มนต์ไอยคุปต์
“เอ้า! สองหนุ่ม ไหนสั่งอาหารทีซิ โชว์ฝีมืออ่านภาษาอาหรับหน่อย อ่านภาษาอังกฤษไปก็ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออาหารอะไร” ป๋าวิบูลย์ส่งเมนูอาหารให้ชนะชนและจตุรงค์ โดยมีเสียงจ๋อยๆ ของเกสรีดังต่อท้าย
“ยังไงก็เห็นใจเกดนิดนึงนะคะ ไม่เอาอาหารแบบบนเครื่องบินวันนั้นนะ”
“จ้ะๆ พี่รู้ พี่ไม่แกล้งน้องเกดหรอก” จตุรงค์หันไปยิ้มหวานให้เกสรี ถึงอย่างนั้นก็ยังคงลอบมองท่าทางแปลกๆ ของชนะชนด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
บรรยากาศในร้านดูอบอุ่นเป็นกันเอง เคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะของบรรดานักโบราณคดีจากประเทศต่างๆ ยกเว้นชนะชนที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เขาจ้องมองการตกแต่งร้านที่เลียนแบบสมัยอียิปต์โบราณมาเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผนังอิฐที่ทาด้วยสีเหลืองนวลอมน้ำตาลแบบสีพีระมิด ประตูหน้าต่างและแผ่นฝ้าที่สลักลวดลายคล้ายอักษรเฮียโรกลิฟฟิค เฟอร์นิเจอร์สีทองเลียนแบบของส่วนพระองค์ในพระราชวัง รวมทั้งของตกแต่งร้านโบราณๆ อย่างโคมไฟ เครื่องถ้วยชาม และพรมสีเหลืองทองที่ปูลาดบนทางเดิน
“ไม่น่าเชื่อนะว่า แม่คนนั้นจะลุกขึ้นประกาศตัวเป็นเจ้ามือเลี้ยงคนตั้งเกือบครึ่งร้อย ถึงจะเป็นร้านพี่สาวก็เถอะ น้ำใจหรือเลศนัยกันแน่นะเนี่ย” เกสรีแอบตั้งข้อสงสัยกับมินตรา
“ไม่เอาน่าเกด ไปว่าเขาแบบนั้นอีกแล้ว อย่ามองโลกในแง่ร้ายสิ” มินตราดุเพื่อนด้วยคำพูดแบบเดิมๆ จนสาวหมวยนึกเซ็ง
“เธอต่างหากล่ะมินที่มองโลกสวยงามเกินเหตุ” เกสรีย่นหน้า ส่วนมินตราก็ทำแก้มป่องแบบงอนๆ ดูน่ารัก แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาชื่นชมอดีตมเหสี ชนะชนบอกตัวเองและนั่งหน้าเครียดอยู่คนเดียว
...เขาเห็นด้วยกับเกสรี เพราะรู้จักนิสัยของเซเรียดีว่าไม่เคยทำอะไรโดยไร้เหตุผล และเหตุผลของเธอก็ไม่เคยเป็นเรื่องดีเสียด้วย ยิ่งถ้าพี่สาวของเธอเกิดระลึกชาติขึ้นมาได้อีกคนล่ะก็ เขาไม่อยากคิดเลยว่ามินตราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ชายหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวซึ่งดูจะไม่รู้เรื่องรู้ราวกับอดีตชาติของตัวเองด้วยความกังวล
“หัวหน้ากับรองหัวหน้านั่งทานอาหารอียิปต์แล้ว ยิ่งดูเหมือนคนอียิปต์เลยนะคะ” มินตรายิ้มขำสองหนุ่มซึ่งนักตักกับข้าวบนโต๊ะกินกัน ‘เอช’ แผ่นโรตีที่ชาวอียิปต์ใช้กินแทนข้าวและขนมปัง ชำนิชำนาญราวกับเป็นชาวอียิปต์จริงๆ
“คงเพราะเคยมาอียิปต์แล้วด้วยล่ะมั้ง ก็เลยทำอะไรคล่อง” ชนะชนตอบยิ้มๆ ทั้งที่ในใจกำลังวิตกกับอาหารบนโต๊ะซึ่งไม่รู้ว่าเจือยาพิษลงไปบ้างหรือไม่ จนต้องทำทีเป็นบริการตักกับข้าวให้คนทั้งโต๊ะ ระหว่างที่ใช้แหวนเงินที่สวมอยู่ตรวจสอบพิษไปด้วย
“เคยมาหลายครั้งแล้วหรือคะ มาดูงานโบราณคดีน่ะหรือคะ?” เกสรีถามขึ้นอย่างสนใจ
