มนต์ไอยคุปต์
“มิ... รา...” ชนะชนพึมพำชื่อของเธอ เสียงขาดหายไปในลำคอ นัยน์ตาเบิกกว้างคล้ายกำลังเจอเรื่องเหนือธรรมชาติจากอีกห้วงมิติ
...ไม่ผิดแน่! ชายหนุ่มบอกตัวเอง พร้อมกับจับจ้องเธออย่างไม่วางตา หญิงสาวเจ้าของใบหน้ารูปไข่ ปากนิดจมูกหน่อยดูน่ารัก แต่นัยน์ตากลมโตมีแววโศก เธออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีม่วงอ่อน กับแจ็คเก็ตสีน้ำเงิน สวมขายาวกางเกงสีกรมท่า และรองเท้าส้นเตี้ย ผมยาวเกือบถึงกลางหลังรวบไว้เรียบร้อย แล้วก็อาจเป็นเพราะชนะชนจ้องมองเธอนานเกินไป หญิงสาวจึงรู้สึกตัวและหันมามองเขา ถึงอย่างนั้นลึกๆ ข้างในแววตาของเธอก็ไม่ได้ปรากฏสิ่งที่บ่งบอกว่า เธอเคยรู้จักกับเขามาก่อนเลยแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จักกันไว้นะคะ” เจ๊แหม่ม ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ยิ้มแย้มบอกทั้งสองฝ่าย ก่อนจะเริ่มต้นแนะนำ 1 คนชรากับ 2 หนุ่มให้ 2 สาวรู้จักก่อน “ทางซ้ายมือสุดคือ ผอ.วิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักโบราณคดีจ้ะ ถัดมาคนกลางก็พี่ชนะชนเป็นหัวหน้ากลุ่มวิชาการโบราณคดี แล้วก็ท้ายสุดพี่จตุรงค์ รองหัวหน้ากลุ่มวิชาการโบราณคดี”
“สวัสดีค่ะ” สองสาวยกมือไหว้ทั้ง 3 คนตามลำดับ ขณะที่อีกฝ่ายก็รีบรับไหว้ โดยชนะชนยังคงจับจ้องเพียง ‘เธอ’ คนเดิม ส่วนจตุรงค์ซึ่งมั่นใจนักหนาว่า เสื้อเชิ้ตลายทางสีขาว – น้ำเงิน กับกางเกงขายาวสีขี้เถ้าที่พึ่งควักกระเป๋าซื้อมาใหม่ จะช่วยเสริมหล่อให้เขาพอสูสีกับชนะชนได้ ก็เล็งเป้าหมายไปที่สาวหมวยหน้าหวานเจ้าของผมม้าสไลด์ ในชุดแซกลายสก๊อตผูกเอว ดูทันสมัยเหมือนหลุดจากนิตยสารแฟชั่น
“ส่วนคนสวย 2 คนนี้ มินตรากับเกสรี เจ้าหน้าที่กลุ่มประวัติศาสตร์ เป็นน้องใหม่พึ่งเข้ามาทำงาน มีอะไรก็ช่วยๆ กันแนะนำหน่อยนะคะ” เจ๊แหม่มแนะนำ 2 สาวให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายชายรู้จักบ้าง
“ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้เลยนะครับ” จตุรงค์ฉีกยิ้มบอกสองสาว ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ยิ้มฝืดตอบขอบคุณ
“เป็นรุ่นพี่ที่น่ารัก ถ้าอย่างนั้นช่วยเอาพาสปอร์ตของทุกคน ไปเช็คอินตั๋วทีนะจ๊ะ” เจ๊แหม่มแก้เผ็ดความกะล่อนของจตุรงค์ พร้อมกับส่งพาสปอร์ตของตัวเองกับสองสาวให้ โดยได้รับความร่วมมือจาก ‘ป๋า’ ผอ.สำนักโบราณคดี และชนะชนซึ่งพร้อมใจกันหยิบพาสปอร์ตส่งให้จอมกะล่อนเช่นกัน
“แหะๆ ไม่มีปัญหาครับ” จตุรงค์หน้าเจื่อนลงไปนิดหนึ่ง ถึงอย่างนั้นก็ยังฉีกยิ้มสู้
“ดีมากจ้ะ งั้นฝากกระเป๋าของสองสาวไปด้วยนะจ๊ะ จตุรงค์คนเก่งช่วยเข็นไปทีนะ” เจ๊แหม่มฉวยกระเป๋าเดินทางในมือมินตรากับเกสรีวางลงบนรถสำหรับเข็นกระเป๋า ซึ่งมีกระเป๋าเดินทางของสองผู้อาวุโสวางอยู่ก่อนแล้ว “ชนะชนก็เอากระเป๋ามาวางไว้ด้วยกันซะสิจ๊ะ จะได้ไม่ต้องเดินลาก สบายออก”
