icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon

มนต์ไอยคุปต์

บทที่ 7 อดีตชาติ (จบตอน)

จำนวนคำ:2737    |    อัปเดตเมื่อ:22/02/2022

“ฉันจำได้แล้วล่ะมิน รถสีดำทะเบียนนี้แหละที่จะชนเธอเมื่อวานน่ะ คนขับก็เป็นผู้หญิงด้วย ฉันจำได้ไม่ผิดแน่!” เกสรีบอกมินตรา พร้อมกับสาวเท้าเข้าไปหาเซเรียทันที โดยไม่รอให้เพื่อนสาวผู้ใสซื่อของเธอได้ออกความเห็นใดๆ “Hey, You” สาวหมวยดึงแขนเซเรียให้หันมาพูดกับเธอ ก่อนจะต่อว่าเป็นภาษาอังกฤษเสียหลายชุด แต่แล้วคำตอบของเซเรียก็ทำเอาทุกคนยืนตัวแข็ง

“ถนนเขามีไว้ให้รถวิ่ง อยากลงมายืนทะเล่อทะล่า มันก็สมควรตายแล้วนี่”

นั่นคือคำพูดฉบับภาษาไทยที่เกสรีแปลได้ และมันก็ทำให้สาวหมวยถึงกับยืนพูดไม่ออก ปล่อยให้เซเรียเดินไปขึ้นรถโฟร์วีลของคณะนักโบราณคดีชาวอียิปต์ นั่นเองที่ทำให้ทุกคนรู้ว่าเธอเป็น 1 ในทีมงานผู้ค้นพบพีระมิด

“เซ... เรีย...” ชนะชนพึมพำชื่อนั้น เสียงขาดหายไปในลำคอ เพราะมั่นใจว่าเจ้าของชื่อคือผู้หญิงคนเดียวกับ ‘เซเรีย’ ในความฝันของเขา

...เหมือนจะเริ่มมีแสงสว่างแห่งคำตอบเลือนรางในความมืด หรือแท้จริงแล้วมันคือความมืดมิดที่ซ่อนอยู่ในความมืดกันแน่ ชนะชนถามตัวเอง พร้อมกับหันไปมองมินตราที่ยืนตระหนกอยู่กับเกสรี และ ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ของเธอด้วยความเป็นห่วง

หลังจากที่คณะนักโบราณคดีจากทุกประเทศ ทยอยกันขึ้นรถโฟร์วีลจนครบแล้ว ทั้งหมดก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ผืนทรายอันร้อนระอุ ท่ามกลางไอแดดอุณหภูมิเกือบ 40 องศาเซนเซียสของทะเลทรายตะวันตก ผ่านทะเลทรายดำซึ่งเต็มไปด้วยเม็ดทรายสีดำสนิทปะปนอยู่กับทรายหยาบธรรมดาที่มีจำนวนน้อยกว่า มองดูคล้ายกองเถ้าถ่านที่ทับถมกัน

“ดูแล้วน่ากลั๊ว น่ากลัวนะคะ” เกสรีพูดขึ้นระหว่างทางที่รถแล่นผ่านทะเลทรายดำ และเพราะรถ 1 คันจำกัดจำนวนคนนั่งได้แค่เพียง 4 คนชนะชนกับจตุรงค์จึงต้องระเห็จไปนั่งรถอีกคัน ร่วมกับนักโบราณคดีจากประเทศอื่น และเป็นรถที่ออกตัวเป็นคันสุดท้าย แต่ถึงที่หมายเป็นคันแรก ด้วยฝีมือการขับของโชเฟอร์หนุ่มชาวอียิปต์อายุไล่เลี่ยกับน้องชายคนสุดท้องของจตุรงค์ ซึ่งทำให้จอมกะล่อนได้รู้ว่า ฝีมือการขับรถของน้องชายตัวเองยังห่างชั้นกับนักแข่งรถอาชีพหลายขุมนัก

“ฉันคิดว่าฉันชินกับการนั่งรถสายทัวร์นรกแล้วซะอีกนะ พึ่งรู้ว่าตัวเองคิดผิดก็วันนี้แหละ” จตุรงค์รีบลงจากรถมายืนโอดครวญแข้งขาสั่นทันทีที่รถจอดสนิท ขณะที่ชนะชนไม่ได้ให้ความสนใจกับคำพูดของเพื่อนนัก เพราะมัวแต่จ้องมองพีระมิดตรงหน้า ด้วยความรู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็นและสัมผัสมาแล้วก่อนหน้านี้

“สวยจังเลยนะมิน” เกสรีดึงมือมินตราลงจากรถมายืนดูพีระมิดด้วยอีกคน โดยมีเสียงบรรยายเป็นภาษาอังกฤษของตัวแทนคณะนักโบราณคดีชาวอียิปต์ดังประกอบ สรุปใจความได้ว่า...

