มนต์ไอยคุปต์
“Let go her hand and give back the change.”
เสียงคุ้นหูดังมาจากร้านขายเครื่องประดับข้างหน้า และชนะชนก็จำได้แม่นยำว่า...
“เสียงมินตรา!” เขาหันไปบอกจตุรงค์ ก่อนที่ทั้งสองหนุ่มจะรีบเดินเร็วตรงไปยังร้านอันเป็นต้นตอของเสียง ซึ่งจากน้ำเสียงขุ่นๆ กับคำพูดที่บอกให้ปล่อยมือเกสรีและทอนเงินค่าสินค้า ก็พอจะทำให้ทั้งคู่คาดเดาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
“ตามหาตั้งนาน มาอยู่ที่นี่กันนี่เอง”
เสียงพูดของชนะชนเรียกสองสาวให้หันมามองด้วยความดีใจ ตรงข้ามกับชายหนุ่มชาวอียิปต์เจ้าของร้านซึ่งถึงกับชะงัก จากที่ยอมปล่อยมือเกสรีเพราะเสียงอันทรงพลังของมินตรา แต่ยังแกล้งทำเป็นยักท่าไม่ยอมทอนเงิน ก็กลับรีบหยิบเงินทอนให้ตามราคาที่ตกลงกันไว้ ซ้ำยังแถมกำไลข้อมือให้อีกชิ้นหนึ่งด้วย นัยว่าเป็นค่าทำขวัญและค่าเสียหายของสองสาว สร้างความประหลาดใจให้ทั้งคู่เป็นอย่างมาก
“สุดยอดเลยนะคะหัวหน้าเนี่ย แค่ตานั่นเห็นหน้าขรึมๆ ของหัวหน้าก็รีบทอนเงินให้ แล้วยังแถมกำไลมาให้อีก รู้อย่างนี้ให้หัวหน้าไปยืนมองหน้าคนขายตั้งแต่แรกก็ดีหรอก” เกสรีตื่นเต้นกับเรื่องประหลาดเรื่องนี้ยิ่งกว่าร้านรวงรอบข้างไปเสียแล้ว
“นั่นมันแค่ผลพลอยได้ สิ่งสำคัญที่สุดของการที่เราเดินเกาะกลุ่มกันก็คือความปลอดภัยต่างหาก ต่อไปก็อย่าทำแบบนี้อีก รู้แล้วใช่ไหมว่าปัญหาที่ตามมามันเป็นยังไง” ชนะชนดุสาวหมวยรุ่นน้องโดยที่จตุรงค์ไม่กล้าขัด
“ขอโทษค่ะ...” เกสรีหน้าจ๋อย ไม่กล้าดึงมินตราไปไหนต่อไหนอีก นอกจากปล่อยให้สองหนุ่มเดินขนาบข้างตัวเองและเพื่อนไว้ เพื่อป้องกันการพลัดหลงเป็นครั้งที่ 2
ทั้งหมดใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ในการเดินเที่ยวภายในตลาดข่านเอล คาลิลีแห่งนี้ และแม้จะผ่านไปกว่า 6 ศตวรรษ แต่อาคารร้านรวงต่างๆ ก็ยังคงศิลปะแบบเก่าไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ตึกสีอิฐกับสถาปัตยกรรมและการแกะสลักอันประณีตวิจิตรอย่างยากที่จะหาได้ในปัจจุบัน รวมทั้งสินค้าที่วางเรียงรายซึ่งให้กลิ่นไอประวัติศาสตร์ยุคเก่า ทั้งพีระมิดจำลอง สฟิงซ์ย่อส่วน รูปปั้นมัมมี่ ตะเกียงอาละดิน และโคมรูปร่างแปลกๆ นอกจากนี้ยังมีอาหาร ขนม ผลไม้ เครื่องแต่งกายแบบพื้นเมือง เครื่องประดับ น้ำหอม และสินค้าร่วมสมัยอื่นๆ ภายใต้พื้นที่ที่ประกอบด้วยตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ยิ่งกว่าเขาวงกตแห่งนี้
“พักเหนื่อยสักหน่อยก็แล้วกันนะ” ชนะชนบอกสองสาว ก่อนจะเดินนำเข้าไปในร้านขายเครื่องดื่มมีชื่ออายุกว่า 100 ปี มีจตุรงค์ซึ่งเดินหอบถุงพะรุงพะรังตามเข้าไปเป็นคนสุดท้าย ด้วยท่าทางหน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม อันเป็นผลจากการอาสาถือของให้สองสาว
