นักชีวพันธุกรรมศาสตร์สาวตื่นขึ้นมาในโลงศพโบราณ เธอพยายามทบทวนความจำสุดท้ายจึงจำได้ว่าตนเองกำลังค้นหาบางสิ่งจากดีเอ็นเอในเลือดของเด็กสาวคนหนึ่ง จากนั้นทุกอย่างก็พร่าเลือน เธอดำดิ่งสู่ห้วงเหวที่เต็มไปด้วยความน่ากลัว เธอได้บอกกับตัวเองว่าเธอยังไม่ตายจึงพยายามจะหาทางออกจากโลงศพที่ปิดแน่นให้ได้ ขณะนั้นเธอก็ได้ยินเสียงคล้ายกับบทสวดวิงวอนจึงได้รู้ว่ามีผู้คนอยู่ใกล้ในบริเวณจึงพยายามทำให้รู้ว่าเธอยังมีชีวิต และยังไม่พร้อมที่จะถูกฝัง เพียงชั่วครู่หนึ่งเสียงฝาโลงก็ค่อย ๆ ขยับจนกระทั่งถูกเปิดออกราวกับปาฏิหาริย์ เหมือนว่าพระเป็นเจ้าได้ยินคำร้องขอของเธอ แม้ว่าเสียงสรรเสริญจะดังขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของผู้คนมากหน้าหลายตา หญิงสาวกวาดตามองไปรอบบริเวณ ทุกใบหน้าถูกประดับด้วยรอยยิ้มที่สดใส แก้วไวน์แดงในมือถูกชูขึ้นและชนกันพร้อมกับเปล่งเสียงเฉลิมฉลองราวกับว่าการตื่นขึ้นของเธอคือสิ่งที่พวกเขาต่างก็รอคอย หญิงสาวไม่รอช้าที่จะก้มลงมองตนเองเพราะรู้สึกอึดอัดบริเวณกระบังลม จึงได้เห็นสิ่งที่ตนเองกำลังสวมใส่อยู่บนร่างกาย คลอเซ็ท ลูกไม้ และสุ่ม เหมือนว่าเธอกำลังถูกล้อเล่นจากคนกลุ่มใหญ่ที่เธอไม่นึกสนุกด้วย เธอลุกขึ้นยืนด้วยสองขาจากพลังเดือดดาลที่อยู่ภายในใจ เธอรู้สึกถึงพลังงานที่เต็มเปี่ยมในร่างกายอย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน เธอไม่เพียงแต่ผงาดลุกขึ้นยืน แต่เธอยังลอยตัวอยู่เหนือโลงศพ และเหนือผู้คนที่ต่างก็แต่ตัวราวกับอยู่ในห้องจัดเลี้ยงในยุควิคตอเรีย ผู้คนต่างปฏิบัติต่อเธอราวกับเป็นราชินี เสียงสรรเสริญที่เต็มไปด้วยความคลั่งใคล้ทำให้เธออยากตื่นขึ้นจากความฝัน แต่เมื่องานเลี้ยงเริ่มไปสักระยะ ประตูหน้าต่างทุกบานเริ่มปิดลงทีละบาน จากนั้นเสียงกรีดร้องของผู้คนก็ดังขึ้น กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้องจัดเลี้ยง ผู้คนล้มตายอย่างน่าสยดสยอง หญิงสาวก้มมองมือและเสื้อผ้าบนร่างกายของตนเองจึงได้พบว่า...เธอคือหนึ่งในผู้สร้างหายนะเหล่านี้...หญิงสาวกรีดร้องอย่างโหยหวน ขอให้เธอตื่นจากฝันร้ายนี้เสียที!