พีระมิดขนาดเล็กที่สุดในบรรดาพีระมิดที่ค้นพบทั้งหมดแห่งนี้ ได้ปรากฏขึ้นกลางทะเลทรายขาว หลังการสงบของพายุทรายที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงและบ้าคลั่งเมื่อ 2 เดือนก่อน โดยเป็นพีระมิดสภาพสมบูรณ์ หากแต่ปิดทึบไร้ทางเข้า - ออก ภายในมีพระศพขององค์ฟาโรห์และพระมเหสี รวมทั้งทองคำ เพชรนิลจินดา และข้าวของเครื่องใช้เช่นพีระมิดอื่นที่เคยสำรวจมา และจากการแปลความหมายตัวอักษรเฮียโรกลิฟฟิคที่จารึกอยู่ภายในพีระมิด กลับได้พบว่าพระองค์ทรงเป็นฟาโรห์องค์หนึ่งในราชวงศ์ที่ 4 ราชวงศ์เดียวกับฟาโรห์คูฟู ฟาโรห์เคเฟร และฟาโรห์เมนเคอเร ผู้เป็นเจ้าของพีระมิดทั้ง 3 แห่งเมืองกิซา แต่ไม่เคยปรากฏพระนามมาก่อนในประวัติศาสตร์อียิปต์

“ทางเราจะเดินนำเข้าไปในพีระมิดก่อน เพื่อเป็นไกด์ให้กับคณะนักโบราณคดีจากทุกประเทศ แต่เนื่องจากพีระมิดแห่งนี้มีขนาดเล็ก จึงขอความร่วมมือให้เข้าไปทีละคณะ โดยเริ่มจากคณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยก่อน” เซเรียพูดต่อจากเพื่อนร่วมทีมด้วยภาษาอังกฤษ สำเนียงยอดเยี่ยมราวกับเป็นเจ้าของภาษา และเพราะคำพูดของเธอนั่นเองที่ทำให้นักโบราณคดีจากประเทศอื่น พากันกันมาจ้องมองพวกชนะชนด้วยความประหลาดใจที่นักโบราณคดีจากประเทศเล็กๆ กลับได้อภิสิทธิ์ในการเข้าชมพีระมิดก่อนพวกตน

“น่าแปลกนะ ทั้งที่ควรจะเป็นนักโบราณคดีจากประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา หรือไม่ก็อังกฤษที่ได้เข้าไปในพีระมิดก่อน” เกสรีหันไปกระซิบตั้งข้อสงสัยกับมินตรา “หรือแม่คนนั้นเกิดสำนึกผิดที่จะขับรถชนเธอ แถมยังพูดจาแบบนั้นอีก”

“เขาอาจจะเป็นแค่คนตรงแบบขวานผ่าซากก็ได้ แล้วเรื่องลำดับการเข้าไป เขาก็คงจับฉลากสุ่มรายชื่อไว้ก่อนแล้วล่ะทั้ง” มินตราตอบอย่างคนมองโลกในแง่ดี

“จ้าๆ คิดบวกเสียเหลือเกินนะ” สาวหมวยส่ายหน้าเอือมระอา ก่อนจะแหงนคอมองพีระมิดที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง

