ผีผายามังกร
บนโต๊ะไม้หินอ่อนเต็มไปด้วยถ้วยโอสถ ขวดยานัตถุ์มากมายล้วนงดงามตระกานตา เหวินหยางซื่อวางมาดองค์ชายผู้มีจิตใจกว้างขวาง เอ่ยปากว่าจะให้นางเลือกขวดที่ถูกใจกลับไปหากว่าเทียวมาเยี่ยมเยียนมารดาของตนบ่อย ๆ
ฉานฉูไม่อาจรับปากได้นัก นางถูกหิ้วตัวไปมาราวกับคางคกเลี้ยงของบุคคลมากหน้าหลายตาภายในวังหลวง
โดยเฉพาะกับองค์ฮ่องเต้เหวินเฟิงเฮย อยู่ข้างกายโอรสสวรรค์เยี่ยงนี้นางคล้ายเป็นดั่งคางคกทองคำเสียแล้วกระมัง...
ชายร่างสูงใหญ่ท่าทีทะมัดทะแมง ซุกซ่อนใบหน้าของตนด้วยหน้ากากครึ่งท่อน สืบเท้าก้าวเข้ามาใกล้โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นเหมยบานสะพรั่ง ประสานมือทำความเคารพองค์ชายน้อยก่อนจะเคารพเจ้าแม่ฉานฉูผู้นั้น เสียงทุ้มกล่าวเยียบเย็นว่าฮ่องเต้มีรับสั่งเรียกหาเจ้าแม่ฉานฉู
ฉานฉูเหลือบมองผู้เป็นสามีของตนด้วยสายตายากจะคาดเดาอารมณ์ เช่นเดียวกันที่เจ้าของอาภรณ์สีม่วงอ่อนยกแขนกอดอกจดจ้องเสี้ยวหน้าของหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ
มารดาของเขางดงามยิ่งกว่า เหตุใดเสด็จพ่อจึงไม่เหลียวแล...
หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้มีดีอะไร? ทักษะในการปรุงยางั้นหรือ? ความฉลาดเลิศล้ำงั้นหรือ?
ยามที่ฉานฉูจะกล่าวอำลา องค์ชายเหวินหยางซื่อคว้าจับชายแขนเสื้อของนางเอาไว้ แรงดึงรั้งเพียงน้อยนิด ปรารถนาให้หันมา แต่มิกล้าโผงผางเอ่ยรั้งไว้ทำให้ฉานฉูรู้สึกเอ็นดูจับใจ
นางย่อกายลงมาประสานสายตากับใบหน้าจิ้มลิ้ม เกลี่ยผมทัดใบหูขององค์ชายอย่างลืมตัวคล้ายว่าใบหน้านี้จะพาลให้คิดถึงบุตรชายของนาง
เหวินหยางซื่อตัดพ้อ แววตาประสานกับหญิงอัปลักษณ์ที่ตนเคยรังเกียจยิ่งในคราแรกที่พบ
“เหตุใดเจ้าจึงถูกเรียกหาบ่อยนัก... เหตุใดข้าและท่านแม่จึงไม่เป็นที่ต้องการของเสด็จพ่ออีกแล้ว...”
“องค์ชายน้อย... พระองค์รูปงามตั้งแต่เยาว์วัยอีกทั้งยังมากความสามารถเก่งกาจด้านแพทย์”
ดวงตากลมจ้องมองนาง
คล้ายว่ากำลังเดาใจในคำพูดของหญิงฝีปากกล้าผู้นี้ หมายหมั่นจะให้ข้าแสดงความสามารถเพื่อที่จะได้กลายเป็นที่โปรดปรานเช่นนั้นหรือ ให้เป็นที่โปรดปรานมากกว่าว่าที่โอรสสวรรค์ที่ยังอยู่ในครรภ์ของฮองเฮาเช่นนั้นหรือ
“แต่บุตรชายของหม่อมฉันเก่งกว่า”
เจ้าแม่ฉานฉูพูดยกหางบุตรของตนให้องค์ชายน้อยเบนเข็มทิศมาทางนี้แทน ท่าทีกระแหนะกระแหนนั้นวอนให้องค์ชายน้อยเหวินหยางซื่อระแคะระคายใจยิ่งนัก
“หม่อมฉันมีบุตรชายเพียงคนเดียว คล้ายว่าจะเติบใหญ่กว่าองค์ชายราว ๆ สามปี หากเทียบกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เขาฉลาดเฉลียวยิ่งนัก อีกสามปีไม่นานนี้เขาจึงจะได้สอบเป็นแพทย์ฝึกหัดในวัยสิบสี่”
เหวินหยางซื่อเลิกคิ้วสูง ใบหน้าเยาว์วัยนั้นสลายความเศร้าสร้อยทิ้งไปกลับกลายเป็นแฝงไปด้วยความอยากชิงดีชิงเด่นแทน
“หากสามปีต่อมาบุตรชายของเจ้าอายุสิบสี่ปีจะได้สอบเข้าเป็นแพทย์ฝึกหัด ข้าที่ข้าอายุเพียงสิบเอ็ดขวบปีเพื่อสอบเข้าเรียนที่นั่นด้วยเช่นกัน แล้วเจ้าจะได้ประจักษ์ว่าข้าเก่งกาจกว่าบุตรชายของเจ้า ยามนั้นเจ้าต้องสอนวิธีรักษาด้วยมือเปล่าให้กับข้า!”