“ชามะนาวที่นึงครับ” จตุรงค์สั่งเครื่องดื่มของตัวเองเป็นภาษาอาหรับ หวังอวดเกสรีซึ่งก็ดูจะได้ผล
“ว้าว! รองหัวหน้าจตุรงค์ก็พูดภาษาอาหรับได้หรือคะเนี่ย” สาวหมวยทำท่าตื่นเต้น ตาเป็นประกาย ไม่เหลือแววสลดให้เห็น ซึ่งก็อาจจะเพราะผ้าผูกเอวสีหวาน กับน้ำหอมขวดสวยที่ชนะชนและจตุรงค์ซื้อให้สองสาวเป็นของขวัญรับน้องใหม่ก็เป็นได้
“เรียนมาด้วยกันกับหัวหน้าชนะชนนี่แหละจ้ะ แต่ได้แค่ 3 ภาษา ไม่อัจฉริยะเหมือนเขาหรอก” จตุรงค์มิวายยกยอปอปั้นเพื่อน
“อวดอ้างสรรพคุณกันมาก เดี๋ยวจะให้เข็นรถเข็นกระเป๋าคนเดียว” ชนะชนขู่ซ้ำ พร้อมกับปั้นหน้าขรึมๆ ให้ดูเข้ากัน
“โธ่! ต่อไปจะไม่พูดแล้วคร้าบ” จอมกะล่อนหน้าเสีย รีบละล่ำละลักสัญญิงสัญญา จนสองสาวพากันขบขัน เช่นเดียวกับชนะชนที่แอบยิ้มขำเพื่อนสนิทอยู่ในใจ ภายนอกเขาอาจดูเป็นคนเคร่งขรึม แต่ความจริงแล้วเขาก็มีมุมสนุกในแบบของเขา
“ยืนตัวตรง ยิ้มหวานๆ ตามองกล้องด้วยครับคุณจตุรงค์”
หลังออกจากร้านเครื่องดื่ม ชนะชนก็ชวนทุกคนมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกตรงหน้ามัสยิดภายในตลาดก่อนกลับ และเจ้ากี้เจ้าการจับคู่ให้จตุรงค์ได้ถ่ายรูปคู่กับเกสรี บันทึกภาพเด็ดด้วยโทรศัพท์มือถือของจอมกะล่อน โดยที่อีกฝ่ายยังคงหอบถุงพะรุงพะรังแสดงความเป็นลูกผู้ชาย แม้ในขณะที่เปลี่ยนมาเป็นคนถ่ายรูปคู่ให้กับชนะชนและมินตราด้วยโทรศัพท์มือถือของชนะชน ก็ยังอุตส่าห์หิ้วถุงทั้งหมดด้วยมือเพียงข้างเดียว จนชนะชนนึกเวทนา
“ส่งมาเร็ว ฉันจะช่วยถือ”
“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวรูปออกมาไม่หล่อ... เตรียมตัว สาม สอง หนึ่ง” จตุรงค์ฉีกยิ้มสู้ จนสองคนในโฟกัสกล้องเกือบฉีกยิ้มในท่าเดียวกันไปด้วย
“อย่าทำเป็นเท่คนเดียวเลยน่า ส่งถุงมาครึ่งนึง ฉันจะช่วยถือ” ชนะชนเดินตามแย่งถุงจากจตุรงค์ ขณะที่สองสาวซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าผลัดกันกระเซ้าเย้าแหย่กันเอง ระหว่างเดินกลับไปยังจุดที่นัดกับคนรถสมชายไว้
“แหมๆ ๆ ได้ถ่ายรูปคู่กับเขาด้วย ทีนี้เชื่อฉันหรือยังล่ะว่าเขาน่ะแอบชอบเธอ ถึงได้หาเรื่องชวนพวกเราไปถ่ายรูป” เกสรีเป็นฝ่ายฟื้นฝอยหาตะเข็บขึ้นมาก่อน
“เธอเองก็ได้ถ่ายรูปคู่กับเพื่อนเขาเหมือนกันนั่นแหละ ฉันว่าเป็นแผนให้เพื่อนเขาได้ถ่ายรูปคู่กับเธอมากกว่า เล่นแสดงออกว่าชอบเธอออกหน้าออกตาซะขนาดนั้น” มินตราแซวกลับบ้าง
“พูดอะไรของเธอน่ะมิน ฉันแซวเธออยู่นะยะ” สาวหมวยผลักแขนเพื่อนกลบเกลื่อนอาการเขิน จนมินตราเซลงไปที่ถนน เป็นเวลาเดียวกับที่รถยนต์สีดำคันหนึ่งแล่นมา
...หากคำนวณจากระยะทางแล้ว หญิงสาวยังพอมีเวลาเหลือที่จะหลบรถได้ทัน แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อจู่ๆ ความเร็วของรถกลับเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหลังพวงมาลัย จงใจเหยียบคันเร่งจนสุดแรง
บรืนนนน...