“เอ่อ... ครับ” ชนะชนวางกระเป๋าของตัวเองลงบนรถเข็นกระเป๋าตามที่เจ๊แหม่มบอก ยิ่งทำให้จตุรงค์หน้าซีดเป็นไก่ต้ม มุมปากที่เคยชี้ขึ้นฉีกยิ้มแบบสู้ตายค่อยๆ ตกลงๆ กระทั่งไม่เหลือแม้รอยยิ้มฝืด เพราะแค่สัมภาระของเจ๊แหม่มชนิดแทบจะขนบ้านไป ก็คงทำให้หนุ่มร่างบางสูงโปร่งอย่างเขาแทบจะสะบักสะบอมแล้ว เรื่องนั้นชนะชนเองก็รู้
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอก เดี๋ยวฉันช่วยเข็นไปให้” ชายหนุ่มตบบ่าเพื่อนสนิท ก่อนจะเป็นฝ่ายเข็นรถเข็นกระเป๋าเดินนำไปก่อน กระทั่งสิ้นสุดการเช็คอินตั๋ว และชั่งน้ำหนักกระเป๋าซึ่งสองหนุ่มต่างช่วยกันขนสัมภาระของคนทั้งคณะ ลงจากรถเข็นกันอย่างแข็งขันเสียเหงื่อชุ่มแผ่นหลัง
“ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับหัวหน้า” จตุรงค์โค้งให้ชนะชนท่าทางนอบน้อม จนถูกอีกฝ่ายถลึงตาใส่
“บอกว่านอกเวลางานไม่ต้องเรียกหัวหน้าไง เดี๋ยวขากลับให้เข็นกระเป๋าคนเดียวซะเลยนี่”
คำพูดของชนะชนเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน ยกเว้นจตุรงค์ที่ยืนหน้าซีดเป็นไก่ต้มรอบสอง เมื่อนึกถึงของฝากจากอียิปต์ที่เจ๊แหม่ม ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ของพวกเขา จะขนกลับมาอีกพะเรอเกวียน
“โห โหดร้ายกับเพื่อนตาดำๆ ได้ไงเนี่ย”
“ทีแบบนี้ล่ะอยากเป็นเพื่อนขึ้นมาเชียวนะ”
ทั้งคำพูดและท่าทางหงอๆ ของจตุรงค์ กับสีหน้าเอือมระอาของชนะชน ยิ่งทำให้ทุกคนพากันขบขัน ไม่เว้นแม้แต่สองสาวน้องใหม่อย่างมินตราและเกสรี นั่นเองที่ทำให้ชนะชนชะงักไปอีกครั้ง เมื่อได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของหญิงสาว
“เฮ้ๆ จะตกหลุมรักสาวทั้งที ก็เก็บอาการนิดนึงสิ แบบนี้น้องเขาก็รู้หมด” จตุรงค์สะกิดเตือนเพื่อน หลังจากที่เห็นชนะชนเอาแต่คอยชำเลืองมองรุ่นน้องสาวแทบทุกอิริยาบถ ตั้งแต่อยู่ภายในสนามบินจนกระทั่งขึ้นมานั่งบนเครื่องบิน เตรียมมุ่งหน้าสู่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์
“ทีนายเองยังทั้งส่งสายตา ทั้งแสดงออกว่ากำลังขายขนมจีบรุ่นน้องแบบไม่เกรงใจผู้ใหญ่เลยนี่ เลยโดนแกล้งซะ” ชนะชนย้อนขำๆ ถึงอย่างนั้นก็ยอมรับแต่โดยดีว่า ตัวเองตกหลุมรักมินตราเจ้าหน้าที่น้องใหม่เข้าอย่างจังเบ้อเร่อ โดยเฉพาะรอยยิ้มของเธอที่ทำให้หัวใจแข็งๆ ของเขาอ่อนยวบลงในทันที ทั้งที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน และทั้งที่ยังไขปริศนาเกี่ยวกับตัวเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ก็นั่นมันเอกลักษณ์ของฉัน แต่เอกลักษณ์ของนายมันไม่ใช่นี่ มันต้องขรึม ขรึม และขรึม ถึงจะสมกับเป็นนาย” จตุรงค์แจกแจง ขณะที่ชนะชนรับฟัง พลางชำเลืองมองมินตราซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งฝั่งตรงข้ามทางด้านซ้ายมือของเขา และกำลังนั่งคุยอยู่กับเพื่อนสนิทของตัวเองเช่นกัน
“นี่! มิน ฉันว่ารุ่นพี่ที่ชื่อชนะชนอะไรนั่นน่ะ ต้องแอบชอบเธอแน่ๆ เลย” เกสรีกระซิบบอกเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ เสียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเกรงว่าเจ๊แหม่ม ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันจะได้ยินเข้า