ความเงียบสงัดปกคลุมค่ำคืนรัตติกาลสีเงิน มีเพียงสายลมเยือกเย็นที่พัดโชยใบไม้ให้เกิดเสียงดังครั่นครืน ในเวลานั้นเจ้าของฝีเท้าหนักแน่นค่อยก้าวย่างไปบนเส้นทางที่ทอดตัวยาวไปตามใต้เงาไม้ที่หนาทึบ เขาก้าวต่อไปไม่หยุดอย่างมุ่งมั่นเพียงลำพัง แม้ความเงียบเหนือศีรษะของเขาจะถูกฉีกกระชากด้วยเสียงหวีดหวิวแหลมสูงที่ก้องกังวานราวกับปีศาจเจ้าอากาศ แต่เขาก็ไม่ได้หวาดหวั่นหรือเกรงกลัวที่จะถูกบดขยี้เลยแม้แต่น้อย เพราะอีกไม่ไกลจากจุดที่กำลังเดินอยู่ก็จวนเจียนจะถึงอาณาบริเวณของป้อมปราการโบราณที่เป็นจุดหมายปลายทางของเขา
เพียงชั่วพริบตา เงาของฟรานซิสก็ถูกเงามืดของปราสาทปลายยอดแหลมสูงเสียดฟ้ากลืนกิน ทว่าเสียงเหยียบย่างจากฝ่าเท้าของเขายังคงดังแว่วไปทั่วบริเวณใจกลางป่าลึก แม้เสียงแตกกรอบราวกับกระดูกกำลังถูกบดละเอียดจะดังขึ้นระหว่างนั้นเป็นระยะ แต่เสียงก้าวเดินยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุด อันเป็นสัญญาณของลมหายใจที่ยังไม่สูญสลายไปจากร่าง ก่อนที่มันจะค่อยช้าลงจนเงียบกริบในที่สุด
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลา เงยหน้ามองหาเสียงที่บาดลึกเข้าไปในโสตประสาทท่ามกลางท้องฟ้าสีเงินที่ไร้ซึ่งดวงดาวด้วยดวงตาสีเข้มดุดัน วงคิ้วเข้มเป็นสันพาดเฉียงเล็กน้อยขมวดเข้าหากันอย่างเพ่งพินิจ ริมฝีปากบางเม้มเข้าด้วยกันแน่น ปลายจมูกที่โด่งเป็นสันรับรู้ถึงกลิ่นของบางสิ่งที่กำลังคืนคลานเข้ามากระตุ้นสัญชาตญาณดิบในตัวเขา ครู่หนึ่งเสียงของปีกหนังขนาดมหึมาก็สงบลงหลังจากโบยบินอยู่ภายใต้ความมืดมิด
ในความเงียบสงัดยามรัตติกาลที่ปกคลุมทั่วอาณาบริเวณของปราสาทโบราณ ฟรานซิสเริ่มดำเนินพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์
‘ข้าขออำนาจแห่งแสงอรุณอันศักดิ์สิทธิ์ และเงาแห่งรัตติกาลอันทรงพลัง จงสดับฟังคำแห่งข้า...
โอ้ เหล่าบุตรแห่งความมืด ผู้ดื่มกินโลหิตแห่งชีวิต จงรับรู้ถึงพันธนาการแห่งข้านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ด้วยนามแห่งดวงดาวที่ส่องแสงนำทาง และนามแห่งผืนดินที่โอบอุ้มสรรพชีวิต ข้าขอจองจำอิสรภาพของพวกเจ้าไว้ ณ ที่แห่งนี้
ตราบใดที่ปราสาทนี้ยังคงตั้งตระหง่าน ตราบใดที่เขตแดนนี้ยังคงดำรงอยู่ พวกเจ้าจักมิอาจก้าวล่วงออกไปได้ พลังแห่งรัตติกาลที่พวกเจ้าครอบครอง จงแปรเปลี่ยนเป็นโซ่ตรวนที่พันธนาการเจ้าไว้ จงอ่อนแรง จงไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะโบยบินออกจากอาณาเขตแห่งนี้
เสียงกระซิบแห่งความมืดจักมิอาจนำทางเจ้า หากเจ้าฝ่าฝืนอาณัติแห่งข้าผู้เป็นตัวแทนแห่งพระเป็นเจ้าแสงแห่งดวงตะวันจักเป็นดั่งเพลิงที่แผดเผาร่างกายของเจ้าให้เป็นเช่นธุลี เจ้าจงกลับคืนสู่รูปลักษณ์แห่งรัตติกาล จงซ่อนเร้นกายอยู่แต่เพียงในเงามืด ตราบจนกว่าข้าฟรานซิสจะปลดปล่อยเจ้าด้วยตนเอง ด้วยอำนาจแห่งพระเป็นเจ้าผู้เป็นเจ้าแห่งพลังศรัทธาความดีและความเมตตาข้าขอผนึกพันธนาการนี้ไว้ ชั่วนิรันดร!’
