มนต์ไอยคุปต์
“หัวหน้าต่างหากล่ะคะที่ต้องมาลำบาก... เพราะดิฉัน” มินตรานั่งน้ำตาคลอ ไม่กล้าสบตาชนะชน นอกจากก้มหน้ามองแผลบริเวณข้อศอกของชายหนุ่ม ซึ่งเขาพึ่งแกะผ้ากอซออกหลังการอาบน้ำ และพับแขนเสื้อของชุดนอนสีเทาที่สวมอยู่ขึ้น เพื่อไม่ให้เลือดเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า รวมทั้งเพื่อไม่ให้แผลอักเสบจากการบ่มเพาะความร้อนอยู่ภายในเสื้อผ้าด้วย
“คิดมากน่ามินตรา ผมเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย แล้วมันก็เป็นอุบัติเหตุด้วย” ชนะชนพูดปลอบหญิงสาว ไม่กล้าแตะต้องตัวเธอ เพราะนอกจากจะดูไม่เหมาะสมแล้ว เวลานี้ยังมีมนุษย์สอดรู้สอดเห็นคนหนึ่งกำลังแอบดูอยู่ด้วย
“ไม่ต้องแอบดูหรอก ออกมายืนดูเลยก็ได้มา จะได้เห็นชัดๆ” ชายหนุ่มชะโงกหน้าบอกใครคนหนึ่งซึ่งยืนแอบอยู่หลังเสาภายในมุมมืดของบ้าน พลอยให้มินตราหันไปมองด้วย
“แอบดูอะไรกัน ก็แค่ไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ เลยมายืนแอบอยู่หลังเสาเนี่ย ยังอุตส่าห์ตาดีมองเห็นอีกนะ คิดว่าเป็นชัยภูมิเหมาะแล้วเชียว” จตุรงค์ซึ่งพึ่งกลับจากอาบน้ำ และอยู่ในชุดนอนลายทางสีขาว – ฟ้า กับมีผ้าขนหนูคลุมศีรษะอยู่ ค่อยๆ โผล่ออกมาจากหลังเสาพลางบ่นอุบ “ว่าทำตัวกลมกลืนกับเสาแล้วเชียวนะ นายตาดีเกินไปหรือเปล่า”
“แอบมิดตายล่ะ แล้วดูทำเข้า เอาผ้าขนหนูสีขาวมาคลุมหัวตอนกลางคืน แน่ใจนะว่าดูคล้ายเสาไม่ใช่อย่างอื่น” ชนะชนส่ายหน้าเอือมระอา
“อย่าพูดสิ ฉันยิ่งกลัวๆ อยู่ มาอยู่ไกลบ้านด้วย นอนก็ผิดที่ผิดทาง บรื๋ออออ!!” จอมกะล่อนโวยวาย พร้อมกับจ้ำอ้าวมายังที่นอนปิกนิกของตัวเอง กระโดดลงไปนอนคลุมโปง ประนมมือไหว้พระสวดมนต์งึมงำ ตัวสั่นงันงกอยู่ในผ้านวม
“ทำเหมือนไม่เคยนอนนอกบ้านเลยอย่างนั้นแหละนะ” ชนะชนส่ายหน้าให้เพื่อนอีกรอบ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งทำเพื่อเปิดโอกาสให้ตนได้คุยกับมินตราต่อ หากแต่เวลานี้ก็ดึกมากแล้วเกินกว่าที่ควรจะทำแบบนั้น เรื่องนี้มินตราเองก็รู้ดี
“หัวหน้าคะ เอ่อ... ดิฉันขอตัวไปนอนก่อนนะคะ” หญิงสาวเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน เมื่อชายหนุ่มหันกลับมาหาเธอ แต่ครั้งนี้เป็นคำพูดพร้อมรอยยิ้มขบขัน กลั้วเสียงหัวเราะ ผลพลอยได้จากบทสนทนาของสองหนุ่ม กับท่าทางราวกับไม่เต็มเฟื้องของจตุรงค์
“ครับ ขอบคุณมาก ราตรีสวัสดิ์ครับ” ชนะชนพลอยยิ้มขำไปด้วย และยังคงนั่งยิ้มอยู่กับตัวเอง ถึงแม้ว่ามินตราจะกลับห้องของเธอไปแล้วก็ตาม
