Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
怫冥ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)

怫冥ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)

黑仙女

5.0
ความคิดเห็น
640
ชม
2
บท

"พี่หยาง เดี๋ยว เดี๋ยว สงบใจก่อนข้าไม่ไหวแล้ว" "ไม่ได้" "..."

บทที่ 1 บทนำ ความตายที่ปราถนา

รัชศกเสวียนหลี ที่ 72 ปีเถาะธาตุไม้

ความตาย…

แท้จริงแล้วก็มีเพียงเท่านี้

จ้าวเสี่ยวหมิงยืนมองร่างของตนเอง ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนฟูกกลางเตียงสี่เสา ท่ามกลางเปลวไฟสีดำทะมึน ลามเลียแผดเผาทีละนิด อย่างเหนื่อยหน่าย

ด้วยเหตุที่ว่าตนเองนั้น จงใจปลิดชีพด้วยการถอดดวงจิตออกมา เพื่อเดินทางไปยังปรโลกเพียงลำพัง เพราะมันเป็นหนทางเดียว ที่จะให้ตัวตนของเขาที่อยู่เหนือวัฏสงสาร ได้ดับสูญไปอย่าไร้ข้อกังขาใดๆ

เขายืนมองร่างของตนที่นอนแน่นิ่งอย่างระอา ก่อนจะพึมพำออกมาอย่างอ่อนใจว่า “ยิ่งใหญ่แล้วอย่างไร เป็นที่หนึ่งในใต้หล้าแล้วอย่างไร สุดท้ายก็แทบไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้เชยชม”

ด้วยความที่ตัวของเขานั้น คงอยู่บนผืนพิภพมาร่วมสามสิบเจ็ดฝน มองเห็นการแก่งแย่งช่วงชิงความเป็นหนึ่งมาอย่างยาวนาน ทั้งๆ ที่เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลาย เคยกล่าวอ้างว่าเป็นผู้ฝึกตน ต่างหลุดพ้นจากทุกสรรพสิ่ง

ทว่ากลับหาได้มีผู้ใดปล่อยวางอย่างที่เคยเอื้อนเอ่ยประโยคออกมาแม้เพียงครึ่งคำ ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงความเป็นใหญ่ในใต้หล้า รวมไปถึงการอยากครอบครองค่าทาสบริวาร ราวกับหมาล่าเนื้อ ไล่ตะครุบเหยื่ออย่างหิวกระหาย

จ้าวเสี่ยวหมิงยืนมองร่างของตนอีกเพียงครู่ ก็เยื้องย่างออกไปยังชานระเบียง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองโดยรอบบริเวณยอดเขาหวงซาน ท่ามกลางเวิ้งฟ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยม่านสีดำ มีเพียงเกล็ดหิมะสีใสโปรยปรายลงมาให้เห็นอย่างบางเบาสะท้อนให้เห็นรางๆ สายลมเย็นอ่อนๆ ยามต้นเหมันต์ฤดูแผ่ปกคลุมทุกหย่อมหญ้าแต่ก็มิอาจรับรู้ได้

เสียงของฝีเท้าของคนนับพันคู่รายล้อมยอดเขา เปลวไฟบรรลัยกัลป์โหมกระพือ โลมเลียอาคารที่ตั้งตระหง่านสีขาวดุจหิมะให้กลายเป็นสีดำทะมึน บุรุษวัยกลางคนนับสิบชีวิต ต่างพยายามฝ่าเขตอาคมที่จ้าวเสี่ยวหมิงร่ายไว้ เพื่อให้ตนเองได้รุกล้ำเข้ามาด้านในที่พำนักแห่งนี้ให้จงได้ แต่กระนั้นไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ไร้ผล เพราะอาคมที่ร่ายไว้เป็นเกราะป้องกันผู้รุกรานเข้ามานั้น แข็งแกร่งเกินไป

จ้าวเสี่ยวหมิงทอดถอนลมหายใจพรืดใหญ่อยู่เพียงลำพัง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองออกไปยังลานกว้างนอกชานระเบียงด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ก็เห็นเพียงแต่เหล่าบรรดาผู้คนที่มิเจียมตน กำลังดาหน้าเข้ามาในกองเพลิง หมายจะให้ตัวเขานั้นยอมศิโรราบแต่โดยดี