“เปล่าจ้ะ มาเที่ยวน่ะ คุณพ่อคุณแม่ของหัวหน้าชนะชนท่านพามา พี่เองก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย” จตุรงค์ตอบแทนชนะชน ซึ่งดูจะไม่ค่อยอยากพูดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างตัวเองกับประเทศอียิปต์นัก เพราะหากมินตราเกิดระลึกชาติได้อีกคน เขาคงทนไม่ได้ที่จะต้องถูกนางอันเป็นที่รักหมางเมินใส่
“แสดงว่ามาตอนที่ยังเรียนอยู่สินะคะ” เกสรีซักถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ดีจังเลยค่ะ เกดกับมินพึ่งจะเคยมาต่างประเทศเป็นครั้งแรก เลยทำตัวไม่ค่อยถูก”
“มาตอนเรียนปี 3 น่ะจ้ะ หลังจากกลับไป หัวหน้าชนะชนก็รีบไปลงเรียนภาษาอียิปต์ กับพวกวัฒนธรรมอียิปต์โบราณเพิ่ม สงสัยจะประทับใจมาก”
“รองหัวหน้าจตุรงค์ครับ...” ชนะชนเรียกเพื่อนเสียงขรึม และกระแอมเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าอีกฝ่ายเริ่มจะพูดมากเกินไปแล้ว อาจจะทำให้เป็นอันตรายต่อชีวิตของคนพูดได้
“ขอโทษด้วยคร้าบ จะไม่พูดแล้วคร้าบ จะไม่เรียกหัวหน้านอกเวลางานแล้วคร้าบ จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วคร้าบ” จอมกะล่อนรีบละล่ำละลัก จนทุกคนในโต๊ะพากับหัวเราะขบขัน
“เซรี!”
เสียงเรียกชื่อพี่สาวของเซเรียดังขึ้น ระหว่างที่โต๊ะของนักโบราณคดีจากประเทศไทยกำลังครื้นเครงแข่งกับโต๊ะอื่น
“ขอเมนูพิเศษให้โต๊ะนั้นทีนะ” เซเรียบอกเซรี พลางพยักเพยิดหน้าไปทางโต๊ะของชนะชน
“อ๋อ ได้สิ” เซรียิ้มรับ ท่าทางดีใจที่จะได้เดินโฉบไปที่โต๊ะของชายหนุ่มอันเป็นรักแรกพบอีกครั้ง ขณะที่เซเรียนั่งยิ้มกริ่มอย่างพอใจในแผนการของตัวเอง
“ขออนุญาตเสิร์ฟเมนูพิเศษของทางร้านนะคะ”
ไม่นานนัก เซรีก็ยกเนื้ออบควันฉุยในถาดสีทองใบใหญ่มาที่โต๊ะของพวกชนะชน ทำเอาทุกคนตื่นเต้น ยกเว้นชนะชนที่ลอบมองเธออย่างจับพิรุธ เพราะไม่รู้ว่าหญิงสาวจะมาไม้ไหน ในเมื่อมีเพียงโต๊ะของเขาเท่านั้นที่ได้รับการเสิร์ฟอาหารจานนี้
“เนื้ออบหรือคะ กลิ่นหอมดีนะคะ” เจ๊แหม่มยิ้มให้เซรี
“เป็นเมนูพิเศษของทางร้านน่ะค่ะ รับประกันความอร่อยค่ะ”
“แล้วทำไมเลือกที่จะเสิร์ฟให้โต๊ะนี้โต๊ะเดียวล่ะครับ เดี๋ยวโต๊ะอื่นเขาจะมองว่าลำเอียงเอาได้นะครับ” ชนะชนถามขึ้นเสียงขรึม สีหน้าเรียบเฉย จนดูไม่ออกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน
“คือ... เจ้ามือมื้อนี้เธอสั่งมาน่ะค่ะ เซเรียน้องสาวดิฉันไงคะ” เซรียิ้มแย้มตอบ แต่นั่นเองที่ทำให้ชนะชนถึงกับชะงัก ความหวาดระแวงพุ่งพรวดขึ้นสมองอีกระลอก ซ้ำยังดูจะมากกว่าเดิมหลายเท่าด้วย
“อ้อ! ฝากขอบคุณเธอด้วยนะครับ มือนี้เธอคงต้องจ่ายหนักทีเดียว” ป๋าวิบูลย์หันไปพูดกับเซรีบ้าง
“แหม! ดิฉันคงไม่กล้ารีดไถน้องสาวตัวเองหรอกค่ะ อย่างมากก็คิดราคาทุนกับเซเรียน่ะค่ะ” เซรียิ้มให้ทุกคนในโต๊ะ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป ถึงอย่างนั้นก็ยังมิวายลอบมองชนะชนอย่างหลงใหล
“พิลึกนะคะ หรือจะเกิดสำนึกผิดขึ้นมา” เกสรีพูดขึ้น หลังจากที่เซรีคล้อยหลังไปแล้ว
“จุ๊ๆ หนูเกด พี่สาวเธอรู้ภาษาไทยนะจ๊ะ” เจ๊แหม่มปราม ทำเอาสาวหมวยจ๋อยสนิท รีบเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเสียงอ่อย “จะว่าไปเนื้ออบนี่คือเนื้อวัวใช่ไหมคะ?”