...แม้จะดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ชายหนุ่มก็ภาวนาให้ผู้หญิงในความฝันเป็นคนคนเดียวกับเธอ และได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้เช้าทุกคนคงไม่ต้องตื่นขึ้นเพราะเสียงละเมอของเขา ซึ่งดูราวกับจะเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตประจำวันที่เข้ามาแทนที่นาฬิกาปลุกบนหัวเตียงเสียแล้ว มันคงเป็นเช่นนี้จนกว่าเขาจะค้นหาคำตอบของความฝันได้ แต่คำตอบนั้นมันคืออะไรกันล่ะ ชนะชนครุ่นคิดระหว่างที่ลุกขึ้นเดินไปปิดสวิชต์ไฟ และเดินกลับมาล้มตัวลงนอน ก่อนจะหลับไปพร้อมกับเรื่องเดิมๆ ที่ยังวนเวียนอยู่ในหัว
ตอนที่ 4
“มิรา... ข้าขอโทษ... ได้โปรดเถิด... มิรา... ได้โปรด... อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว”
ความหมายของคำพูดภาษาอียิปต์โบราณในความฝัน ดังวนเวียนอยู่ในหัวของชนะชนตลอดช่วงเช้าของวันใหม่ ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้ความหมายครบถ้วนชัดแจ้งขนาดนั้น และแม้เขาจะไม่ได้นอนละเมอจนปลุกทุกคนตื่น แต่นั่นมันคือฝันร้ายชัดๆ
ฝันร้าย... ที่มีเพียงเขากับความมืดมิดที่รายล้อม ได้ยินเพียงเสียงร้องไห้เบาๆ กับเสียงหัวเราะเยาะที่ดังแว่วมา แน่นอนว่าเสียงร้องไห้เป็นเสียงของมิรา หากแต่เสียงหัวเราะเยาะนั้นเล่า ชนะชนมั่นใจว่าเขาไม่เคยได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนี้มาก่อน ไม่เคย... ฝันถึงเธอมาก่อน
“เซ... เรีย...” ชายหนุ่มทบทวนชื่อของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของเสียงหัวเราะเยาะ ในความฝันอันมืดมิดที่มองไม่เห็นเงาของใครสักคนนอกจากตัวเอง แต่เขากลับเรียกชื่อของเธอคนนั้นราวกับมั่นใจว่านั่นคือเสียงของเธอ เสียงที่ไม่คุ้นหูแต่นึกคุ้นในความรู้สึก เป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นและเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
“หัวหน้าคะ ดิฉันปิดแผลให้นะคะ”
เสียงของมินตราที่ดังขึ้นข้างตัวปลุกชนะชนให้ตื่นจากภวังค์ หันไปยิ้มให้เธอ ถึงอย่างนั้นก็เป็นรอยยิ้มที่ไม่สดใสนัก
“ขอบคุณมากครับ รบกวนหน่อยนะ”
“เมื่อคืน... เอ่อ... ปวดแผลไหมคะ?” เธอถามอีก ทั้งสีหน้าและแววตาบ่งบอกความกังวลอย่างเห็นได้ชัด จนชนะชนต้องพยายามปรับสีหน้าของตัวเองใหม่
“ไม่เลย บอกแล้วไงว่าแผลแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องคิดมาก” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ พยายามยิ้มให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด ถึงแม้จะกำลังรู้สึกแย่ที่สุด จากความสับสนว้าวุ่นใจ ความห่อเหี่ยว ความโศกเศร้า และความสงสัยที่ประเดประดังกันเข้ามาในเวลานี้