บุตรชายของเจ้าแม่ฉานฉูผู้นั้นราวกับคนขี้โรคก็ไม่ปาน
ครั้นละสายตาจากคนผู้นั้น เด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบปีบรรจงเขียนชื่อของสมุนไพรพลางบรรยายคุณสมบัติของมัน ฉับพลันยกวางฟู่กันด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม
ภายหลังจากผ่านพ้นวันแห่งการสอบเข้าเป็นแพทย์ พวกเขาได้ปฏิญาณตนก่อนจะรับตราประทับบัว
ดวงตากลมมองฝ่ามือที่แบออกของตน
ที่ฝ่ามือของคนที่นี่ล้วนมีตราประทับบัว มันบ่งบอกถึงความเป็นแพทย์
บัวตูมคือแพทย์ฝึกหัด
แต่สำหรับเหวินหยางซื่อแล้วไซร้ เขาได้รับตราประทับบัวบานที่ฝ่ามือ มันคือสัญลักษณ์ของแพทย์หลวง ด้วยวัยเพียงสิบเอ็ดขวบปี
องค์ชายเหวินหยางซื่อเหลือบมองไปข้างหน้าอีกครา เพ่งพินิจไปที่ชายร่างผอมสวมผ้าปิดปากที่นั่งห่างจากตนออกไปสองแถวได้ ท่ามกลางวิชาศึกษาพืชสมุนไพรเด็กหนุ่มผู้นั้นกำลังขะมักเขม้น ท่าทีคล้ายกับพวกยาจกต้องขวนขวายเล่าเรียนสะสมความรู้ให้มาก
ดวงตากลมหรี่ลง พ่นลมหายใจเหนื่อยหน่าย
แม้จะยินดีที่ได้เย้ยหยันหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้น แต่นางหาได้มีอคติใด ๆ กล่าวชื่นชมยกย่องซ้ำยังยอมสอนวิธีรักษาด้วยมือเปล่านั้นอย่างไม่ขัดขืน
ความลำพองใจว่าตนเล่าเรียนมาดีกว่าบรรดาแพทย์ฝึกหัดทั้งหลายทำให้พระองค์เกียจคร้านในการเรียน ยามเมื่อเข้าศึกษา ณ สำนักแพทย์จึงวางตนสูงส่งโอ้อวด ด้วยกายเล็กจ้อยของเด็กชายเพียงสิบเอ็ดขวบปี กลับอาจหาญไล่หวดไม้ เตะบั้นท้ายแพทย์ฝึกหัดราวกับพวกเขาคือคนรับใช้ชั้นต่ำศักดิ์
ท้ายที่สุด ยามเมื่ออยู่เพียงลำพังกลับถูกกลั่นแกล้งสารพัดจากบรรดาหมาหมู่ทั้งลูกขุนมูลนายไปจวบจนลูกพ่อค้าปลายแถว
ช่างเหยียดหยามเกียรติเขายิ่งนัก!