...แม้จะดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อกับการที่พีระมิดที่ไม่เคยมีใครพบเห็น ปรากฏขึ้นท่ามกลางทะเลทรายสีขาวนวล กับกองหินรูปเห็ดที่เหลือเพียงซากปรักหักพังจากแรงพายุ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องจริงที่จับต้องได้ ทั้งก้อนหินใหญ่ที่เรียงซ้อนกันจนกลายเป็นโบราณสถานแห่งนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนบันไดสำหรับองค์ฟาโรห์ได้เสด็จดำเนินขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ทั้งสมบัติล้ำค่ามากมายอันเป็นของคู่พระบารมี สำหรับทรงใช้ในยามที่ทรงตื่นขึ้นจากการสวรรคต ซึ่งทางการยังไม่ได้นำออกมาจากภายในพีระมิด จึงมีการจัดกำลังตำรวจเฝ้าอยู่ภายนอกอย่างแน่นหนา รวมทั้งพระศพขององค์ฟาโรห์และพระมเหสีซึ่งถูกบรรจุอยู่ภายในหีบพระศพทองคำแกะสลัก ในรูปของมัมมี่มาเป็นเวลาหลายพันปี ทั้งหมดคือสิ่งที่นักโบราณคดีทุกคน ณ ที่นี้กำลังจะได้สัมผัส

“ทั้งมืดทั้งแคบเลยนะคะเนี่ย” เกสรีบ่นเป็นภาษาไทยเบาๆ ระหว่างที่เดินลอดอุโมงค์ใต้ดินซึ่งถูกสร้างเป็นทางเดินเข้าไปสู่ด้านในพีระมิด เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดจากการขุดเจาะโดยตรง และเพราะเป็นทางเดินที่แคบมาก เสียงบ่นงึมงำของเธอจึงดังก้อง จนอาจดังลอดเข้าไปถึงภายในพีระมิดตรงที่ซึ่งองค์ฟาโรห์ทรงบรรทมหลับใหลอยู่

“ด้านในพีระมิดอาจจะแคบกว่านี้อีกนะ ยังไงก็พยายามเดินก้มๆ กันหัวหน่อยก็แล้วกัน” ป๋าวิบูลย์ในฐานะหัวหน้าคณะหันไปบอกสองสาว ซึ่งยังไม่มีประสบการณ์ด้านโบราณคดีจากสถานที่จริงมาก่อน

“ยิ่งกว่านี้อีกหรือคะเนี่ย” สาวหมวยโอดครวญเบาๆ ตรงข้ามกับมินตราที่เดินตามหลังสองผู้อาวุโสไปเงียบๆ และคอยหันไปมองชนะชนซึ่งเดินรั้งท้ายอยู่กับจตุรงค์เป็นระยะๆ

...เป็นการเดินเรียงแถวที่ไม่ได้ลำดับอาวุโสหรือตำแหน่งเหมือนทุกครั้ง แน่นอนว่าเพราะสองหนุ่มคุ้นเคยกับงานจากสถานที่จริงมาก่อนแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครคาดคิดว่าคณะนักโบราณคดีชาวอียิปต์จะใช้คบเพลิงในการนำทางแทนไฟฉายเช่นนี้

“โอ๊ย!”

เสียงร้องของเกสรีดังขึ้นตลอดทางเดินแบบเขาวงกตภายในพีระมิด เนื่องจากผนังที่ลาดเอียงซึ่งบังคับให้ผู้ที่อยู่ภายในต้องเดินก้มหัวตลอดเวลา คล้ายเป็นการแสดงความเคารพต่อพระศพของทั้งสองพระองค์โดยปริยาย กระทั่งถึงส่วนที่อยู่ด้านในสุดของพีระมิดอันเป็นห้องเก็บรักษาพระศพ รวมทั้งทรัพย์สมบัติและเครื่องใช้ต่างๆ กับมีจารึกตัวอักษรเฮียโรกลิฟฟิคสลักอยู่บนผนังรอบห้องมากกว่าจารึกใดๆ ที่เคยมีมา จนแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ยังยากที่จะค้นหาว่าควรเริ่มต้นอ่านจากตรงไหนก่อน

“มีอักษรเฮียโรกลิฟฟิคบางตัวที่ทางเราไม่สามารถแปลความหมายได้ ทำให้ไม่อาจแปลความหมายของจารึกได้ทั้งหมด ได้ข่าวว่ามีนักโบราณคดีจากประเทศไทยที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ด้วย เลยอยากขอให้ช่วยตรวจดูสักหน่อย” เซเรียบอกป๋าวิบูลย์เป็นภาษาอังกฤษ แต่นัยน์ตาคู่สวยกลับชำเลืองมองไปทางชนะชนราวกับรู้ว่านักโบราณคดีคนนั้นคือเขา