...เขาเคยเป็นใครกันแน่ ? แล้วมิรากับเซเรียล่ะเป็นใครกัน เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ? แล้วตัวเขาเองเคยทำอะไรไว้กับผู้หญิง 2 คนนี้ ? ความหมายของคำพูดของเขา น้ำตาของมิรา และเสียงหัวเราะเยาะของเซเรีย ล้วนมาจากการกระทำของเขาอย่างนั้นหรือ ? ชนะชนถามตัวเองถึงสิ่งที่ยังไม่อาจหาคำตอบได้ พลางชำเลืองมองมินตราที่กำลังก้มหน้าก้มตาใช้ผ้ากอซปิดแผลตรงข้อศอกให้เขา
“เรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวกลับมาเย็นนี้ ดิฉันจะล้างแผลให้นะคะ” เธอบอกเขา มองดูคล้ายเป็นห่วงเป็นใยในตัวเขา แต่ชนะชนเองก็รู้ดีว่า นั่นเป็นเพียงแค่ความรู้สึกผิดของเธอเท่านั้น
...น่าแปลก ! ที่เพียงแค่คิดแค่นี้ เขาก็กลับรู้สึกน้อยใจขึ้นมา เป็นความรู้สึกลึกๆ ข้างในใจที่เขาเองก็บอกไม่ถูกว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือเพราะเขาคิดว่าเธอคือมิรากันนะ ชนะชนมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาด้วยความรู้สึกสับสน
“ขอบคุณมากนะ” เขายิ้มให้เธอ แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่เศร้าเหลือเกิน จนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังสัมผัสได้
“หนุ่มๆ สาวๆ จ๊ะ รถบัสมารับแล้วนะ เตรียมตัวกันเสร็จเรียบร้อยหรือยัง” เจ๊แหม่มในชุดเดินป่าสีกากีเดินเข้ามาเรียกพวกชนะชน นั่นเองที่ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติอีกครั้ง ถึงอย่างนั้นมินตราก็ยังอดมองเขาด้วยความสงสัยไม่ได้
หลังจากจอดแวะรับคณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยแล้ว รถบัสซึ่งทางการอียิปต์จัดไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคณะนักโบราณคดีจากประเทศต่างๆ ก็ออกเดินทางต่อไปยังจุดเปลี่ยนรถ บริเวณรอยต่อระหว่างเขตเมืองกับเขตทะเลทราย โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ทะเลทรายขาวทางตอนเหนือของ Farafra oasis โอเอซิสขนาดเล็กที่สุดของอียิปต์ ซึ่งอยู่บริเวณทะเลทรายแถบตะวันตกของประเทศ
“น่าแปลกนะที่จู่ๆ ก็มีพีระมิดปรากฏกลางทะเลทรายขาว หลังเกิดพายุทรายที่นั่นเมื่อ 2 เดือนก่อน คนไปเที่ยวกันปีนึงตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่ยักมีใครเคยเห็นสักคน พายุทรายก็เกิดได้บ่อยๆ แต่พึ่งจะมามีคนพบครั้งนี้” เกสรีหันไปคุยกับมินตรา วันนี้สาวหมวยอยู่ในชุดเสื้อยืดสีชมพูสดใส กับแจ็คเก็ตยีนส์ และสวมกางเกงยีนส์ขนาดพอดีตัว ขณะที่มินตราสวมเสื้อยืดสีเทา แจ็คเก็ตสีน้ำตาล กับกางเกงยีนส์สีดำ
