อุบัติเหตุลิขิตรัก
สายตาคู่คมจ้องมองใบหน้าสวยที่อยู่ตรงหน้าอย่างพินิจ เธอมีผิวพรรณที่เนียนใสละมุนอย่างกับผิวเด็ก ซึ่งน่าจะเป็นลูกของคนที่มีฐานะพอสมควร ไม่น่าจะใช่ลูกตาสีตาสาทั่วไป
“ใช่! คุณเป็นขยะเปียกชนิดที่ไม่สามารถเอาไปรีไซเคิลได้ด้วย”
เสียงใสของคนเมาเอ่ยตอบกลับทันที พร้อมกับใช้นิ้วชี้ไปที่หน้าอกเขา ให้รู้ไปเลยว่าเธอกำลังว่าเขาอยู่ ชายหนุ่มมองคนตัวเล็กด้วยแววตากรุ้มกริ่ม ที่แทบจะพยุงตัวเองไม่อยู่ด้วยซ้ำตอนนี้ทำเป็นปากเก่ง แถมจ้องเขาด้วยสายตาดุอย่างเอาเรื่อง
-เขาควรกลัวใช่มั้ย แล้วเธอตอบแทนคนที่ช่วยเธอแบบนี้อย่างนั้นหรือ- เขาคิดในใจโดยไม่ได้พูดออกไป
“ผมฉวยโอกาสคุณหรือ” เขาถามอีกครั้ง
“...” คนเมาไม่ตอบแต่พยักหน้า ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงปล่อยเอวบางให้เป็นอิสระ ให้เธอเซไปตามแรงโน้มถ่วงโลก ก่อนที่เขาจะยืดตัวเต็มความสูง ยกสองมือขึ้นมากอดอก จ้องมองคนเมาตรงหน้าที่อยากจะมีเรื่องกับเขาตอนนี้
“โอ๊ย คุณนี่มัน..” เธอร้องด้วยความเจ็บเมื่อเซจนสะโพกไปกระแทกกับผนังทางเดินอย่างแรง
“มันอะไร” เขาถามเธออีกครั้ง
“คุณต้องการอะไรจากฉัน” เธอถามเขาจริงจัง ยังไม่ทันได้คำตอบก็พูดต่อทันที “หรือจะมาขอโทษเรื่องเมื่อวาน หุหุ สายไปแล้ว” คนเมาบอกอย่างมาดมั่น
“เปล่า ผมมาช่วยคุณนะ เห็นสามีคุณจะปล้ำคุณเมื่อกี้”
“เขาไม่ใช่สามีฉัน นั่นนะ ใครก็ไม่รู้อย่ามากล่าวหากัน” เธอว่าเขาเข้าให้
“งั้นผมก็เป็นคน ที่มาช่วยคุณจากผู้ชายคนนั้น”
“อืม ใช่” คนเมาตอบตามความจริงและลืมไปว่ายังโกรธเขาเรื่องเมื่อวานอยู่
“ดังนั้น...คุณก็แค่ขอบคุณผมมา”
คนตัวสูงโค้งตัวลงยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนเมา จนจมูกแทบจะชนกันก่อนจะเลื่อนริมฝีปากไปกระซิบที่ข้างหูของเธอ แล้วยิ้มมุมปากเล็ก ๆ อย่างคนที่ได้เปรียบ การกระทำนั้นของเขาทำเธอหน้าเห่อแดง ขนลุกไปทั้งตัวเลยทีเดียว
“นี่พูดไกล ๆก็ได้ จะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำไม” คนเมาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ โวยวายดันร่างใหญ่ออกแต่เขากลับไม่ขยับเลยสักนิด
“ว่าไง ผมรอฟังอยู่” คนตัวใหญ่บอกขณะที่ใบหน้ายังคลอเคลียอยู่ข้าง ๆใบหูเธอ
“ได้ ถ้าจะให้ฉันขอบคุณ นายต้องขอโทษฉันเรื่องเมื่อวานก่อน” คนเมายื่นข้อเสนอ
“เมื่อวานคุณก็สาดกาแฟใส่ผมคืนแล้วไง เราหายกันไปแล้ว คุณเป็นคนพูดเองจำไม่ได้หรือไง” คนตัวใหญ่ทวนความจำให้ เมื่อหญิงสาวตรงหน้ามีทีท่าจะไม่ยอมพูดง่าย ๆ
“จำได้ใช่ฉันพูดเอง แต่ฉันก็ยังไม่หายโกรธนี่ ฉันต้องเดินตัวเหนียวตากฝนในสภาพนั้นทั้งวันเลยนายรู้มั้ย”
คนเมาเสียงหม่นลงเธอโกรธเขาจริง ๆ แต่ทำอะไรไม่ได้จึงเป็นความโกรธที่สะสมไว้ในใจรอการระบายออก
“แบบนี้ก็ได้เหรอ” เขาถามด้วยความหมั่นไส้ เมื่อคนที่เหมือนจะใจกล้าแต่พอเมาดันเล่าทุกอย่างออกมาหมด -เธอยังโกรธเขาอยู่จริง ๆสินะ- เขาคิด
“ได้สิแบบนี้แหละทำไมจะไม่ได้ ฉันไม่อยากคุยกับคุณแล้ว” คนเมาเริ่มพูดไม่รู้เรื่องพยายามดันร่างเขาออกให้พ้นทาง