“ได้ยินแล้วใช่ไหมชนะชน ยังไงก็ช่วยตรวจสอบจารึกสุดความสามารถเลยนะ” ป๋าวิบูลย์หันมาบอกชนะชนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ มินตรา ตรงหน้าหีบพระศพทองคำทั้งสองที่สลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจง เป็นรูปร่างใกล้เคียงกับพระศพที่ทรงบรรทมอยู่ภายใน โดยมีหีบทองคำบรรจุทรัพย์สมบัติต่างๆ อันประมาณค่าไม่ได้วางอยู่รายรอบ จนสว่างไสวยิ่งกว่าแสงไฟจากคบเพลิงทั้ง 4 อัน ภายในห้องเสียอีก

“ครับ แล้วพอจะทราบไหมครับว่าต้องเริ่มอ่านจากตรงไหน?” ชนะชนรับคำแล้วหันไปถามเซเรียเป็นภาษาอังกฤษ ดูเหมือนสาเหตุที่คณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยได้รับอภิสิทธิ์ในการเข้ามาภายในพีระมิดก่อน คงจะเป็นเพราะเรื่องนี้ แต่ชนะชนกลับคิดว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น

“ตรงนั้น” เซเรียชี้มือไปที่จารึกด้านบนสุดตรงมุมห้อง ก่อนจะหันไปบอกตำรวจอียิปต์คนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่ถือคบเพลิงอยู่ “ช่วยส่องไฟให้เขาเห็นชัดๆ ด้วยนะ”

“ขอบคุณครับ” ชนะชนยิ้มให้ตำรวจอียิปต์วัยใกล้เคียงกันที่เดินถือคบเพลิงมายืนอยู่ข้างๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองจารึกบนผนัง และเริ่มต้นอ่านจารึกนั้น “นามของข้าคือซาร์ ฟาโรห์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ที่ 4 ผู้ครองดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์แห่งนี้”

เวลาเดียวกัน ที่ด้านนอกพี่ระมิด จู่ๆ ท้องฟ้าที่เคยสดใสก็พลันเปลี่ยนสี เมฆสีดำก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ฟ้าแลบแปลบปลาบ ลมแรงโหมพัดอย่างบ้าคลั่ง หอบเอาเม็ดทรายมากมายขึ้นไปบนท้องฟ้า กลายเป็นพายุทรายขนาดใหญ่เช่นเดียวกับในวันที่พีระมิดแห่งนี้ปรากฏขึ้น และเกิดขึ้นในรัศมี 1 กิโลเมตรรอบที่ตั้งของพีระมิดเท่านั้น!!

ตอนที่ 5

“นามของข้าคือซาร์ ฟาโรห์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ที่ 4 ผู้ครองดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์แห่งนี้ กระนั้นข้าก็คือผู้สมควรได้รับการถอดยศออกจากบัลลังก์ บัลลังก์ที่ข้าไม่สมควรขึ้นไปนั่งตั้งแต่แรก...”

ชนะชนอ่านจารึกด้วยลักษณะท่าทีที่เคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด จนทุกคนตรงนั้นพากันแปลกใจ ยกเว้นเซเรียที่ยืนกอดอกยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ

“องค์ฟาโรห์เมนเคอเรทรงตัดสินพระทัยถูกต้องแล้ว หากแต่ข้าก็ยังได้รับพระเมตตาจากองค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟ จนได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ฟาโรห์ที่ 7 ทั้งที่ควรจะเป็นพระองค์มากกว่า และทั้งที่ข้าควรจักปฏิบัติตนเยี่ยงฟาโรห์ควรปฏิบัติ แต่ข้าก็กลับประพฤติในสิ่งตรงข้าม ข้าทำลายธรรมเนียมกับทั้งกฎมณเฑียรบาลที่มีมาแต่เก่าก่อนด้วยมือของข้าเอง

