มนต์ไอยคุปต์
ชายหนุ่มจบการอ่านจารึกทั้งหมดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะขาดหายไปในลำคอ แท้จริงแล้วเขาแทบไม่ได้อ่านมันด้วยซ้ำ แต่เป็นการพูดมันออกมาจากความทรงจำ เมื่อครั้งที่เขาได้ให้บริวารจารึกคำพูดเหล่านั้นลงไปบนผนังพีระมิด ภายในห้องชั้นในสุดที่ใช้เก็บรักษาร่างของมิรา ก่อนที่เขาจะตรอมใจตายตามนางไป ถึงอย่างนั้นก็เป็นเวลากว่า 20 ปี ที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับการมีชีวิตอยู่อย่างไร้ซึ่งความรักและหัวใจ ราวกับเบื้องบนได้ทรงลงโทษเขาแล้ว
“ประพฤติตนไม่สมกับที่เป็นฟาโรห์ ก็สมควรแล้วที่จะไม่มีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์” เซเรียกอดอกพูดยิ้มๆ นั่นเองที่ทำให้ทุกคนหันไปจ้องหน้าเธอ เพราะไม่คาดคิดว่าเธอจะกล้าลบหลู่ดูหมิ่นองค์ฟาโรห์ในสถานที่ของพระองค์เช่นนี้
“ทำไมพูดแบบนั้นเซเรีย ขอขมาพระองค์ซะ เดี๋ยวก็ได้โดนคำสาปของพระองค์ไปชั่วชีวิตหรอก” หนึ่งในนักโบราณคดีอาวุโสของทีมงานผู้ค้นพบพีระมิดแห่งนี้ หันไปดุหญิงสาวเป็นภาษาอาหรับ แต่แทนที่จะสำนึก เซเรียกลับเชิดหน้าใส่พร้อมกับตอบเป็นภาษาอังกฤษว่า
“ดิฉันพูดความจริงมันผิดด้วยหรือ แล้วคำสาปอะไรนั่นก็มีแต่พวกมนุษย์หน้าโง่เท่านั้นแหละที่คิดกลัวไปเอง”
“ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นใครร้ายกาจขนาดนี้เลย องค์ฟาโรห์ทรงน่าสงสารจะตาย ยังไปซ้ำเติมพระองค์อีก แบบนี้ต้องให้โดนคำสาปซะให้เข็ด” เกสรีกระซิบกระซาบกับมินตรา นินทาเซเรียเป็นภาษาไทยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายฟังรู้เรื่อง แต่มินตรากลับหันไปตอบโต้เซเรียเป็นภาษาอังกฤษแบบซึ่งๆ หน้า
“ทรงผิดในฐานะที่ทรงเป็นฟาโรห์ที่ไม่ทรงรักษาจารีตของฟาโรห์เท่านั้น ไม่ได้ทรงกระทำสิ่งใดที่ผิดจากความเป็นมนุษย์ หากพระองค์ทรงเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ก็ควรที่จะทรงได้รับการยกย่องในความกล้าที่จะรับผิดและความรักเดียวใจเดียวของพระองค์ด้วยซ้ำ”
“มิรา...” ชนะชนเบิกตากว้าง พึมพำชื่อเก่าในอดีตชาติของมินตรา ด้วยความยินดีที่เธอไม่ได้โกรธเกลียดเขาเหมือนอย่างที่เขาเคยกังวลมาตลอด ในทุกภพชาติที่เขาเพียรพยายามตามหาเธอ
“พูดได้ดีนี่ องค์ฟาโรห์คงรักเธอมากขึ้นอีกเป็นกองเลยนะ” เซเรียพูดพลางยิ้มเยาะมินตรา
“พระองค์จะทรงมารักดิฉันทำไมกัน ในเมื่อพระองค์ทรงมีรักเดียว แล้วก็ไม่ทรงรู้จักดิฉันด้วย”
คำตอบของมินตราทำให้รอยยิ้มยินดีของชนะชนจางลงในทันที ตรงข้ามกับเซเรียที่ยิ่งหัวเราะขบขันเหมือนได้ฟังเรื่องตลก เสียดแทงใจชนะชนจนเขาต้องกำหมัดแน่น เพื่อระงับอารมณ์โกรธและเจ็บแค้นที่พลุ่งพล่าน ขณะที่คนอื่นๆ พากันงุนงงกับอาการแปลกๆ ของเซเรีย