เมื่อเห็นภาพต่างๆ ฉายเข้ามาในคลองจักษุ เขาก็แค่นเสียงในลำคอออกมาดัง ‘เหอะ’ เสียหนึ่งที แล้วค่อยเอ่ยพึมพำเสียงเบาต่อว่า “ไม่ว่าใครก็อยากให้ข้าตาย” ก่อนจะหลุบตามองไปยังผู้คนนับพันที่อยู่เบื้องล่าง ก็อดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะในลำคอออกมาอีกหน

ยามได้เห็นหลายสิบชีวิตตรงเบื้องล่าง ซึ่งครั้งเก่าก่อนนั้นเคยเป็นศิษย์ที่เขาสอนสั่งมาเองกับมือ และบุรุษอีกหลายสิบชีวิตล้วนเคยเป็นสหายที่เขาเคยช่วยเหลือในยามทุกยากลำบากหนักหนา อีกทั้งยังมีหลายต่อหลายคนที่เขาให้ความสำคัญ

‘รสชาติยามถูกคนที่เคยเชื่อใจทรยศหักหลัง…มันช่างเจ็บปวดบาดลึกเสียยิ่งกว่าตายหลายเท่านัก’

จ้าวเสี่ยวหมิงผรุสวาทออกมาภายในใจ ก่อนจะส่ายศีรษะไปมาอย่างระอา เมื่อได้เห็นการกระทำที่เรียกว่า ไร้ประโยชน์ต่อหน้าตน เขาจึงเอ่ยพึมพำด้วยความรู้สึกที่สุดจะทน “ข้าล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ เหตุใดถึงอยากให้ข้าศิโรราบนัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีทางทำได้” กล่าวเพียงแค่นั้น จ้าวเสี่ยวหมิงก็หมุนตัวกลับ ก่อนจะเยื้องย่างเข้ามาด้านใน จากนั้นร่างโปร่งแสงก็ค่อยๆ เลือนหายไป

เพียงไม่นานหลังจากนั้น ร่างโปร่งใสก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าประตูบานใหญ่

ดวงวิญญาณมากมาย ค่อยๆ ทยอยเข้าไปด้านในอย่างเชื่องช้า จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเงยหน้ามองไปยังปราการตรงหน้า แล้วทอดถอนลมหายใจพรืดใหญ่อีกหนอย่างอ่อนใจ

“ข้าเลือกหนทางนี้เอง จะห่วงหาอาทรสิ่งใดบนพื้นพิภพเล่า”

จบคำเขาก็เดินไปยังประตูบานใหญ่ ทว่าดวงวิญญาณยังไม่ทันจะก้าวข้ามธรณีประตูไปยังอีกฟากหนึ่งแต่อย่างใด ก็มีบุรุษร่างสูงใหญ่ร่างกายเป็นสีแดงชาดทั่วทั้งร่าง ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเสียก่อน

เมื่อเห็นเช่นนั้น จ้าวเสี่ยวหมิงก็พลันชะงักค้างฝีเท้าไว้ ก่อนจะเบนสายตามองไปยังบุรุษร่างใหญ่ตรงหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพและแผ่วเบา “ท่านคือเฮาหนี่ ใช่หรือไม่”

“ย่อมใช่” บุรุษร่างสูงใหญ่กล่าวตอบเพียงประโยคสั้นๆ นัยน์ตาสีแดงฉานสบมองมายังใบหน้าของจ้าวเสี่ยวหมิงฉายแววเรียบเฉยไร้อารมณ์ “เจ้าเข้าใจถูกแล้วจอมมารฝูหมิง ข้าผู้นี้มีนามว่าเฮาหนี่ เป็นผู้ช่วยดูแลเหล่าดวงวิญญาณที่เข้าออกปรโลกแห่งนี้”

‘หากเป็นเช่นนั้นไยต้องขวางทางข้ากันเล่า มิเห็นหรอกหรือว่ามีผู้คนรอคอยเข้าไปอยู่มากเพียงใด’

จ้าวเสี่ยวหมิงสบถด่าอยู่ในใจ หลังจากได้ยินคำเอ่ยออกมาจากปากบุรุษร่างสูงใหญ่ หนำซ้ำยังไม่ยอมถอยห่างให้เขาก้าวเข้าไปอีกฝั่ง เอาแต่ยืนขวางทางเสียอย่างนั้น

ทว่ายังไม่ทันที่จะเอื้อนเอ่ยประโยคคำใดออกมา บุรุษตรงหน้าก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อนว่า “ข้าหาได้ขวางทางเจ้าหรอกจอมมารฝูหมิง”