ด้วยความตัวเล็กกว่าใครจึงถูกหิ้วหลังคอได้ง่าย
พวกมันต่างสลับกันดึงหลังคอเสื้อขององค์ชายน้อย หมุนเวียนเปลี่ยนมือกันไปมา ซ้ำยังผลักล้มถลาเข้าไปยังห้องส้วม สอดไม้ขัดกลอนประตูให้ได้ยินเสียงทุบดังปังปึงจากภายใน
เหวินหยางซื่ออดกลั้นที่จะไม่ร้องขอให้พวกมันหยุดกลั่นแกล้งตนให้เสื่อมเกียรติ กระนั้นมือที่ทุบประตูก็เบาลงเมื่อเสียงตวาดลั่นนั้นดัง
“วางตัวสูงส่งนัก หารู้ไม่ว่าตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนที่องค์รัชทายาทน้อยถือกำเนิดออกมา เจ้ามันก็แค่เบี้ยที่รอวันถูกหลอกใช้!”
เสียงหัวเราะดังระงม องค์ชายน้อยทรุดกายลงนั่งมือยกขึ้นมาป้องปิดใบหูของตน ส่ายใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นไปมา ขบคิดถึงความจริงในประโยคทิ่มแทงใจดำนั้น
ใช่แล้ว นานวันเข้าเจ้าเด็กนั่นต้องเติบใหญ่มากขึ้น ร่างกายสมบูรณ์พูดจาเจ๊าะแจ๊ะแสนจะเป็นที่โปรดปราน ต่างจากเขา! ต่างจากเขายิ่งนัก!
องค์ชายน้อยผู้นั้นสืบเชื้อสายของฮองเฮา ว่าที่องค์รัชทายาทเตรียมถูกประเคนให้ถูกตั่งเตียงนอนโดยมิต้องขวนขวายหรือพยายามลงมือลงแรงอะไร!
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยทำให้เด็กน้อยหน้ามืด หอบหายใจแรง แทบจะอดกลั้นอาการคลื่นเหียนวิงเวียนจากกลิ่นเหม็นคลุ้งในส้วมไม่ไหว
ทว่าเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นมาแทรกผ่านเสียงหัวเราะชวนคลื่นเหียนทำให้เหวินหยางซื่อผงะพลัน
“อย่างไรเสียเหวินหยางซื่อผู้นี้เป็นถึงลูกของพระสนมที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เช่นนั้นแล้วสามัญชนอย่างพวกเจ้ายังจะแกล้งได้ลงคอหรือ ข้าเกรงว่า...” ภายนอกนั้น เจ้าหนุ่มกายผอมบางราวกับคนขี้โรคยกมือขึ้นมาทำท่าปาดคอตนเองต่อหน้าฝูงหมาหมู่เหล่านั้นหวังจะให้มันเกรงกลัว
ฉับพลันประตูส้วมถูกเปิดพลัน ร่างสูงผอมถูกถีบถลาเข้ามาพร้อมเสียงปิดประตูดังปัง
เด็กหนุ่มผู้สวมผ้าปิดปากล้มก้นจ้ำเบ้ากับฐานส้วม อาภรณ์แพทย์ฝึกหัดสีน้ำเงินครามเปรอะเปื้อน เขาทำเพียงถอนหายใจออกมาแล้วกลอกตา
เหวินหยางซื่อหันมองเจ้าของรูปลักษณ์ขี้โรคนั้นด้วยแววตาสับสน
หลายวันตลอดการเข้าเรียนในสำนักแพทย์ พวกเขาไม่เคยพูดจาอะไรกันมาก่อนเลย เหตุไฉนจึงสอดมือเข้ามาช่วยกัน?