ข้าขอยอมรับผิดและขอรับโทษทัณฑ์ที่เบื้องบนจะทรงลงโทษข้า แม้ด้วยชีวิตของข้า ข้าก็ยอมถวายแก่พระอาญา เช่นที่ข้าได้เคยถวายเทิดทูนให้แก่ความรักของข้า ความรักต้องห้ามที่หยิบยื่นความตายให้แก่นางอันเป็นที่รักของข้า และหยิบยื่นความทุกข์ทรมานให้กับข้า ข้าไม่อาจอยู่อย่างไร้หัวใจได้ หากแต่หัวใจของข้าก็ได้มอบให้นางจนหมดสิ้นแล้วเช่นกัน แม้นว่านางจักไม่ยอมรับและปฏิเสธมัน แม้นว่านางจักโกรธและเกลียดข้า แต่ข้าก็จักขอจดจำไว้ในทุกภพชาติที่ผ่านพ้น ข้าจักมีชีวิตเพื่อได้พบและรักนางอีกสักครั้ง มิรา... นางอันเป็นที่รักเพียงผู้เดียวของข้า เป็นเหมือนชีวิตทั้งชีวิตของข้า ข้าขอถวายชีวิตเพื่ออาญาของเจ้าเช่นกัน”

เปิดรับโบนัส

เปิด
1 บทที่ 1 หญิงสาวในความฝัน2 บทที่ 2 ดินแดนทะเลทราย3 บทที่ 3 ดินแดนทะเลทราย (จบตอน)4 บทที่ 4 เงาที่เริ่มปรากฏ5 บทที่ 5 วันแรกที่อียิปต์6 บทที่ 6 อดีตชาติ7 บทที่ 7 อดีตชาติ (จบตอน)8 บทที่ 8 จารึก9 บทที่ 9 ห้วงคำนึง10 บทที่ 10 ห้วงคำนึง (จบตอน)11 บทที่ 11 ความทรงจำที่หวนคืน12 บทที่ 12 พีระมิดแห่งกิซาห์13 บทที่ 13 พีระมิดแห่งกิซาห์ (จบตอน)14 บทที่ 14 สำนึกแห่งฟาโรห์15 บทที่ 15 ความอาฆาตของสองพี่น้อง16 บทที่ 16 ความอาฆาตของสองพี่น้อง (จบตอน)17 บทที่ 17 ภาพลวงตาของความจริงใจ18 บทที่ 18 วันสุดท้ายของการเดินทาง19 บทที่ 19 วันสุดท้ายของการเดินทาง (จบตอน)20 บทที่ 20 อีกคนจากอดีตชาติ21 บทที่ 21 อีกคนจากอดีตชาติ (จบตอน)22 บทที่ 22 พันธนาการแห่งอดีต23 บทที่ 23 วันพักผ่อนของทั้งคู่24 บทที่ 24 เรื่องเข้าใจผิด25 บทที่ 25 เรื่องเข้าใจผิด (จบตอน)26 บทที่ 26 ความอาฆาตจากอดีตชาติ27 บทที่ 27 ความอาฆาตจากอดีตชาติ (จบตอน)28 บทที่ 28 ทางเลือก29 บทที่ 29 การมาของสองพี่น้อง30 บทที่ 30 การมาของสองพี่น้อง (จบตอน)31 บทที่ 31 แผนการ32 บทที่ 32 ความพยายามของเพื่อน33 บทที่ 33 แผนการของเซรี34 บทที่ 34 การร่วมมือกันของสองพี่น้อง35 บทที่ 35 การร่วมมือกันของสองพี่น้อง (จบตอน)36 บทที่ 36 เสียงร่ำไห้ในสายหมอก37 บทที่ 37 สองสาวอียิปต์ในป่าเขาใหญ่38 บทที่ 38 สองสาวอียิปต์ในป่าเขาใหญ่ (จบตอน)39 บทที่ 39 ภาพอดีต40 บทที่ 40 คำสารภาพ41 บทที่ 41 คำสารภาพ (จบตอน)42 บทที่ 42 การตัดสินใจ43 บทที่ 43 การตัดสินใจ (จบตอน)44 บทที่ 44 งานแต่งงานของทั้งสอง45 บทที่ 45 ความตายที่เฝ้าติดตาม46 บทที่ 46 ความตายที่เฝ้าติดตาม (จบตอน)47 บทที่ 47 คำพิพากษาสุดท้ายของความอาฆาต48 บทที่ 48 บทส่งท้าย