“คงพึ่งจะถึงเวลาที่อยากให้คนเห็นล่ะมั้ง” มินตราตอบด้วยคำตอบที่ดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์นัก ถึงอย่างนั้นก็ตรงกับที่ใครหลายคนคิดไว้
“อาจจะอยากให้ดิฉัน กับ ผอ. ได้มาเห็นก่อนจะเกษียณก็ได้นะคะ” เจ๊แหม่มซึ่งนั่งอยู่ที่หน้าด้านหน้าสองสาวคู่กับป๋าวิบูลย์ หันไปพูดกับป๋าพลางหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี
“จะว่าไปวันนี้ ผอ.วิบูลย์กับ ผอ.วิไลวรรณ แต่งตัวอย่างกับสลับร่างกันเลยนะ” เกสรีเอียงคอไปกระซิบกระซาบคุยกับมินตราต่อ ระหว่างที่มองการแต่งตัวของ 2 ผอ. ซึ่งราวกับสลับตัวสลับร่างกัน โดยเฉพาะป๋าวิบูลย์ที่แต่งตัวด้วยชุดเสื้อยืดแขนยาวสีฟ้ากับเสื้อกั๊กยีนส์ และกางเกงขายาวสีดำ ราวกับจะกระชากวัยแทนเจ๊แหม่มก่อนที่สาวหมวยจะหันกลับมามองเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัวเองอีกครั้ง “ เธอเองก็เหมือนกันนะมิน คิดยังไงถึงแต่งตัวอย่างกับไว้ทุกข์แบบนี้เนี่ย ? ”
“ก็พีระมิดน่ะเป็นที่เก็บรักษาพระศพฟาโรห์ไม่ใช่เหรอ เราก็ควรจะไว้อาลัยให้กับการสวรรคตของพระองค์ไม่ใช่หรือไง” มินตราตอบคำถามเพื่อนเสียงเบา เพราะเกรงว่าจะไปกระทบกระเทือนการแต่งกายของป๋าวิบูลย์ ผอ.สำนักโบราณคดีเข้า
“จ้าๆ พูดราชาศัพท์ฉะฉานอย่างกับหลุดมาจากในรั้วในวังเชียวนะ ฉันก็หลงคิดว่าเธอนัดกับหัวหน้าชนะชนใส่เสื้อผ้าโทนเดียวกันมาซะอีก” เกสรีล้อเลียนเพื่อนด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ จนถูกมินตราค้อนใส่
”ก็แล้วทำไมฉันจะต้องไปนัดกับหัวหน้าเขาด้วยล่ะ!”
แม้จะโต้ตอบกันด้วยเสียงอันเบา เพื่อไม่ให้ผู้อาวุโสซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งเบาะหน้าได้ยินเข้า แต่เสียงของสองสาวก็ยังลอยไปเข้าหูชนะชนที่นั่งอยู่เบาะตรงข้ามทางขวามือ วันนี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมทับด้วยแจ็คเก็ตสีดำ รวมทั้งสวมกางเกงขายาวสีดำ ราวกับจะไว้ทุกข์ให้กับองค์ฟาโรห์ด้วยอีกคน และแม้จะรู้สึกห่อเหี่ยวกับคำพูดประโยคสุดท้ายของมินตรา แต่ชนะชนก็ยังรู้สึกชื่นชมเธอที่อุตส่าห์มีแก่ใจนึกถึงพระราชหฤทัยของอดีตพระเจ้าแผ่นดินจากต่างบ้านต่างเมืองด้วย
“เกาะกลุ่มกันไว้ดีๆ นะ จะได้ขึ้นรถคันเดียวกัน เดี๋ยวหลงไปอยู่กรุ๊ปอื่นล่ะอึดอัดแย่เลย” เจ๊แหม่มบอกสองสาว หลังจากที่รถบัสแล่นมาจนถึงหมู่บ้านในเขตชนบทแห่งหนึ่งของอียิปต์ ซึ่งเป็นจุดที่จะต้องเปลี่ยนจากรถบัสมาเป็นรถโฟร์วีล แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สำหรับตะลุยทะเลทราย ซึ่งลักษณะคล้ายรถจิ๊ป และ 1 คันนั่งได้ประมาณ 4 คน