“พูดอะไรน่ะเกด ไปเอามาจากไหน เดี๋ยวเขารู้ก็ซวยกันหมดหรอก” มินตราเอ็ดเพื่อนเสียงเบา นัยน์ตากลมโตราบเรียบ ไร้แวววูบไหว เพราะไม่คิดว่านั่นจะเป็นเรื่องจริง
“เธอไม่สังเกตหรือรู้สึกตัวบ้างเหรอว่า เขามองเธอแทบจะตลอดเวลา ฉันยังเห็นเลย” เกสรียืนยัน พลางชำเลืองมองจับผิดชนะชนซึ่งกำลังชำเลืองมองมินตราอยู่เช่นกัน “นั่นไง! ลองหันไปดูสิมิน” เพื่อนสาวหน้าหมวยพยักเพยิดหน้าให้มินตราหันไปมองชนะชน เป็นเวลาเดียวกับที่จตุรงค์สะกิดชนะชนให้ตั้งใจฟังที่เขาพูด
“เขาก็คุยอยู่กับเพื่อนของเขานี่ เธอดูละครหลังข่าวมากไปหรือเปล่าเกด” มินตราหันไปมองชนะชนแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาหาเกสรี ส่ายหน้าให้กับคำพูดของเพื่อน จึงไม่เห็นว่าชนะชนหันมาชำเลืองมองเธออีก
“ก็อีตารองหัวหน้าติ๊งต๊องนั่น ดันสะกิดให้เขาหันไปพูดด้วยตอนที่เธอหันไปมองพอดีนี่ อ๊ะ! นั่นไงๆ หันมามองเธออีกแล้ว หันไปดูสิมิน” เกสรีสะกิดเพื่อนให้หันไปมองชนะชนอีกครั้ง เป็นเวลาเดียวกับที่แอร์โฮสเตสสาวประจำเครื่องสาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ชนะชนจึงหันไปฟังสิ่งที่แอร์โฮสเตสพูด รวมทั้งก้มลงมองสำรวจความเรียบร้อยของอุปกรณ์ต่างๆ รอบตัว
“ก็ไม่เห็นว่าเขาจะหันมามองฉันเลยนี่เกด เธอน่ะดูหนังดูละครมากเกินไปจริงๆ ด้วย” มินตราส่ายหน้าเอือมระอาอีกรอบ แล้วหันไปฟังแอร์โฮสเตสพูดบ้าง ปล่อยให้เกสรีนั่งโมโหหัวเสียกับการที่ชนะชนแคล้วคลาด หลุดรอดจากการจับผิดของเธอไปเป็นครั้งที่ 2
ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังไม่คิดที่จะยอมแพ้ เธอหมายมั่นปั้นมือที่จะจับผิดชนะชนให้ได้คาหนังคาเขา ในระยะเวลาการเดินทางไปอียิปต์ 5 วัน 4 คืนนี้ โดยลืมจุดประสงค์ในการเดินทางของคณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยไปเสียสนิท
ตอนที่ 2
นกยักษ์บินลัดฟ้าข้ามทวีปมาจนถึงที่หมาย ณ สนามบินนานาชาติกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ในเวลา 18 นาฬิกา หรือเกือบ 13 นาฬิกาตามเวลาในประเทศอียิปต์ ซึ่งช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 4-5 ชั่วโมง โดยไม่มีการแวะพักที่สนามบินใด รวมระยะเวลาในการเดินทางเกือบ 10 ชั่วโมง นับเป็นช่วงเวลายาวนานสำหรับสองสาวที่ยังไม่เคยเดินทางไกลด้วยเครื่องบินมาก่อน โดยเฉพาะเกสรี สาวน้อยคนเดียวของคณะผู้อาจหาญชี้นิ้วเลือกอาหารอียิปต์มารับประทานเป็นมื้อกลางวันบนเครื่องบิน
“โอย ยังติดลิ้นอยู่เลยล่ะมิน” เธอหันไปบ่นกับเพื่อนสาวคนสนิท ระหว่างรอกระเป๋าสัมภาระที่กำลังโหลดจากใต้ท้องเครื่องบิน
“ก็ฉันบอกแล้วว่าให้เลือกอาหารที่เราคุ้นๆ กันอยู่ เกดก็ไม่เชื่อ” มินตราส่ายหน้าให้เพื่อนอีกรอบ
“แหม! ฉันก็อยากลองกินอาหารอียิปต์บ้างสิ อุตส่าห์ได้มาบ้านเมืองเขาทั้งที”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวทางสถานทูตเขาก็ทำให้กิน เผลอๆ จะทุกมื้อด้วยซ้ำ” ชนะชนซึ่งถือโอกาสมายืนอยู่ข้างๆ มินตราพูดขึ้นยิ้มๆ แต่เพราะคำพูดของเขานั่นเองที่ทำให้เกสรีแทบชักตาตั้ง
“หา ! จะ... จะ... จริงหรือคะ!?”
