี้ฉันจะฆ่าแกให้ตายแน่นอน”
สวีซิ่วลี่พูดจบ ก็ยิ่งตื่นตัวมากขึ้นจะพุ่งเข้าไปตบหนานจืออิน
หนานจืออินไม่ตอบ แล้วออกแรงสกัดกั้นต่อไป
หนานเหวินซานที่อยู่ข้าง ๆ พอเห็นว่าภรรยาตบหนานจืออินไม่ได้ ก็ตรงเข้าไปช่วยสู้กับหนานจืออินทันที ทั้งสามคนก็เริ่มต่อสู้ขัดแย้งกัน
ขณะที่หนานจืออินต้านทานแรงของทั้งสองคนไม่ไหว เห็นว่ากำลังจะถูกสวีซิ่วลี่ตบเข้ามานั้น จู่ ๆ ก็เกิดเสียงดัง “ปึง” ขึ้นมา
เจ้าสัวเฉินตบโต๊ะลุกขึ้นยืน มองไปหาหนานเหวินซานพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ “คุณหนาน ในเมื่อบริษัทของพวกคุณมีข้อพิพาทกัน ถ้าอย่างนั้นก็รอให้พวกคุณจัดการข้อพิพาทให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยมาเจรจาเรื่องซื้อขายก็แล้วกัน”
“...” หนานเหวินซานกับสวีซิ่วลี่อึ้งตะลึงไป หยุดการกระทำลงทันที
พอตระหนักได้ว่าตัวเองเผลอลืมตัวเสียมารยาทไป ก็รู้แล้วว่าเรื่องมันจะล้มเหลวไม่เป็นท่าแล้ว หนานเหวินซานกับสวีซิ่วลี่ก็กระวนกระวายขึ้นมา ขณะที่กำลังเตรียมจะเปลี่ยนสีหน้าไปอธิบายและโน้มน้าวเจ้าสัวเฉินนั้น ก็ได้ยินเสียงของเจ้าสัวเฉินดังขึ้นมาก่อน
“พวกเรากลับ” เจ้าสัวเฉินพูดกับลูกน้องและทนายความของตัวเอง
“ครับ”
จากนั้น พวกของเจ้าสัวเฉินก็ออกจากห้องประชุมไป
“เจ้า เจ้าสัวเฉิน พวกเรายัง... เจรจากันได้อีกนะครับ...” หนานเหวินซานคิดที่จะรั้งให้เขาอยู่ต่อ สุดท้ายก็รั้งเอาไว้ไม่ได้
ภายในห้องประชุมเงียบสงบลง ไม่มีคนนอกแล้ว หนานจืออินจัดการกับสีหน้าทันที ก่อนจะหันมองไปหาพ่อพร้อมกับพูดขึ้น “หนูจะเอาซูเฉิง กรุ๊ปคืนมา”
“ฝันไปเถอะ” สวีซิ่วลี่คัดค้านออกมาก่อน “ฉันกับพ่อของแกเป็นคนบริหารจัดการซูเฉิง กรุ๊ปมาโดยตลอด มันเป็นของพวกเรา พวกเราไม่มีทางให้กับแกแน่นอน”
พอหนานจืออินได้ยิน ก็เพิกเฉยไปโดยอัตโนมัติ รอคำตอบของพ่อต่อ
หนานเหวินซานมองหนานจืออินที่ยึดติดและยืนหยัดแน่วแน่ เรื่องบางเรื่องเขานั้นรู้ดีอยู่แก่ใจ ดังนั้นหลังจากที่ลังเลไปสักพัก ก็คิดข้ออ้างออกและตัดสินใจว่า
“ซูเฉิง กรุ๊ปเป็นของแม่แกก็จริง แม่ของแกก็เคยบอกว่าจะให้แกมารับช่วงบริหารต่อ แต่เงื่อนไขแรกคือแกต้องแต่งงานก่อนถึงจะมีสิทธิ์รับช่วงต่อ แต่แกไม่ได้แต่งงาน ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์รับช่วงต่อ ซูเฉิง กรุ๊ปก็ยังคงเป็นของฉัน” หนานเหวินซานพูดประโยคสุดท้ายอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
หนานจืออินฟังจบ ก็อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
แต่งงานก่อนแล้วถึงจะมีสิทธิ์ในการรับช่วงต่องั้นเหรอ เงื่อนไขนี้ ก่อนหน้านี้ตัวเองไม่รู้มาก่อนเลย
ในตอนนั้นตัวเองยังเด็กอยู่ แม่บอกแค่ว่าให้ตัวเองเติบโตขึ้นมารับช่วงต่อซูเฉิง กรุ๊ป เธอได้เขียนเอกสารที่เกี่ยวข้องเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรเลย
แล้วเงื่อนไขที่ออกมาจากปากของพ่ออย่างไม่คาดคิดมาก่อนในตอนนี้ มัน...
แต่ เดี๋ยวนะ แต่งงานก่อนแล้วค่อยสืบทอดต่ออย่างนั้นเหรอ
หมายความว่า ขอแค่ตัวเองแต่งงานแล้ว ก็จะสามารถรับช่วงต่อซูเฉิง กรุ๊ปได้แล้วงั้นเหรอ
จู่ ๆ เธอก็เข้าใจขึ้นมา หนานจืออินมองพ่อพร้อมกับพูดถามขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าหนูแต่งงานแล้ว ก็จะสามารถเอาซูเฉิง กรุ๊ปกลับคืนมาได้แล้วใช่ไหม”