“แล้วมัวยืนเฉยกันทำไม อยากสำรวจอะไรก็เชิญนะคะ หรือถ้าไม่อยากสำรวจแล้วก็เชิญด้านนอกค่ะ จะได้ให้ทีมอื่นเข้ามาต่อ” เซเรียบอกคณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยเป็นภาษาอังกฤษ ท่าทางหยิ่งจองหองได้อย่างน่าหมั่นไส้ แต่เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงไม่มีใครพูดอะไร ต่างคนต่างทนเก็บความรู้สึกไม่พอใจไว้ กระทั่งทั้งหมดกลับออกมาถึงด้านนอกพีระมิด
“แย่จริงๆ เลยนะคะ ทางเราอุตส่าห์ช่วยแท้ๆ พอใช้เสร็จก็ถีบหัวส่งกันเลย!” เจ๊แหม่มบ่นขึ้นเป็นคนแรก ด้วยอาการโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“ทางเขาเองก็แปลก เหมือนไม่กล้าตำหนิคนของตัวเองเท่าไหร่ คงเป็นพวกลูกเศรษฐีหรือไม่ก็ลูกเจ้าใหญ่นายโตล่ะมั้ง เฮ้อ! เป็นแบบนี้ทุกประเทศเลยสินะ” ป๋าวิบูลย์ส่ายหน้าอย่างปลงๆ
“แถมยังมาหาเรื่องมินด้วยนะคะ พูดอะไรแปลกๆ ด้วยก็ไม่รู้ อาจจะเป็นโรคจิตเลยไม่มีใครกล้าว่าอะไรก็ได้ค่ะ” เกสรีออกความเห็นบ้าง
“อย่าไปว่าเขาแบบนั้นสิเกด เดี๋ยวเขารู้ก็โกรธเอาหรอก” มินตราปรามเพื่อน “เขาอาจจะเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้วก็ได้”
“เธอก็มองโลกในแง่ดีแบบนี้เสมอแหละ มีเรื่องอะไรก็ยอมเขาตลอด พวกนั้นเลยยิ่งได้ใจ" สาวหมวยเปลี่ยนมาบ่นเพื่อนสนิทของตัวเองบ้าง แต่เพราะคำพูดของเกสรีนั่นเองที่ทำให้ชนะชนถึงกับยืนนิ่งอึ้ง
“ประวัติศาสตร์จะต้องไม่ซ้ำรอย เพราะคราวนี้ฉันจะปกป้องเธอด้วยชีวิตที่ฉันมี!” ชนะชนพึมพำ มือที่กำหมัดสั่นระริกจนจตุรงค์นึกสงสัยในอาการแปลกๆ ของเพื่อน
“เอ่อ... เชิญทีมต่อไปเลยนะครับ” จอมกะล่อนหันไปบอกบรรดานักโบราณคดีจากประเทศอื่น ซึ่งต่างกำลังปัดทรายออกจากผมและเสื้อผ้า บ้างก็กำลังใช้น้ำล้างนัยน์ตาที่มีทรายปลิวเข้าไป สร้างความงุนงงให้แก่พวกชนะชนเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะท้องฟ้าที่กลับมาแจ่มใสเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ผิดกับช่วงเวลาก่อนหน้านี้ลิบลับ
“ภายในพีระมิดมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นบ้างไหมครับ?” นักโบราณคดีจากประเทศอเมริกาคนหนึ่งตรงเข้ามาถามป๋าวิบูลย์และเจ๊แหม่ม ด้วยท่าทีที่ยังตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกตนเมื่อครู่ และไม่มีนักโบราณคดีจากประเทศไหนยอมเข้าไปภายในพีระมิดเป็นคณะต่อไปแม้แต่คนเดียว
“เอ... ไม่มีนะครับ ทุกอย่างปกติดีครับ” ป๋าวิบูลย์ตอบงงๆ
“นั่นสิคะ ทุกอย่างก็ปกตินะคะ หรือด้านนอกมีอะไรเกิดขึ้นคะ?” เจ๊แหม่มตั้งคำถามกลับ
“เกิดพายุทรายเฉพาะในรัศมีพีระมิดครับ พวกเราก็นึกว่าเกิดอะไรในพีระมิดด้วยเสียอีก”
“ใช่ค่ะ ท้องฟ้าก็ดำทมิฬ น่ากลัวมาก” นักโบราณคดีจากประเทศออสเตรเลียเข้ามาช่วยพูดเสริมด้วยอีกคน ถึงอย่างนั้นสองนักโบราณคดีอาวุโสจากประเทศไทยก็ยังยืนยันว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นภายในพีระมิด
...แต่คนที่รู้ดียิ่งกว่าใครๆ ว่าแท้จริงแล้วมีบางอย่างเกิดขึ้นก็คือ ชนะชน!!