ยามตะวันลับฟ้า อาจารย์วิชาฝังเข็มไถ่ถามถึงสองแพทย์ฝึกหัดผู้หายหน้าหายตาไปไม่มาเล่าเรียน จึงสั่งความให้ศิษย์ผู้ชำนาญวิชาที่มาร่วมฝึกสอนแพทย์ฝึกหัดนั้นไปตามหา
ไม่นานนักห้องส้วมอันซึ่งถูกป่าวประกาศว่าปฏิกูลอุดตันใช้การไม่ได้ถูกเปิดมาพบเจอทั้งสองแพทย์น้อย แพทย์อาวุโสจึงสั่งให้นำตัวเจ้าแพทย์ฝึกหัดตัวเหม็นโฉ่ที่หายตัวไปไม่ได้มาเข้าเรียนออกมาพลัน
ถามหาตัวคนผิด มีหรือว่าจะเสนอตัวออกมายอมรับ
จนแล้วจนรอดพวกเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม ได้แค่เพียงถูกไล่ให้ไปอาบน้ำอาบท่าชำระล้างกลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งเสีย
ระเบียงทางเดินเรือนนอนของเหล่าแพทย์ฝึกหัด มีเพียงพวกทั้งสอง ยามนี้เหล่าแพทย์เข้าห้องเพื่อศึกษาเล่าเรียน บ้างก็ออกไปรักษาผู้คนตามหน้าที่
เจ้าของอาภรณ์สีม่วงอ่อนแต่งกายโดดเด่นกว่าผู้ใดยังคงมีความเคลือบแคลงใจบนใบหน้า เหวินหยางซื่อฟังเสียงเดินอย่างข่มใจเพียงชั่วครู่ก็อดกลั้นไม่ไหวเปล่งวาจาเอ่ยถาม
ทว่าองค์ชายน้อยแข็งกระด้างนักเรื่องถ้อยคำพูดคำจา เขายังถือตัวว่าตนอยู่เหนือผู้อื่นเสมอ
“เจ้าช่วยข้าเอาไว้เพราะเหตุใด หวังให้ข้าหนุนหลังเจ้าขึ้นเป็นใหญ่ในภายหลังอย่างนั้นรึ?”
ร่างสูงโปร่งเดินนำหน้าไม่หันกลับไปสนทนาแม้ครึ่งคำ เขาทำเพียงส่ายหน้าไปมา ในหัวครุ่นคิดอย่างผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมาแล้วหนหนึ่ง
ตัวเล็กเท่าลูกแมวถูกแกล้งทุกวัน
ข้าเกรงว่าท่านจะเฉาตายต่างหากเล่าองค์ชาย...
“คนที่นี่รังเกียจข้านัก อิจฉาในความสามารถของข้า”
มันเป็นเพราะท่านถูกตามใจจนเสียคนต่างหาก
พวกเขาถึงได้ชิงชังในกริยาของท่าน...
“เหมือนมารดาของเจ้าไม่มีผิด”
แน่นอน ท่านแม่ของข้าเก่งกล้าสามารถ นางเป็นสตรีที่แข็งแกร่ง...
“ยื่นมือช่วยคนไปทั่ว ไม่เจียมตัว ยั่วยวนเสด็จพ่อ”
ไม่เจียมตัว? ยั่วยวนเสด็จพ่อ?
คิ้วเรียวเหนือดวงตากระตุกพลัน ลมตีย้อนกลับเข้าหน้าเมื่อพ่นลมหายใจกระทบผ้าปิดปาก
ยามนั้นเท้าคู่นั้นของขงเฉว่หยุดชะงัก จวบจนกระทั่งองค์ชายน้อยสำรอกวาจาหยาบกระด้างนั้นออกมาอีกหนเขาจึงหันไปประจันหน้า
“รูปกายอัปลักษณ์น่ารังเกียจผู้คนมองเห็นก็ต่างดูแคลนราวกับตัวเสนียด—”
เพี๊ยะ!
มือเรียวของแพทย์ฝึกหัดหนุ่มทาบเข้าปิดปากองค์ชายน้อยก่อนจะฟาดมือตบเข้าที่หลังมือของตน ดวงตาแววฉายพิโรธชั่วครู่ กระนั้นแผ่วหายไปเป็นแววตาเรียบเฉยดังเดิม
เขายังมีสติยั้งมือได้ทัน ไม่พลาดพลั้งเสี่ยงตบปากของชนชั้นสูงเพื่อรนหาที่ตาย
เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก ผ้าปิดปากไหวตามแรงลม ขงเฉว่ลดฝ่ามือที่กอบกุมริมฝีปากน้อยนั้นลงมา ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายก่อนหมุนตัวเดินจาก
“อย่าได้ดูถูกนางต่อหน้าข้าอีก”
เหวินหยางซื่อนิ่งค้างไปชั่วขณะ สัมผัสจากฝ่ามือที่ยกมากันนั้นยังคงค้างคา แรงตบเข้าอย่างจังทำให้รับรู้ได้ถึงความโทสะ หลังฝ่ามือของแพทย์ฝึกหัดผู้นั้นแดงเถือก สะบัดฝ่ามือหลายหนคลายบรรเทาความเจ็บระบม ดวงตากลมมองตามแผ่นหลังของร่างสูงโปร่งเดินลิ่วห่างไกลออกไป
ฝ่ามือประทับบัวบานยกขึ้นมาขยุ้มอกเสื้อของตน ขบเม้มริมฝีปากเข้าหากัน คิ้วขมวดแน่นคิดทบทวนหาเหตุผลว่าเหตุใดตนจึงใจไหวสั่นสะท้านได้เพียงนี้ ไม่เคยมีผู้ใดกล้าตบตีตนมาก่อน แม้กระทั่งเงื้อมื้อขึ้นยังมิเคยพบเจอ
เจ้าแพทย์ฝึกหัดผู้นั้น... ช่างถูกใจตนเป็นยิ่งนัก!