ตอนที่ 3
“มินนนน!!”
เกสรีร้องเรียกเพื่อนสุดเสียงด้วยความตกใจ ขณะที่มินตราได้แต่ยืนตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูก กระทั่งใครคนหนึ่งดึงแขนเธอกลับขึ้นมาบนฟุตบาท แรงเสียจนทั้งคู่ล้มลงไปด้วยกัน ถึงอย่างนั้นก็รอดพ้นจากการถูกรถชนได้อย่างหวุดหวิด
“ชิ!”
หญิงสาวสวมแว่นดำผู้นั่งอยู่เบื้องหลังพวงมาลัย เหลือบตามองกระจกมองหลังอย่างไม่สบอารมณ์ และยังคงเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วอย่างต่อเนื่อง เปล่าเลย ! ไม่ใช่เพื่อการหลบหนีเพราะกลัวความผิด แต่เพื่อระบายอารมณ์ที่คั่งแค้นมาแสนนาน โดยเฉพาะกับการที่สิ่งที่ตั้งใจไว้ไม่บรรลุเป้าหมาย
“มิน! หัวหน้า!”
“ชนม์! น้องมิน! เป็นยังไงบ้าง บาดเจ็บหรือเปล่า!?”
ทั้งเกสรีและจตุรงค์รีบเข้ามาดูอาการของคนทั้งคู่ ฝ่ายมินตราดูจะไม่เป็นอะไรมาก เพราะล้มลงไปบนตัวของชนะชน แต่สำหรับชนะชนซึ่งตั้งใจใช้ตัวเองเป็นเบาะรองให้เธออยู่แล้วนั้น ไม่ใช่เพียงแขนเสื้อขาดอย่างเดียวแน่ !
“ตายแล้ว! ข้อศอกหัวหน้า เลือดออกเยอะเลยนะคะ” เกสรีปิดปากอุทาน ระหว่างที่เข้าไปช่วยพยุงมินตราและบังเอิญสังเกตเห็นบาดแผลของเขาเข้า
“หัวหน้าคะ ดิฉันขอโทษจริงๆ นะคะ ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ” มินตราไหว้ขอโทษชนะชนอยู่หลายครั้ง นัยน์ตาโศกเอ่อท้นไปด้วยหยาดน้ำตา จนชายหนุ่มชะงัก
“ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ” เกสรีบอกมินตรา แล้วหันกลับมาไหว้ขอโทษชนะชนอีกคน “ขอโทษนะคะหัวหน้า เกดไม่น่าบ้าจี้แกล้งผลักมินแรงขนาดนั้นเลย ขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องคิดมากกันหรอกนะ มินตราปลอดภัยก็ดีแล้ว ผมไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย แผลแค่นี้เอง” ชนะชนบอกสองสาว ขณะที่ยันตัวลุกขึ้นยืนโดยมีจตุรงค์เข้ามาช่วยปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าให้ “พอได้แล้วรงค์ แล้วดูทำเข้า บอกให้ส่งของมาจะช่วยถือ” ชายหนุ่มเอ็ดเพื่อน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงหอบหิ้วถุงพะรุงพะรังด้วยมือเพียงข้างเดียว
“ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร ไม่หนักหนาอะไรหรอก”
“เอ่อ... เดี๋ยวพวกเราถือเองดีกว่าค่ะ ที่จริงของเกือบทั้งหมดก็ไม่ใช่ของของหัวหน้ากับรองหัวหน้าเลยด้วยซ้ำ” มินตรารีบรับถุงใส่ของคืนมาจากจตุรงค์ โดยมีเกสรีช่วยอีกแรง ด้วยเพราะข้าวของส่วนใหญ่ก็มาจากการช้อปกระจายของสาวหมวยแทบทั้งสิ้น
“Excuse me.” เสียงกล่าวขอโทษเพื่อเกริ่นนำเข้าสู่ประโยคคำถาม เรียกพวกชนะชนให้หันไปมองเจ้าของชุดฟอร์มสีกรมท่า กับปืนกระบอกใหญ่สมฐานะ ‘ตำรวจอียิปต์’
“หูไวตาไวจริงแฮะ” จตุรงค์พึมพำเบาๆ ด้วยภาษาไทย พร้อมกับทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ประกอบ เพราะเกรงว่าหากอีกฝ่ายได้ยินเข้า อาจจะใช้มัจจุราชสีดำในมือเป็นตัวช่วย บังคับให้เขาแปลมันออกมาเป็นภาษาอังกฤษให้ฟังก็ได้