“ไม่น่าจะใช่นะ น่าจะเป็นเนื้อแพะมากกว่า ถ้าเป็นเนื้อวัวน่าจะสีคล้ำกว่านี้”
คำตอบของชนะชนพาให้ทุกคนนั่งตัวแข็งค้าง เนื่องจากแต่ละท่านล้วนไม่มีประสบการณ์ในการบริโภคเนื้อแพะมาก่อน แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการ เพราะในเมื่อมันคือเมนูพิเศษที่เซเรียสั่งมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ จึงน่าจะเกี่ยวข้องกับแผนการอะไรบางอย่างของเธอด้วย
“นั่นสินะ เอ่อ... คนอียิปต์เขากินเนื้อแพะกันด้วยนี่ ที่จริงบ้านเราก็มีบางคนที่กินนะ ไม่แปลกหรอกเนอะ ไหนๆ เขาก็ปรุงมาเพื่อพวกเราแล้ว ก็ต้อง... เอ่อ ช่วยกันทานให้หมดนะคะ เดี๋ยวเขาจะเสียใจ” เจ๊แหม่มยิ้มปลอบทุกคน ถึงอย่างนั้นก็เป็นรอยยิ้มที่ฝืดฝืนเต็มทีนับตั้งแต่เจ๊เคยยิ้มมา
“ข้างในคงจะใส่เครื่องเทศไว้ด้วย เดี๋ยวผมจะเป็นคนตัดแบ่งให้ทุกๆ คนแล้วกันนะครับ” ชนะชนขันอาสา เพราะมันคือจุดประสงค์ของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
...แม้จะเคยเป็นฟาโรห์ มีบริวารคอยรับใช้ทุกอย่าง แทบไม่ต้องทำอะไรเอง แม้แต่จะย่างเดิน แต่เขาก็ไม่คิดถือสากับเรื่องแค่นี้ ขอเพียงมิราและทุกคนปลอดภัยจากคนอย่างเซเรีย ผู้หญิงที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการของตัว ต่อให้ต้องฆ่าคนบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องสักกี่คนก็ตาม แน่นอนว่าแม้พวกเขาจะกลับประเทศไทยแล้ว เธอก็ยังหาเรื่องตามไปรังควานได้หากหัวใจของเธอต้องการ
ชนะชนแอบนิ่วหน้าเครียดอยู่คนเดียวระหว่างที่ลุกขึ้นตัดแบ่งเนื้ออบในถาด โดยไม่รู้ว่าเซเรียกำลังนั่งมองเขาพลางนึกขบขันที่ชายหนุ่มหลงติดกับแผนการปั่นหัวของเธอเข้าอย่างจัง ใช่! แค่ปั่นหัวเท่านั้นสำหรับวันนี้ หญิงสาวส่งกระแสจิตบอกเขา ขณะที่นั่งยิ้มให้กับแผนการต่อไปที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า
ตอนที่ 6
“เฮ้อ! อยากมีคนคอยดูแล เทคแคร์แบบนี้บ้างจังเลย” จตุรงค์พูดขึ้นเสียงดัง ระหว่างนั่งมองมินตราล้างแผลให้ชนะชนอยู่ที่โซฟาภายในห้องโถงของบ้านพักเอกอัครราชทูตไทย หลังกลับจากการเยี่ยมชมและศึกษาดูงานพีระมิดแห่งใหม่บริเวณทะเลทรายขาวแล้ว
“อยากเป็นแบบนี้บ้างงั้นเหรอ เดี๋ยวฉันช่วยก็ได้ ขั้นแรกต้องทำให้เป็นแผลเสียก่อนนะ เอาแผลฉกรรจ์เลยดีไหม หรือเอาแบบแผลเล็กแผลน้อยทั่วตัวดี?” ชนะชนถามเพื่อน หน้ายิ้มแต่แกล้งแฝงแววอำมหิตไว้ บ่งบอกว่าหากอีกฝ่ายตอบรับก็พร้อมจะช่วยเหลือเต็มกำลังแบบไม่มีการยั้งมือ