ร่างน้อยสูงเพียงอกของตนเท่านั้น เจ้าของผมยาวเหยียดตรงสีดำถักผมเปียรอบศีรษะเล็กแลให้น่าเอ็นดูยิ่ง เหวินหยางซื่อผู้นั้นขยับกายเดินตามแพทย์ฝึกหัดนามขงเฉว่ทุกฝีก้าว คล้ายว่าเด็กหนุ่มขี้โรคผู้นี้มีก้อนแป้งสีม่วงอ่อนวิ่งตามติด
ยามตื่น ยามกิน ยามนอน
ยังดีที่ยามปลดทุกข์ไม่ได้ตามเข้ามาอยู่ชิดใกล้
ขงเฉว่รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง เมื่อไปพลั้งเหยียบหางหัวหน้าหมาหมู่จำต้องเกาะหลังผู้ใหญ่ให้คอยขับไล่สุนัขไปให้พ้นทาง
องค์ชายน้อยเย่อหยิ่งไม่รู้วิธีอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่นัก ทว่าการตามติดเจ้าแพทย์ฝึกหัดขี้โรคทำให้ตนได้ผลพลอยได้ตามติดมาด้วย
ยามนี้ขงเฉว่ประจบประแจงศิษย์พี่ผู้หนึ่งให้ตนได้ขลุกตัวอยู่ภายในห้องสมุนไพร สุนัขบ้าเหล่านั้นจะได้ไม่มากล้ำกราย จึงไม่แปลกที่เจ้าก้อนแป้งสีม่วงอ่อนจะตามติดมาอยู่ภายในห้องนี้ด้วย
“ครั้งนั้นเจ้าช่วยข้าไว้ เจ้าปรารถนาสิ่งใดเป็นการตอบแทน?” เสียงฉะฉานน่าฟังเอ่ยถาม คาดเดาไม่ได้ว่าเป็นคำถามลองใจหรือเบื่อหน่ายจึงขุดคุ้ยการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนมารื้อฟื้น
เมื่อไถ่ถามไปไม่ได้คำตอบ แต่มือเรียวนั้นยังคงบรรจงโขลกบดยาให้เป็นผงละเอียด
“เงินทองเช่นนั้นหรือ?” องค์ชายน้อยยกศอกขึ้นค้ำกับโต๊ะยื่นหน้าวางบนฝ่ามือเท้าคางมองใบหน้าที่ถูกผ้าปิดปากคลุมใบหน้าครึ่งล่าง
ขงเฉว่ไม่ตอบ ใบหน้านิ่งสงบ
“อำนาจลาภยศ?”
เขาขยับกายเพียงเพื่อเอื้อมหยิบเก๋ากี้สีแดงสดมาโปรยลงโกร่งบดยา
“รึต้องการสตรี?”
คิ้วเรียวขมวดพลัน เสียงแหบแห้งผ่านช่วงวัยแตกหนุ่มมาหมาด ๆ กล่าวออกมา
“สตรีรึ... ท่านยังเด็กเกินกว่าจะคิดเรื่องนี้ฝ่าบาท”
“ข้าเติบใหญ่แล้ว” เหวินหยางซื่อกล่าวเพียงครึ่งคำ เก็บซ่อนถ้อยคำต่อมาว่า ‘มารดาเจ้าก็เคยคิดพิสูจน์ด้วยมือเปล่า’ เอาไว้
ดวงตากลมหรี่มองคล้ายช่างใจ เหวินหยางซื่อขยับกายนั่งหลังตรง สบตากับแพทย์ฝึกหัดผู้นั้นแน่นิ่ง
“หากเจ้ายอมตอบข้ามา ข้าจะให้เจ้าได้สมปรารถนาอย่างแน่นอน”
ร่างสูงผงะพลัน ดวงตาคู่นั้นที่อยู่เหนือขอบผ้าปิดปากสีขาวโปร่งจดจ้องเข้ามายังนัยน์ตาสีน้ำผึ้ง คล้ายว่าแพทย์ฝึกหัดผู้นี้กำลังยกยิ้มอยู่ภายใต้ผ้าผืนบาง ถุงใต้ตาดันขึ้นส่งเสริมให้ขอบรอบตาเป็นทรงรี
“ข้าปรารถนาเพียงแค่ได้พบท่านแม่ของข้า”
องค์ชายน้อยเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มผงะพลัน
...ช่างเป็นความปรารถนาที่ธรรมดาดาษดื่น
ทว่าเกินอาจเอื้อม...
