สามีในมุมมืด
ผู้เขียน:Shem Krieger
หมวดหมู่โรแมนติก
สามีในมุมมืด
คำถามแบบนี้ ทำให้หนานเหวินซานตระหนักได้ถึงอันตรายขึ้นมาทันที ไม่กล้าตอบกลับมา
ส่วนทนายที่อยู่ไม่ไกลก็พูดตอบรับ “ใช่ครับ คุณหนูใหญ่”
“ในเอกสารรับมรดกตอนที่คุณซู คุณแม่ของท่านเซ็นชื่อลงไปมีเงื่อนไขข้อนี้ครับ เอกสารก็ผ่านการรับรองมาแล้ว ขอแค่ท่านเป็นไปตามเงื่อนไขในการรับช่วงต่อมรดก ก็จะสามารถดำเนินการรับมรดกได้ครับ” ทนายดำเนินการตามหน้าที่
ตอนนี้ หนานจืออินผ่อนคลายลงแล้ว แต่หนานเหวินซานกับสวีซิ่วลี่กลับรู้สึกโกรธจนสีหน้าบึ้งตึงอยู่ก่อนแล้ว
หนานจืออินมองไปหาทนายพร้อมกับพยักหน้าบ่งบอกให้ทราบ จากนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย พูดออกมาตรง ๆ “ได้ ฉันจะรีบแต่งงาน แล้วรับช่วงต่อซูเฉิง กรุ๊ปค่ะ”
ตัวเองจะต้องเอาซูเฉิง กรุ๊ปกลับคืนมาให้ได้ รักษาทรัพย์สินที่คุณตากับแม่ทิ้งเอาไว้ให้
“ครับ ถึงตอนนั้นผมจะให้ความร่วมมือกับท่านในการดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องเองครับ” ทนายพยักหน้า
หนานจืออินก็พยักหน้าบอกให้ทราบเช่นกัน
พอเห็นการพูดคุยสื่อสารกันของหนานจืออินกับทนาย หนานเหวินซานและสวีซิ่วลี่ก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
“เหอะ กะอีแค่ผู้หญิงที่ตั้งท้องลูกนอกสมรสกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ ฉันจะดูซิว่าจะมีใครกล้าเอาไหม จะมีใครกล้าแต่งด้วยไหม” สวีซิ่วลี่พูดขึ้นมาอย่างเยาะเย้ย ไม่เชื่อว่าหนานจืออินจะสามารถหาผู้ชายไปแต่งงานด้วยได้
พอหนานเหวินซานถูกภรรยาพูดย้ำเตือนขึ้นมาขนาดนี้ ก็มีความคิดขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบพูดกับหนานจืออิน “ฉันให้เวลาแกแค่วันเดียว ก่อนตอนเที่ยงของวันพรุ่งนี้ ถ้าแกไม่ได้แต่งงาน ก็เท่ากับไม่มีคุณสมบัติในการรับมรดก ถึงตอนนั้นในฐานะที่ฉันเป็นทายาทอันดับแรก ซูเฉิง กรุ๊ปก็จะเป็นของฉัน ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับแก”
หนานเหวินซานมั่นอกมั่นใจว่าหนานจืออินไม่มีทางแต่งงานได้ภายในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน ไม่มีผู้ชายคนไหนที่จะยอมเต็มใจแต่งงานกับแม่ที่เคยคลอดลูกนอกสมรสออกมาหรอก ดังนั้นซูเฉิง กรุ๊ปก็จะยังเป็นของตัวเองอยู่
พอหนานจืออินได้ยินเวลาที่กำหนด ถึงตระหนักได้ว่าจะแต่งงานภายในวันเดียวนั้นยากลำบากมาก เธอไม่เห็นด้วย เริ่มโต้แย้งโต้เถียงกับคู่สามีภรรยาหนานเหวินซาน
แต่หลังจากที่โต้แย้งกันไปพักหนึ่ง หนานจืออินก็พ่ายแพ้ให้กับพวกเขา ทำได้แค่ทำตามเงื่อนไขของพวกเขาเท่านั้น