“งั้นก็ช่างมัน ถือซะว่าผมช่วยลูกหมาตกทุกข์ได้ยากอยู่ก็แล้วกัน” เขายอมอ่อนลงให้เธอ ก่อนจะประชดกลับที่เธอว่าเขาเป็นขยะเปียก จากนั้นจึงดันไหล่คนเมาให้ยืนตัวตรงแผ่นหลังชิดผนัง
“ลูกหมาเหรอ ไอ้ขยะเปียกกล้ามาว่าฉันเป็นลูกหมาเหรอ ปล่อยเลย เอามือออกไปจากตัวฉันเลย ฉันไม่อยากคุยกับขยะเปียกแล้ว”
เธอเริ่มโวยวายเป็นเด็ก เมื่อรับไม่ได้ที่เขาเปรียบเธอเป็นลูกหมา ก่อนจะสะบัดตัวจนหลุดจากมือเขา เธอหมุนตัวจะเดินหนี แต่กลับถูกเขารั้งแขนไว้เสียก่อน
“เดี๋ยว”
“อะไรอีก” คนถูกรั้งทำท่าไม่พอใจแถมย่นจมูกใส่เป็นการขู่อีกต่างหาก
“คุณชื่ออะไร”
“ทำไมฉันต้องบอกคุณด้วย” ไม่มีคำตอบจากเธอ แถมหญิงสาวยังสะบัดแขนอย่างแรง จนแขนหลุดจากมือเขาก่อนจะเดินเซออกไปเลย
การที่ได้พูดคุยกับเธอตอนเมาในวันนี้ ทำให้อคติที่มีก่อนหน้านั้นแปลเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นโดยทันที กิริยาของเธอเมื่อสักครู่มันช่างดูน่ารัก น่าเอ็นดูในสายตาเขาเหลือเกิน เธอไม่ใช่เด็กเสี่ยอย่างที่เขาคิดแน่นอน ทำเอาเขาต้องอมยิ้มกับตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ธีรวัฒน์มองตามหลังหญิงสาวจนเธอเดินลับสายตาไป แล้วสายตาก็หันไปเห็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งที่มองตามเธอไปเช่นกัน
'เหมือนเธอกำลังถูกสะกดรอยตาม' เขาคิดในใจและมองตามชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นเดินตามเธอไปอีกที
“ไปนานจังดาว”
“มีเรื่องนิดหน่อย ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่ารู้สึกปวดหัว” นิศราบอกเพื่อน ๆ
“แล้วแกจะกลับยังไง”
“ฉันโทรให้พี่ดินมารับแล้ว อีกสักพักน่าจะถึง ฉันจะไปนั่งรอที่ล็อบบี้นะ รู้สึกหายใจไม่อิ่ม”
“แกเป็นอะไรมั้ยเนี่ยยัยดาว” เชอร์รี่ ถามขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนอาการไม่ค่อยดี
“ไม่ได้เป็นอะไรแค่ปวดหัวนิดหน่อย พวกแกสนุกต่อเถอะ” พูดจบคนเมาก็เดินออกไปนอกร้านทันทีปล่อยให้เพื่อน ๆ ยืนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“เดี๋ยวดาวงั้นพวกเราก็กลับพร้อมกันหมดเนี่ยแหละ จะทิ้งให้แกกลับคนเดียวได้ไง แล้วค่อยนัดกันมาใหม่วันหลัง พวกแกว่าไง” แพรใหม่หันไปถามความคิดเห็นเพื่อนคนอื่นต่อ
“ฉันเห็นด้วย ดูท่ายัยดาวน่าจะเมาหนักด้วยเนี่ย” นุ่นเสริม
“งั้นเราไปรอพี่ดินข้างล่างเป็นเพื่อนยัยดาวแล้วกัน”
แล้วทุกคนก็ลงไปนั่งรอนคินทร์ที่ล็อบบี้เป็นเพื่อนนิศรา ไม่นานชายหนุ่มก็มา จากนั้นทุกคนจึงพากันแยกย้ายกลับบ้าน ตลอดเวลาที่ทุกคนอยู่ที่ล็อบบี้ ไม่มีใครรู้เลยว่ามีสายตาของชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง เฝ้ามองทุกความเคลื่อนไหวของพวกเธออยู่
“ไม่มีโอกาสเลยครับนาย มีพวกเพื่อนของมันอยู่ด้วยตลอดเวลา” เสียงชายฉกรรจ์คนหนึ่งเอ่ยผ่านโทรศัพท์เพื่อแจ้งคนที่อยู่ปลายสาย
“ตามมันไป มีโอกาสเมื่อไหร่จับตัวมันมาให้ได้” เสียงหนักแน่นของคนปลายสายออกคำสั่งทิ้งท้ายก่อนกดวาง