“แล้วเหตุใดท่านถึงไม่ให้ข้าข้ามไปฝั่งนั้นเสียทีเล่า มิเห็นหรือว่ามีคนต่อแถวรอข้าอยู่ข้างหลังอีกมาก”

“เพราะเหตุใดนั้นน่ะหรือ เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกรึจอมมารฝูหมิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากเจ้าถอดจิตเพื่อจะทำลายชีวิตตน ต้องมีผู้คนอีกเท่าไร เดือดร้อนด้วยเรื่องที่เจ้าทำเช่นนี้ลงไป หนำซ้ำยังมีคนอีกคนคอยเรียกหาเจ้าอยู่นั่นอีก” เฮาหนี่ยังเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มอย่างมิพึงใจ เขามองบุรุษตรงหน้าด้วยสายตาเอือมระอาเต็มทน

เมื่อเห็นว่าจ้าวเสี่ยวหมิงหาได้รู้สึกสะทกสะท้านในสิ่งที่เอื้อนเอ่ยออกมาไม่ สุดท้ายมิอาจทานทนเฮาหนี่จึงตวาดเสียงดังใส่อีกหน “ความวุ่นวายทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้น ล้วนต้องขอบใจเจ้า”

ยามได้ยินประโยคที่กล่าวออกมาจากปากของเฮาหนี่ จ้าวเสี่ยวหมิงก็มิอาจกลั้นหัวเราะได้อีก จนหลุดขำเสียงดัง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แล้วกล่าวต่อทั้งน้ำตา “ท่านเอาสิ่งใดมาเอ่ย ข้าถอดจิตเพื่อดับชีวิตตนเนี่ยนะ ถึงกับทำให้ผู้คนเป็นต้องเดือดร้อน” ก่อนจะยกมือทั้งสองกุมท้องของตนเอง พลางหัวเราะร่วนจนตัวงออย่างชอบใจ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ อย่างมิอาจกลั้นไหว “แล้วยังมีคนคอยเรียกหาข้าอีกนั่นเล่า คนสารเลวชั่วช้าเช่นข้าเนี่ยน่ะหรือ จะมีใครอยากให้ฟื้นขึ้นมาก่อความวุ่นวายกัน”

ในครานั้นเองเฮาหนี่ก็มิอาจจะข่มโทสะภายในใจได้อีก เขาจึงกระทืบเท้าลงพื้นอย่างแรง แล้วยกนิ้วชี้ของตัวเองชี้ไปยังใบหน้าของจ้าวเสี่ยวหมิงด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ก่อนจะตวาดเสียงดังลั่นใส่ “บ๊ะ…เจ้าจอมมารไร้สำนึก เจ้าเอ่ยมาได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไป จะไม่มีผู้อื่นเดือดร้อนกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่า บัดนี้มีผู้ไม่ประสงค์ดีได้ช่วงชิงร่างของเจ้าไปใช้ในทางที่มิชอบเสียแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ไอ้ผู้นั้นมันใช้ร่างของเจ้าสังหารผู้คนบริสุทธิ์มากมายเพียงใด เจ้ายังคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อีกหรือ”

เมื่อถูกชี้หน้าด้วยเพลิงโทสะ จ้าวเสี่ยวหมิงถึงกับสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ เรียวคิ้วกระตุกยิกไปเสียหลายหน แล้วร้องอุทานออกมาเสียงดัง “อึ๋ย!” ยามถูกเฮาหนี่กล่าวหาด้วยน้ำเสียงมิพึงใจ

ด้วยเหตุที่ว่าเขาถูกกล่าวหา ทั้งๆ ที่ยังมิทันได้ทำสิ่งใด แม้ตนเองจะพยายามขบคิดอยู่หลายตลบ เพื่อหาข้อแก้ต่างให้กับตน แต่ท้ายที่สุดก็ระลึกได้ว่าก่อนที่จะถอดดวงจิตออกมา เขานั้นได้จุดเพลิงโลกันตร์ไว้รอบกายเองกับมือ

และด้วยเหตุนี้คงไม่มีสรรพสิ่งไหนรอดพ้นจากเพลิงโลกันตร์นี้ไปได้ ยามนี้ร่างกายไม่แคล้วคงแหลกเหลวไม่เหลือรูปร่างให้ผู้ใดได้มาสิงสู่แล้วเป็นแน่