หลังจากที่ออกมาจากซูเฉิง กรุ๊ป หนานจืออินก็นั่งลงตรงโซนพักผ่อนที่ชั้นหนึ่งของอาคารสำนักงาน แล้วครุ่นคิดอยู่ภายในใจ
เรื่องที่สำคัญเป็นอันดับแรกในตอนนี้ ก็คือหาคนมาแต่งงานด้วย สำหรับเรื่องแต่งงานนั้น ตัวเองไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรมากมาย ขอแค่อีกฝ่ายนิสัยดีเหมาะที่จะแต่งงานด้วยก็พอ ถึงยังไงตัวเองก็มีลูกติดมาด้วยหนึ่งคน แม้ว่าจนถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าพ่อของเด็กคือใครก็ตาม
แต่ขนาดเงื่อนไขการแต่งงานแบบนี้แล้ว ในตอนนี้ตัวเองก็หาคนที่แต่งงานด้วยได้ไม่เจออยู่ดี ควรจะทำยังไงดี
รู้สึกกลัดกลุ้มใจและหงุดหงิด หนานจืออินคิดอยู่นานสองนานจนปวดหัวไปหมด กะที่จะไปนั่งผ่อนคลายอารมณ์ความรู้สึกที่ร้านกาแฟที่อยู่ข้าง ๆ อาคารสำนักงานสักหน่อย
พอมาถึงร้านกาแฟ หนานจืออินก็สั่งลาเต้ร้อนหนึ่งแก้ว จากนั้นขณะที่กำลังหาที่นั่งอยู่นั้น กลับพบว่าไม่มีที่นั่งว่าง
หลังจากหันมองไปรอบ ๆ อีกหนึ่งรอบ หนานจืออินก็หาที่นั่งว่างเจอหนึ่งที่ ตรงกันข้ามมีผู้ชายนั่งอยู่หนึ่งคน
พอคิดว่าการไปนั่งร่วมโต๊ะมันก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก หนานจืออินก็เลยเดินตรงเข้าไป
พอเดินมาอยู่ตรงที่นั่งว่าง หนานจืออินก็หันมองไปหาผู้ชายที่กำลังถือแท็บเล็ตทำงานอยู่ตรงกันข้าม เธอพูดกล่าวทักทายขึ้นมาด้วยความรู้สึกเกรงใจและมีมารยาทก่อน “สวัสดีค่ะ”
หนานจืออินคิดว่าหลังจากที่ได้รับการตอบกลับของอีกฝ่ายแล้ว ถึงค่อยถามว่านั่งร่วมโต๊ะได้ไหม
แต่หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นได้ยินเสียงแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมามองหนานจืออิน สีหน้านิ่งเฉยเย็นชา จากนั้นก็ขยับริมฝีปากบาง ๆ พูดออกมาสามคำ “นั่งลงสิ”
“...” หนานจืออินอึ้งตะลึง
นั่งลงสิอย่างนั้นเหรอ หรือเขารู้ว่าตัวเองมาขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยงั้นเหรอ
พอคิด ๆ ดูแล้วแบบนี้ก็ถือว่าเข้าท่าอยู่เหมือนกัน พอหนานจืออินคิดแบบนี้ ก็พยักหน้าเบา ๆ อย่างยิ้มแย้มพร้อมกับนั่งลงตรงเก้าอี้ว่าง
ตอนที่หนานจืออินเพิ่งจะนั่งลงมา เตรียมที่จะพูดขอบคุณอีกฝ่ายอยู่นั้น ก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้น
“ในเมื่อพวกเรามานัดบอดกัน ถ้าอย่างนั้นก็ขอพูดให้เข้าใจอย่างชัดเจนเลยแล้วกันครับ” ผู้ชายคนนั้นพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ “ผมชื่อกู้จิ่งเฉิน อายุ 28 ปี เป็นโปรแกรมเมอร์ของบริษัทไอทีแห่งหนึ่ง มีบ้านมีรถมีเงินเก็บ เห็นคุณ... รูปร่างหน้าตาดูไม่เลวเลย เห็นแล้วถูกชะตา ผมเต็มใจที่จะแต่งงานกับคุณ แล้วก็...”