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ชนชะนบอกเพื่อน และมองเลยไปยังสองสาวที่ยืนตระหนกคล้ายจะสื่อคำพูดนั้นถึงพวกเธอด้วย ก่อนที่เขาจะหันกลับไปหาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ชาวอียิปต์
แน่นอนว่าอีกฝ่ายชี้แจงว่าได้รับแจ้งเรื่องอุบัติเหตุในละแวกนี้ และเดาว่าพวกชนะชนน่าจะเป็นเจ้าทุกข์ของคดี ในขณะที่ชนะชนอธิบายว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก และไม่คิดติดใจเอาความ ชายหนุ่มย้ำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมกลับไป ท่ามกลางความโล่งใจของทุกคน เพราะการมีคดีความระหว่างดูงานที่ต่างประเทศอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าแต่ละคนจะไม่ติดใจสงสัยเอาเสียเลย เกี่ยวกับการเร่งความเร็วรถของคนขับราวกับจงใจจะขับชนมินตรา
“ล้างแผลหน่อยดีกว่านะครับ แล้วค่อยกลับไปทำแผลที่บ้านพักทีหลัง” สมชายหยิบขวดน้ำดื่มในรถส่งให้ชนะชน หลังจากที่ทั้งหมดมาถึงจุดนัดพบ และเกสรีเป็นคนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“แย่จริงๆ เลย ขับรถภาษาอะไรกัน อย่าให้เจอเชียวนะ” สาวหมวยยังไม่หายโมโห
“ช่างเถอะน่าเกด เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอกมั้ง เพราะฉันเองก็ไม่เคยมาอียิปต์ แล้วก็ไม่เคยมีเรื่องกับคนอียิปต์ด้วย” มินตราบอกเพื่อน แล้วเดินมาหาชนะชนซึ่งกำลังเปิดขวดน้ำ เตรียมจะล้างแผลอยู่ “หัวหน้าคะ ดิฉันล้างแผลให้นะคะ”
“อย่างนั้นก็ได้ ขอบใจมากนะ” ชนะชนยิ้มให้มินตรา แล้วส่งขวดน้ำในมือให้เธอ ส่วนมินตราเมื่อรับขวดน้ำมาแล้วก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองในกระเป๋าเสื้อออกมารินน้ำใส่จนชุ่ม และค่อยๆ ใช้มันทำความสะอาดแผลให้ชนะชนอย่างเบามือ ทำเอาจตุรงค์ เกสรี และคนรถสมชายมองกันตาค้าง
“ถ้าแสบหรือเจ็บก็บอกนะคะ” มินตราบอกเขา โดยที่ยังคงง่วนอยู่กับการทำความสะอาดแผล จึงไม่เห็นรอยยิ้มกับแววตาอ่อนโยนของชนะชนที่จ้องมองมา ตรงข้ามกับเกสรีซึ่งจ้องจับผิดอยู่ และได้เห็นทุกอิริยาบถของชายหนุ่ม ถึงอย่างนั้นสาวหมวยก็ไม่ได้คิดจะต่อต้านหรือขัดขวาง
เธอได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่าเขาสามารถดูแลและปกป้องเพื่อนรักของเธอได้ แน่นอนว่าผู้ชายแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ และเธอก็ยินดีมากที่จะช่วยให้เขาได้ลงเอยกับมินตรา ถึงขั้นแต่งงานมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง
...ความคิดของเกสรีเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้ามจากเดิมแล้วในขณะนี้ ทั้งที่เธอเองก็รู้ดีว่ามินตราไม่ได้คิดอะไรกับชนะชนเลยแม้แต่นิดเดียว และที่ช่วยทำความสะอาดแผลให้เขาก็เพราะความรู้สึกผิดที่ติดอยู่ในใจเท่านั้น