“เอ่อ... ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ แบบว่าแค่อยากมีคนดูแลเฉยๆ ไม่ได้อยากเป็นแผลนะครับ” จอมกะล่อนรีบปฏิเสธ สีหน้าไม่สู้ดี เพราะรู้ว่าเพื่อนเป็นคนพูดจริงทำจริง และหากเขาตอบตกลงไปล่ะก็ อาจถึงขั้นนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลได้
“อย่างนั้นหรือครับ ยังไงก็ไม่ต้องเกรงใจนะครับ ถ้าอยากเป็นแผลเมื่อไหร่ก็บอกได้” ชนะชนย้ำคำเดิมให้จตุรงค์เสียวสันหลังเล่น แต่ดูเหมือนจะเป็นการทำให้มินตราขบขันมากกว่า
“หัวหน้ากับรองหน้าเป็นเพื่อนที่สนิทกันดีนะคะ” หญิงสาวพูดพลางหัวเราะพลาง แน่นอนว่ารอยยิ้มของเธอทำเอาชนะชนชะงักไปเหมือนทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้อาจแตกต่างไปบ้างตรงที่มันทำให้เขานึกถึงเรื่องราวในอดีตชาติ เมื่อครั้งได้พบกับเธอ
...เป็นช่วงเวลาก่อนที่เขาจะได้ครองบัลลังก์ฟาโรห์เสียอีก
“เจ้าชาย! ทรงรอกระหม่อมด้วย ดำเนินเร็วเยี่ยงนี้ กระหม่อมจักตามพระองค์ทันได้เยี่ยงไร” จตุรงค์เมื่อครั้งยังเป็น ‘ติติ‘ ผู้ติดตามและพระสหายคนสนิทของเจ้าชายซาร์ วิ่งกระหืดกระหอบตามคนเป็นเจ้าชาย ซึ่งทรงดำเนินห่างออกไปทุกที
“เจ้าก็ฝึกก้าวเท้าให้ยาวสิติติ นอกจากเจ้าจักไม่ต้องวิ่งแล้ว ยังจักตามข้าทันด้วย” ชนะชนเมื่อครั้งยังเป็น ‘เจ้าชายซาร์‘ หันไปตรัสตอบคำพูดของติติ พร้อมกับทรงพระสรวล ขบขันในท่าทางหน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม กับท่าวิ่งตุปัดตุเป๋ของอีกฝ่าย และทรงดำเนินไปรอพระสหายของพระองค์อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่แล้ว...
ฟุ่บบบ !
เชือกบ่วงที่เจ้าชายซาร์บังเอิญเหยียบเข้า กระตุกรัดข้อพระบาท พร้อมกับดึงร่างของพระองค์ขึ้นไปห้อยอยู่บนกิ่งไม้ ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของเจ้าของเชือกบ่วง ซึ่งเป็นเด็กชายวัย 10 ปี สามคน
“ฮ่าๆ ๆ มีคนติดกับดักพวกข้าแล้ว มีคนติดกับดักแล้ว”
สามเด็กชายกระโดดโลดเต้นดีใจ นั่นเองที่ทำให้เจ้าชายซาร์ที่กำลังจะชักมีดพกออกมาตัดเชือก ยั้งพระหัตถ์ไว้แค่นั้น ขณะที่ติติซึ่งเห็นเหตุการณ์เต็มสองตา ก็รีบเร่งฝีเท้าวิ่งเข้ามาช่วยเจ้าชายของเขาด้วยความตกใจ
“นี่! ทำอันใดของพวกเจ้า รีบปล่อยพระองค์บัดเดี๋ยวนี้เลยนะ หากไม่อยากต้องพระอาญา” เขาเต้นแร้งเต้นกาโวยวายใส่เด็กทั้งสาม
“หา!! พระ... พระ... อาญา”
ทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่กด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบปล่อยมือจากเชือกที่ช่วยกันออกแรงดึงเพื่อรั้งร่างของร่างเจ้าชายซาร์ขึ้นไปห้อยบนกิ่งไม้ เป็นเหตุให้พระองค์ตกลงมากระแทกพื้นดิน