เสียงร่ายมนต์ทุ้มนุ่มทว่าทรงพลังของเขา ก้องกังวานดังก้องไปทั่วลานปราสาทที่เย็นเยียบ ราวกับบทเพลงโบราณที่ปลุกพลังแห่งพันธนาการให้ตื่นขึ้น
อักขระโบราณส่องแสงเรืองรองเป็นประกายสีทองล้อมรอบร่างของฟรานซิส พลังเวทมนตร์เข้มข้นแผ่ซ่านออกมา สัมผัสได้ถึงไออำนาจที่กดดันและศักดิ์สิทธิ์ เหล่าสมุนแวมไพร์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของปราสาทต่างรู้สึกถึงความปวดร้าวที่แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย ราวกับถูกเปลวเพลิงที่มองไม่เห็นแผดเผาจากภายใน โลหิตในกายสูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง ผิวหนังร้อนระอุจนแทบจะปริแตก
เสียงครวญครางต่ำ ๆ ดังระงมไปทั่วทั้งปราสาท ความทรมานแสนสาหัสกัดกินพวกเขาจนแทบคลั่ง ความแข็งแกร่งที่เคยมีมลายหายไปราวกับไอหมอกยามเช้า ร่างกายที่เคยแข็งแกร่งค่อยอ่อนแรงลงจนยากจะทรงตัว ในที่สุด พลังแห่งมนตราก็แปรเปลี่ยนร่างของพวกมันให้กลายเป็นค้างคาวตัวน้อย ที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนไม่อาจต้านทานได้ พวกมันกระเสือกกระสนบินเข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในซอกมุมมืดมิดของปราสาท ราวกับหนีภัยพิบัติอันน่าสะพรึงกลัว ปล่อยให้เสียงร่ายมนต์ของฟรานซิสดังก้องกังวานจนแสงดาวเหนือปราสาทที่เคยอึมครึมพลันสว่างไสวทอประกายจนเต็มท้องฟ้าราวกับเพชรนับพันที่โปรยปรายลงมา
“ช ชะ ช่วยด้วย...ฉันอยู่ตรงนี้”
ชายหนุ่มนักล่าผู้เปี่ยมประสบการณ์กลอกตามองหาที่มาของเสียงด้วยความสงสัย สีหน้าของเขาฉายแววครุ่นคิด ก่อนที่จะตัดสินใจก้าวเท้าอย่างเชื่องช้าและระมัดระวังตามสัญชาตญาณ เพ่งมองไปยังเรือนร่างซีดเซียวอย่างพิจารณา ก่อนที่จะตรงเข้าไปยังเงาตะคุ่มท่ามกลางแสงสลัวที่มองเห็นไม่ชัดเจน จึงเห็นหญิงสาวเรือนร่างบอบบางนอนราบไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้นทั้งเนื้อทั้งตัวอาบด้วยโลหิตสีแดงฉาน กลิ่นคลุ้งคาวตลบอบอวนไปทั่วบริเวณ แม้ผู้ที่คุ้นเคยกับกลิ่นปีศาจอย่างฟรานซิสยังต้องเบือนหน้าหนีกลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียน
“ช ชะ ช่วยด้วย...”เจ้าของน้ำเสียงอ่อนล้าเปล่งเสียงขอความช่วยเหลืออีกครั้งเมื่อภาพของคนตรงหน้าปรากฏชัดเจนขึ้น
“เอ่ยนามของเจ้า...” ชายหนุ่มผู้กล้าหาญแม้ไม่เคยเกรงกลัวต่อปีศาจร้าย ทว่าเขาก็ไม่ประหม่ากับกลลวงที่อาจทำให้เขาตกหลุมพราง กระนั้นเขาจึงกระซิบถามเจ้าของเรือนร่างของนางเปื้อนไปเลือด
“ข้า...ทิเบเรียส”
ฟรานซิสเบิกตากว้าง ภาพใบหน้าอันงดงามของน้องสาวสุดที่รักของเขาผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงในชั่วพริบตาราวกับเสียงสะท้อนจากอดีต ความทรงจำอันโหดร้ายกัดกินหัวใจของเขาอย่างเจ็บปวดราวกับคมมีดที่กรีดแทงซ้ำอีกครั้ง ความรู้สึกที่ไม่อาจปกป้องน้องสาวเอาไว้ได้ยังคงตามหลอกหลอนเขาไม่เสื่อมคลาย เมื่อได้ยินเสียงน้องสาวที่เขารักสุดหัวใจอีกครั้ง ฟรานซิสก็ไม่รอช้าที่จะถลาตัวเข้าประคองเด็กสาวในทันที
“ทีเบเรียส...น้องข้า” ดวงตาของเขาสะท้อนภาพความเจ็บปวดขณะมองไปยังภาพที่บาดตาของน้องสาวที่หายตัวไปกลางดึกเมื่อราวสี่ปีมาแล้วขณะที่เธอมีอายุได้สิบสามปี
“ฟรานซิส ข้ารู้ว่าพี่ต้องมาช่วยข้า” เด็กสาวเคราะห์ร้ายเอ่ยเรียกชื่อของผู้เป็นพี่ชายด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความทรมานและหวาดกลัว
เขากอดนางไว้กับอกแน่นราวกับได้สิ่งของมีค่ากลับคืน ก่อนที่จะช้อนอุ้มเด็กสาวขึ้นไว้ในอ้อมอก เดินกลับออกจากผืนป่าอาถรรพ์มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สิ่งชั่วร้ายไม่อาจกล้ำกลาย
บทที่ 1 พบกันอีกครั้งภายใต้พระจันทร์สีเงิน
20/05/2025