“เซเรีย... นี่คิดจะทำอะไรอีกกันแน่!?” ชายหนุ่มพึมพำหน้าเครียด
...สิ่งหนึ่งที่รู้แน่ชัดก็คือ การที่เซเรียจงใจให้เขาอ่านจารึกภายในพีระมิด มันไม่ใช่เพราะเธอไม่สามารถแปลความหมายของอักษรทั้งหมดได้ แต่เป็นเพราะเธอต้องการให้เขาได้อ่านมัน เพื่อกระตุ้นความทรงจำในอดีตชาติซึ่งอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นให้ฟื้นคืนมาทั้งหมด เช่นเดียวกับตัวเธอที่สามารถ ‘ระลึกชาติ’ ได้แล้วก่อนหน้านี้จากพีระมิดแห่งนี้ แต่ทั้งหมดทั้งปวงนั้นเพื่ออะไรกัน นั่นคือสิ่งที่อดีตฟาโรห์อย่างเขายังไม่สามารถคาดเดาได้ เพียงรู้ว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ โดยเฉพาะกับมิราหรือมินตราในปัจจุบัน
“เป็นอะไรหรือเปล่าชนม์ สีหน้าไม่ดีเลยนะ?” จตุรงค์อดรนทนไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วง อาจดูเป็นความห่วงใยที่มากเกินกว่าความเป็นเพื่อน แต่นั่นก็เป็นเพราะความเคยชินที่ฝังแน่นสืบต่อกันมาทุกภพทุกชาติ
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าห่วงเลย” ชนะชนตอบยิ้มๆ เป็นรอยยิ้มอย่างจริงใจที่มีให้กับคนที่เป็นทั้งผู้ติดตามและสหายเพียงคนเดียวของเขา
“แน่นะ นายน่ะชอบเก็บไปคิดมากอยู่คนเดียวเรื่อยแหละ บอกว่าไม่มีอะไร ไม่ได้เป็นอะไร แต่ข้างในใจน่ะมีเต็มไปหมดจนแทบระเบิดออกมานอกอกใช่ไหมล่ะ มีอะไรก็บอกสิ จะได้ช่วยกันคิดช่วยกันแก้ไข คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย แล้วฉันก็พร้อมจะเป็นเพื่อนตายของนายอยู่แล้ว ไม่เชื่อใช่ไหมล่ะ ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็น...” จตุรงค์บ่นเพื่อนเสียยืดยาวเป็นตาแก่ จนชนะชนอดขำไม่ได้
“ฉันเชื่อ ไม่ต้องพิสูจน์หรอก” ชายหนุ่มตอบพลางหัวเราะขบขัน แม้คำพูดของจตุรงค์จะแทงใจดำหลายอย่าง แต่นั่นก็แสดงถึงความเป็นเพื่อนแท้ที่รู้จักรู้ใจกันเป็นอย่างดี สมกับช่วงเวลายาวนานในความเป็นเพื่อน
แน่นอน... เขาเองก็รู้จักจตุรงค์เป็นอย่างดี และรู้ว่าเพื่อนแท้คนนี้ยินดีจะตายแทนเขาได้ เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาครองบัลลังก์ฟาโรห์แห่งอียิปต์แล้ว แต่ในเวลานี้ ปัญหาและความกังวลในใจยังคงเป็นแค่สิ่งที่อยู่ในความนึกคิด ยังไม่มีสิ่งใดปรากฏชัดเจนว่าจะเป็นเช่นนั้น มันอาจจะเบาบางกว่าหรือร้ายแรงยิ่งกว่าก็ได้ แล้วก็คงจะมีแค่เพียงเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์สิ่งที่อยู่ในหัวใจและความคิดของเซเรีย ผู้หญิงที่ไม่มีใครอ่านความคิดของเธอออก จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย ! !