วังหลังหาใช่สถานที่ซึ่งใครจะใคร่เข้าออกตามใจได้
สวนบุปผาแห่งองค์กษัตริย์
มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่มีสิทธิเชยชม
สำนักแพทย์กำหนดวันหยุด ให้เหล่าแพทย์ฝึกหัดลากลับบ้านไปร่วมฉลองตามงานเทศกาลต่าง ๆ แม้แต่เหวินหยางซื่อเองก็มีคนในวังมารับกลับไปร่วมงานรื่นเริงสังสรรค์ เขาก็ต้องอยู่เฝ้าห้องเก็บสมุนไพรและคัดตำราเล่มหนาอย่างเดียวดาย
องครักษ์เหวินในนาน ๆ ครั้งจะเจียดเวลาอันมีค่ามาเยี่ยมบุตรชายของตนตรงกับวันงานเทศกาลพอดิบพอดี
ครั้งหนึ่งที่องค์รักเหวินเห็นขงเฉว่นั่งร้องไห้เพียงลำพัง เขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในหัวใจ ตนช่างเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง และฉานฉูนางเองก็ไม่สามารถอยู่ดูแลลูกของพวกเขาได้อย่างใกล้ชิดอีกต่อไป
สุดท้ายเขาจำต้องทำเรื่องที่ไม่ควรทำ...
การแตะต้องสตรีของฝ่าบาทล้วนมีโทษหนัก ถึงขึ้นถูกประหารชีวิตได้
เช่นนั้นแล้วองค์รักเหวินจึงแอบเข้าตำหนักสนมในยามวิกาล โปรยยาสลบใส่เหล่าข้ารับใช้ จากนั้นใช้ผ้าห่มห่อตัวของนางแล้วพามายังสำนักแพทย์
ฉานฉูกังวลเพียงโทษตาย แต่นางหาได้แหกปากโวยวายลั่นเสียงดัง กระซิบลอบถามสามีว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร” มาตลอดทางแต่มิได้รับคำตอบ
จนกระทั่งนางถูกปล่อยให้เป็นอิสระที่สวนไผ่หลังสำนักแพทย์ ที่หลังกอไผ่นั้นมีร่างของเด็กหนุ่มค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมา
ขงเฉว่ยิ้มใต้ผ้าปิดปากผืนบาง เช่นเดียวกันกับนาง
สองแม่ลูกกอดกันกลมครู่หนึ่งด้วยความถวิลหา ก่อนที่ขงเฉว่จะผละออกแล้วคำนับนางหนึ่งครั้ง แล้วหันไปคำนับองครักษ์เหวินหนึ่งครั้ง
“ขอบคุณท่านพ่อขอรับ”
หนุ่มน้อยพูดออกมาพลางคลี่ยิ้มกว้างใต้ผ้าปิดปากกระนั้นยังสามารถรับรู้ได้ถึงความบริสุทธิ์ที่น่าทะนุถนอมราวกับหยกล้ำค่ายิ่ง
องค์รักเหวินนั้นนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะพยักหน้ารับแล้วต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อถูกลูกชายพุ่งเข้ามากอด เขาจึงยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายก่อนจะสบตากับฉานฉูด้วยความรู้สึกที่หลากหลายอยู่เต็มอก
ครั้นเมื่อพานางกลับส่งถึงตำหนัก องครักษ์เหวินทำความเคารพนางก่อนตั้งท่าจะหมุนตัวเดินจากไป ยามนั้นนางกลับสวมกอดเขาแน่นจากข้างหลัง ร้องไห้และพูดถึงขงเฉว่ว่านางรู้สึกผิดต่อลูกเพียงไหนที่ทิ้งให้ลูกอยู่ตามลำพัง
องครักษ์เหวินเมื่อถูกภรรยารักตัดพ้อเช่นนั้นเขาก็ลืมหน้าที่และความถูกผิดไปทันที หันไปประคองร่างบางและพานางไปนั่งที่ตั่งเตียงเพื่อปลอบ
ยามเมื่อได้นั่งเคียงกัน นางพอจะรู้สึกดีใจขึ้นมาได้เปราะหนึ่ง
ฉานฉูรับฟังเสียงของผู้เป็นสามีด้วยรอยยิ้ม
เสียงทุ้มนั้น ไม่ผิดเพี้ยนจากวันที่ได้สารภาพความในใจกับนางเลยแม้แต่น้อย
“สมัยเด็ก ๆ ข้ากับฮ่องเต้นั้นไปล่าสัตว์เผชิญความยากลำบากเคียงบ่าเคียงไหล่กันบ่อยครั้งจึงได้เติบโตมาเป็นคนที่มีความสามารถ นับว่าเป็นการเผชิญโชคร่วมกัน เฉว่เกอนั้นก็คงกำลังเผชิญโชคของตนอยู่ เจ้าอย่าได้กังวลไป”
ฉานฉูนิ่งงัน เรื่องเล่านี้นางเคยได้ฟังมาหลายหนแล้ว แต่ราวกับว่าเป็นเรื่องฝังใจสามีของนางยิ่งนัก
“ท่านเคยเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังแล้วหนหนึ่ง เรื่องที่ท่านออกไปล่าสัตว์กับฝ่าบาทในฤดูหนาว”
“เพราะข้าเกือบตายในครั้งนั้น ข้าจึงจำมันได้ไม่มีวันลืมเลือน”
“สัตว์ป่านั้นดุร้ายมากหรือ” นางถามไถ่ด้วยถ้อยคำเดิม แม้ว่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ดวงตาของนางมองมือหนาที่กอบกุมมือของนางเอาไว้พลางเอนซบไหล่กว้างอย่างต้องการได้อิงแอบแนบชิดผู้เป็นที่รัก
องครักษ์เหวินส่ายหน้าไปมาเบา ๆ เสียงทุ้มเอ่ย
“เป็นคนต่างหากที่ดุร้าย” เขาถอนหายใจออกมา แม้ว่าเขาจะเคยเล่าให้นางฟังแต่ก็เป็นเพียงผิวเผินนัก หากแต่ครั้งนี้ได้ชี้แจงออกมาเสียทีว่า “ครั้งนั้นฮ่องเต้กับข้าสลับชุดกัน ทำให้ข้าถูกโจรชั่วนั้นจับตัวไปและถูกทำร้ายแทนพระองค์ ถึงอย่างไรข้าก็ย่อมตายแทนพระองค์ได้เสมอ”
นางวางมือลงบนอกซีกซ้ายสัมผัสหัวใจของชายผู้เป็นที่รัก มันเต้นในจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว หากโป้ปดนางอาจจะจับสังเกตได้ ...สิ่งที่เขาพูดมาคือความจริง
“ลูกของเรามีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ท่านเองก็มีภาระหน้าที่สำคัญนัก... แต่ว่าท่านได้โปรดอย่าสนใจเพียงหน้าที่มากกว่าสนใจหัวใจที่กำลังเรียกร้องของตนเอง บางครั้งท่านต้องเลือก”
เมื่อพูดถึงหน้าที่และหัวใจเขาก็เริ่มทำการช่างน้ำหนักของมัน
ใบหน้าเสี้ยวล่างนั้นยังแสดงออกถึงความเคร่งเครียดจนทำให้ฉานฉูถึงกลับน้ำตาตกใน เขาได้เลือกแล้วว่าสิ่งใดที่สำคัญกว่า...
ชายคนรักของนางผละออกห่าง คุกเข่าลงกับพื้นแล้วกล่าวด้วยท่าทีหมางเมิน
“ขออภัยที่ล่วงเกินพ่ะย่ะค่ะ พระสนม”
นางพลันน้ำตาเอ่อคลอ หากแต่แข็งใจกล่าวออกไปพลางผินมองไปทางอื่น “หากเจ้าเลือกหน้าที่ของเจ้า ข้าก็จะเลือกหน้าที่ของข้า”
...หน้าที่ของพระสนมผู้รับใช้ฝ่าบาท อยู่และตายเพื่อชายคนนั้น