“เห็นหมู่บ้านที่นี่แล้วนึกถึงหมู่บ้านชนบทที่เมืองไทยนะครับ บรรยากาศคล้ายๆ กันเลย” จตุรงค์ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดคอปกสีม่วงกับเสื้อหนังสีดำ และกางเกงยีนส์ ลงจากรถบัสมายืนสำรวจรอบๆ หมู่บ้าน
...ไม่มีถนนคอนกรีตหรือยางมะตอย ไม่มีแม้ถนนลูกรัง มีเพียงถนนดินธรรมดาๆ กับบ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็ก อาจมีบ้างบางหลังที่สร้างด้วยอิฐ แต่ก็ไม่ได้รับการตกแต่งใดๆ มากนัก ด้านนอกรอบๆ ตัวบ้านและรอบๆ หมู่บ้านมีการปลูกผักและพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ สำหรับใช้ในครัวเรือน รวมทั้งมีการเลี้ยงสัตว์อย่างแพะและลา ใกล้เคียงกับการใช้ชีวิตตามชนบทในประเทศไทยอย่างที่จตุรงค์บอก
“บ๊าย บาย” หนูน้อยคนหนึ่งโบกมือให้พวกชนะชน พร้อมกับยิ้ม หัวเราะร่าเริง ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู จนแม้แต่ผู้อาวุโสอย่างป๋าวิบูลย์และเจ๊แหม่มยังอดยิ้มไม่ได้ และไม่ใช่แค่สองสาว มินตรากับเกสรีเท่านั้นที่โบกมือตอบหนูน้อย
“เรียกคะแนนจากสาวๆ ได้เต็มร้อยเลยนะเนี่ย” จตุรงค์เอ่ยปากแซวชนะชนซึ่งเป็นอีกหนึ่งคนที่โบกมือตอบหนูน้อยด้วย
“ฉันก็แค่ทำเรื่องที่อยากทำ ไม่ได้หวังจะเรียกคะแนนอะไรสักหน่อย” ชนะชนตอบเพื่อน ขณะที่ยังคงหันไปยิ้มให้หนูน้อยคนเดิม
“นี่ขนาดไม่หวังนะเนี่ย ยังเรียกทั้งสาวไทย สาวอาหรับ สาวฝรั่ง” จตุรงค์ยังไม่เลิกแซว พยายามที่จะทำให้เพื่อนหันไปมองสาวๆ รอบข้างทั้งจากกลุ่มชาวบ้านและกลุ่มนักโบราณคดีซึ่งพากันส่งสายตากันวิบวับ ถึงอย่างนั้นชนะชนก็ไม่ได้ให้ความสนใจ กระทั่งรถยนต์สีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบข้างๆ รถบัส และหญิงสาวคนหนึ่งเปิดประตูรถลงมายืนสางผมดำขลับที่ยาวถึงกลางหลัง
...ผู้หญิงเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งในชุดเสื้อยืดคว้านคอสีดำ กับแจ็คเก็ตสีแดงสดพับแขนถึงข้อศอก กางเกงยีนส์รัดรูปเน้นสัดส่วน และรองเท้าส้นตึกสีเดียวกับแจ็คเก็ต เรียกความสนใจจากหนุ่มๆ บริเวณนั้นให้หันไปมองกันตาวาววับ ยกเว้นเพียงชนะชนที่หันไปมองหญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปสนใจทิวทัศน์รอบข้างต่อ และมันจะเป็นเช่นนั้นต่อไป ถ้าใครคนหนึ่งไม่เรียกชื่อของเธอคนนั้นให้ชนะชนได้ยิน
“เซเรีย!”
ชื่อของหญิงสาวที่ดังมาเข้าหู ทำให้ชนะชนหันขวับไปจ้องมองเธออย่างตื่นๆ ในขณะที่เธอชำเลืองมองเขาพลางยิ้มยั่ว ไม่สิ ! ดูเหมือนรอยยิ้มหยันเสียมากกว่าในสายตาของชนะชน ชายหนุ่มยืนตัวแข็งระหว่างที่ยังคงจ้องมองเจ้าของใบหน้ารูปไข่ กับนัยน์ตากลมโตที่มีประกายบางอย่างซ่อนอยู่ และตอนนั้นเอง...