พอคิดมาถึงตรงนี้จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเอ่ยแย้งออกไป “ช้าก่อนท่านเฮาหนี่ ท่านเอาสิ่งใดมาเอ่ย ในเมื่อในยามนี้ร่างกายของข้า คงมอดไหม้ด้วยเพลิงโลกันตร์ไปแล้วกระมัง หากเป็นเช่นนั้นจะมีผู้ใดอีกเล่า ที่จะมาช่วงชิงร่างของข้าไปใช้ได้อีก”

ได้ยินเช่นนั้นเฮาหนี่ถึงกับตวาดด้วยเพลิงโทสะเป็นทบทวี “เจ้าคิดว่าร่างตนเองเป็นอะไร เป็นหุ่นไม้ไผ่รึ ถึงได้มอดไหม้ด้วยเพลิงโลกันตร์” เมื่อจ้าวเสี่ยวหมิงมิได้ระวังเรื่องเหล่านี้ให้รอบคอบเอาเสียเลย

ด้วยความที่ตัวตนของบุรุษผู้นี้เป็นถึงครึ่งมารครึ่งเซียน ซ้ำยังบำเพ็ญฌานจนบรรลุระดับสูงสุดไปแล้ว ร่างกายจึงแข็งแกร่งหาได้มีสิ่งใดทำลายได้ง่ายนัก

เพียงแค่เพลิงโลกันตร์ที่ร่ายเอาไว้รอบกาย มันจะไปทำลายร่างให้มอดไหม้ได้เสียที่ไหน หากต้องการจะทำลายร่างอย่างแท้จริงแล้ว จักต้องจ้วงทะลวงออกมาจากด้านใน หาไม่แล้วก็ไม่ต่างจากการเอาเปลวเพลิงลนเล่นบนฝ่ามือ

ทว่ายามได้มองใบหน้าของจ้าวเสี่ยวหมิง เฮาหนี่ก็ทำได้เพียงทอดถอนลมหายใจพรืดใหญ่ออกมาอย่างระอา แล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายว่า “เพราะคิดเช่นนี้อย่างไรเล่า เรื่องราวจึงบานปลายถึงเพียงนี้”

“แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า ในเมื่อข้ามิได้รู้เลยสักนิด ว่าจะมีผู้ที่คิดจะชิงร่างของข้าถึงเพียงนี้”

สิ้นคำของจ้าวเสี่ยวหมิง เฮ่าหนี่ก็สบมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่ใส แล้วอดไม่ได้ที่จะทอดถอนลมหายใจออกมาอีกหน ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ข้าจะส่งเจ้ากลับไป เพื่อให้เจ้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตนกระทำ”

ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงร้องเสียงดังลั่นออกมา “เดี๋ยวๆ แล้วข้าจะกลับไปได้อย่างไร ในเมื่อมีคนแย่งร่างของข้าไปแล้ว”

“ใครว่าข้าจะส่งเจ้ากลับไปร่างเดิมของเจ้ากัน” เฮาหนี่เอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อนสิ่งใด “แล้วก็เลิกซักไซ้ข้าเสียที เรื่องทางโลก ข้าไม่อาจยุ่งไปมากกว่านี้ หากจะโทษก็โทษที่ตัวเจ้าไร้ความรอบคอบเถอะ” กล่าวจบบุรุษร่างใหญ่ก็ง้างฝ่าเท้าขึ้นมา ก่อนจะประเคนใส่ยอดอกของจ้าวเสี่ยวหมิง อย่างไม่รั้งรอ

ร่างกายโปร่งแสงที่ถูกฝ่าเท้าข้างนั้นกระแทกอย่างจัง พลันกระเด็นกลับมายังพื้นพิภพอย่างรวดเร็ว

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

หยางจื้อซี เกิดใหม่ในหมู่บ้านป่าหมอก

หยางจื้อซี เกิดใหม่ในหมู่บ้านป่าหมอก

จิ้งจอกสะท้านหม้อไฟ
5.0

หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้

เมียผมน่ารักจัง

เมียผมน่ารักจัง

Penn Tofallis
5.0

กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"

ไม่เป็นทาสรักอีกต่อไป

ไม่เป็นทาสรักอีกต่อไป

Frannie Bettuzzi
5.0

คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."

ไฟรักเร่าร้อน NC18++

ไฟรักเร่าร้อน NC18++

Me'JinJin
4.9

คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