“ใจเย็นๆ จ้ะ ถึงจะเป็นอาหารต่างประเทศ แต่เขาก็จะพยายามทำให้รสชาติออกมาคล้ายอาหารไทย ทานง่าย ไม่เหมือนของดั้งเดิมหรอก” จตุรงค์ซึ่งสบโอกาสทำไม่รู้ไม่ชี้มายืนข้างเกสรีเช่นกัน ปลอบหญิงสาวที่ทำท่าจะลมจับขึ้นมาดื้อๆ แต่นั่นเป็นเพียงแค่ปัญหาของเธอคนเดียว ยังไม่รวมถึงปัญหาที่คนทั้งคณะต้องประสบ
“การสื่อสารของทางเรากับสถานทูตคงมีอะไรผิดพลาด เขาบอกว่าสถานทูตไทยแจ้งว่ามีนักโบราณคดีเดินทางมาแค่ 4 คน” ผอ.สำนักโบราณคดีควบตำแหน่งหัวหน้าคณะ เดินเข้ามาบอกทุกคนสีหน้าเคร่งเครียด หลังการเจรจากับเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจคนเข้าเมืองประเทศอียิปต์เป็นที่ล้มเหลว
“เดี๋ยวฉันจะลองไปพูดอีกแรงนะคะ” เจ๊แหม่มในฐานะรองหัวหน้าคณะ เดินจ้ำอ้าวไปหาเจ้าหน้าที่ พร้อมกับพยายามปั้นหน้านางยักษ์ให้กลายเป็นใบหน้าของนางสิบสอง แต่ก็ต้องเดินกลับมาด้วยใบหน้านางยักษ์ตามเดิม
“เขาบอกว่ายังไงก็ไม่ได้ค่ะ ให้ตายเถอะ! นี่มันอะไรกันเนี่ย”
“เดี๋ยวผมไปเคลียร์เองครับ ขอบัตรประชาชนกับบัตรประจำตัวข้าราชการของทุกคนด้วยครับ” ชนะชนพูดขึ้นเสียงขรึม ก่อนจะรับบัตรประจำตัวของทุกคนมา และเดินไปหาเจ้าหน้าที่ซึ่งปั้นหน้าบูดๆ รอรับอยู่แล้ว
แต่หลังจากนั้น...
“หัวหน้าชนะชนพูดภาษาอาหรับได้ด้วยหรือคะเนี่ย!?” เกสรีทำตาโต ออกอาการตื่นเต้น เมื่อได้ยินเสียงพูดภาษาอาหรับโต้ตอบกันดังแว่วมาเข้าหู แทนที่จะเป็นภาษาอังกฤษ
“ไม่ใช่แค่ภาษาอาหรับกับภาษาไทย แต่ทั้งภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษ สำเนียงอเมริกัน ภาษาจีน แล้วก็ภาษาญี่ปุ่น ชนะชนพูดได้เหมือนเป็นเจ้าของภาษาเลยล่ะ” ผอ.สำนักโบราณคดีตอบด้วยความภาคภูมิใจแทนเจ้าตัว ยิ่งทำให้สองสาวรู้สึกทึ่งในตัวชายหนุ่ม
“เป็นมนุษย์ 5 ภาษาที่หาตัวจับยากจริงๆ” เจ๊แหม่ม ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ยืนกอดอกมองชนะชนอย่างชื่นชม
“ทีนี้คงหมดปัญหาเสียทีสินะ” จตุรงค์ยิ้มรับเพื่อนสนิทที่เดินกลับมา อันที่จริงแล้วเขาเองก็พูดภาษาอาหรับได้เหมือนกับชนะชน แต่ท่าท่งขรึมๆ ดูน่าเกรงขามของหมอนั่น คงเหมาะกับงานแบบนี้มากกว่า
“เขาจะยึดบัตรประชาชนของเราไว้ก่อนนะครับ แล้วจะคืนให้เมื่อมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถานทูตมายืนยัน แต่ตอนนี้ให้เราผ่านไปได้ครับ” ชนะชนส่งบัตรข้าราชการและพาสปอร์ตคืนให้ทุกคน รวมทั้งคืนหนังสือราชการระหว่างประเทศฉบับสำเนาที่เจ้าหน้าที่ยึดไว้ให้ ผอ.สำนักโบราณคดีด้วย
แต่... ปัญหาของคนทั้งคณะก็ยังไม่ได้จบลงแค่นี้