“ที่บ้านเร่งเร้ามาก ถ้าคุณเต็มใจ พวกเราก็ยิ่งแต่งเร็วเท่าไรยิ่งดีครับ” กู้จิ่งเฉินพูดจบ ก็เก็บความรู้สึกแปรปรวนเอาไว้ภายในใจ รอคำตอบของหนานจืออินอย่างสงบนิ่ง
หลังจากที่หนานจืออินฟังคำพูดพวกนี้จบแล้ว ก็รู้สึกตกใจและประหลาดใจ
ที่ ที่แท้คนนี้ก็มานัดบอดอย่างนั้นเหรอ แถมยังคิดว่าตนเองเป็นคู่นัดบอดของเขาอีกด้วย
แต่พอคิดดูแล้ว ตนเองก็กำลังหาคนที่แต่งงานด้วยอยู่พอดี...
หนานจืออินรู้สึกว่านี่มันคือโอกาสทันที อีกฝ่ายโสดตนเองก็โสด แถมความคิดและความต้องการก็เหมือนกันด้วย ถ้าอย่างนั้น... ดูเหมือนจะพอคิดพิจารณาได้อยู่สักหน่อย
จากนั้น หนานจืออินก็หันมองกู้จิ่งเฉินอีกครั้ง เริ่มสำรวจรูปร่างหน้าตาของเขา
ใบหน้าหล่อและหน้าตาก็ดูสมบูรณ์แบบ ดูหล่อเหลาอย่างมาก แล้วก็การแต่งกายตามอาชีพการงานและออร่าที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเขา เหมือนกับเป็นหัวกะทิของที่ทำงาน มีเสน่ห์อยู่ไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นพอดูหน้าของเขาดี ๆ แล้ว ดวงตากับริมฝีปากของเขา ก็เหมือนกับลูกชายของตัวเองอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ยิ่งมองนาน ๆ ก็ยิ่งเพลินตา
พอหนานจืออินเชยชมเสร็จ ความประทับใจที่มีต่อเขาก็ไม่เลวเป็นธรรมดาอยู่แล้ว มีความรู้สึกดีอยู่ไม่น้อย จากนั้นก็ครุ่นคิดอีกครั้ง หนานจืออินรู้สึกว่าเรื่องแต่งงานสามารถเจรจากันได้ กะที่จะพูดคุยสื่อสารสักหน่อย
หลังจากที่เตรียมจิตใจพร้อมแล้ว หนานจืออินก็เปิดปากพูดขึ้นมา “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหนานจืออิน อายุ 25 ปี ก่อนหน้านี้ทำงานเป็นนักแปลในอินเทอร์เน็ต เป็นสามภาษา ตอนนี้ว่างงาน ฉัน... รู้สึกประทับใจในตัวคุณ สามารถพิจารณาเรื่องแต่งงานได้ แต่ว่าฉันมีลูกอยู่ด้วยหนึ่งคน”
หนานจืออินไม่กะที่จะปกปิดอะไรกับกู้จิ่งเฉิน พูดออกไปตามตรง “เมื่อสามปีก่อนฉันท้องโดยที่ไม่ได้แต่งงาน ถ้าคุณถือสา ฉันก็จะ...”
คำพูดส่วนหลังของหนานจืออินยังไม่ทันจบ ก็ถูกขัดจังหวะขึ้นมา
“ไม่ถือสาครับ” ้กู้จิ่งเฉินตอบกลับมาอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ผมยอมรับอดีตของคุณ แล้วก็เด็กด้วยครับ”