หลังจากเสร็จสิ้นการเยี่ยมชมพีระมิดแห่งใหม่แล้ว คณะนักโบราณคดีจากทุกประเทศก็เดินทางออกจากพื้นที่เขตทะเลทรายด้วยรถโฟร์วีล และเพราะเป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี ทั้งหมดจึงแวะพักรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในเขตทะเลทราย ก่อนเข้าเขตเมืองเล็กน้อย
“เชิญเลยค่ะ ยินดีต้อนรับนะคะ” เจ้าของร้านสาวสวยในชุดแบบสาวพื้นเมืองอาหรับ ออกมาต้อนรับลูกค้ากลุ่มใหญ่ประจำวันนี้ ด้วยภาษาประจำชาติของลูกค้าจากต่างประเทศ ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาอิตาเลียน และแม้แต่ภาษาไทย
“ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ คุณเจ้าของร้านพูดภาษาไทยได้ด้วยหรือคะเนี่ย?” เจ๊แหม่มถามหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น
“ก็... นิดหน่อยค่ะ” เธอยิ้มแย้มตอบ แล้วหันไปยิ้มให้คณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยทุกคน กระทั่งได้สบตากับชนะชน และต่างคนต่างชะงักไป
...สำหรับหญิงสาว เขาเป็นเหมือนรักแรกพบที่ทำให้หัวใจดวงเล็กของเธอสั่นไหว และเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ทั้งที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน แต่สำหรับชนะชนแล้ว เธอคือหญิงสาวผู้มีชีวิตอยู่เมื่อหลายพันปีก่อนในครั้งที่เขาครองบัลลังก์ฟาโรห์ ผู้ที่เขาไม่อาจลืมได้ พอๆ กับที่เขาไม่สามารถลืมสิ่งที่เซเรียทำไว้กับเขาได้
ไม่ผิดแน่ ! ชนะชนบอกตัวเองระหว่างที่ยังคงจ้องมองเธอ เจ้าของนัยน์ตาสีนิล กับประกายตาที่ดูเหมือนบริสุทธิ์ใสซื่อ ใบหน้ารูปไข่ จมูกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากบาง รวมทั้งผมดำขลับที่ปล่อยยาวเกือบถึงกลางหลังเช่นเดียวกับเซเรีย และผิวที่ขาวกว่าใครในบรรดา 3 พี่น้อง ผู้ที่ทำให้เซเรียย่ามใจจนวางแผนฆ่ามิราในที่สุด ! !
“ขอโต๊ะที่นั่งแล้วมองเห็นทิวทัศน์นอกร้านนะคะคุณน้อง”
เสียงพูดของเจ๊แหม่มที่ดังขึ้นปลุกคนทั้งคู่ให้ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวเจ้าของร้านรีบกุลีกุจอจัดหาที่โต๊ะและที่นั่งสำหรับนักโบราณคดีจากประเทศไทยตามที่ถูกร้องขอ ขณะที่ชนะชนหันขวับไปจ้องหน้าเซเรียซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะของคณะนักโบราณคดีชาวอียิปต์
“เซเรีย เธอนี่มัน...” เขากำหมัด กัดฟันกรอด ตรงข้ามกับเซเรียที่เชิดหน้ายิ้มเยาะ พร้อมๆ กับที่ลุกขึ้นประกาศ
“ร้านนี้เป็นร้านของพี่สาวดิฉันเอง เพราะฉะนั้นขออนุญาตเป็นเจ้ามือนะคะ เชิญทุกท่านรับประทานอาหารกันได้ตามอัธยาศัยเลยค่ะ” เธอพูดพลางกวาดตามองทุกคนในร้าน ก่อนจะจบลงที่การสบตายิ้มเยาะท้าทายชนะชนอีกครั้ง
“เธอมันงูพิษจริงๆ” ชายหนุ่มพึมพำ ความเจ็บปวดและเจ็บแค้นเต้นเร่าในดวงตา ถึงยังไงเขาก็ไม่มีวันยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหน!