ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
ตอนที่ 12 แก่นวิญญาณ
นับเป็นความโชคร้ายของกวนไห่ผิง เพราะหลังจากที่เขาเดินทางไปตามที่ต่างๆทั่วโลก เพื่อเสาะหาผู้ที่รู้จักลูกทองแดงนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า เขาคว้าน้ำเหลวมาโดยตลอด ส่วนตัวเองนั้นก็เหลือเงินอยู่ไม่มากนัก จึงได้เลือกมาเปิดร้านเล็กๆอยู่บนถนนค้าของเก่านี้
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ กวนไห่ผิงก็เข้าไปจับมือของฉีเล่ยไว้ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“นายท่าน ตอนนี้ผมอายุสามสิบสองปีแล้ว เดิมทีผมคิดว่า ตัวเองคงจะมีชวิตอยู่ต่อได้อีกไม่เกินแปดปี หรือถ้าโชคร้าย ก็อาจจะะอยู่ได้อีกเพียงแค่ห้าปี..”
“แต่นับว่าสวรรค์ยังเมตตา ในที่สุด ผมก็ได้พบคุณจนได้! ได้โปรดเถิดนะครับนายท่าน ได้โปรดช่วยชีวิตผมด้วย!”
“เอ่อ.. ได้ๆๆ”
ฉีเล่ยถึงกับต้องยกมือเกาศรีษะด้วยความงุนงง แต่แล้วก็อดที่จะร้องถามออกไปด้วยความสงสัยไม่ได้
“แต่ผมขอถามอะไรหน่อย ทำไมคุณถึงได้มั่นใจนักว่าผมรู้จักลูกทองแดงนั่น?”
แววตาของกวนไห่ผิงเป็นประกายขึ้นมาทันที “ผมไม่มีทางมองผิดแน่! ผมเปิดแผงขายของเก่ามานานหลายปี มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่พบเห็นลูกทองแดงนี่ แต่ทุกครั้งที่คนพวกนั้นได้ยินราคาที่ผมบอก พวกเขาต่างก็ด่าว่าผมเสียสติ!”
“มีเพียงนายท่านคนเดียวเท่านั้น ที่หลังจากได้ยินคำว่า ‘สิบล้าน’ ก็เอาแต่ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ท่าทางของคุณบ่งบอกชัดเจนว่า คุณรู้จักลูกทองแดงนี้จริงๆ!”
ฉีเล่ยได้แต่พยักหน้า..
‘กวงไห่ผิงพูดถูก!’
ความจริงแล้วลูกทองแดงนั่นหาได้มีค่าราคาอะไรมากมายนัก ก็แค่ลูกบอลเล็กๆ ที่ทำจากทองแดงลูกหนึ่่งเท่านั้นเอง จะสวยงามหน่อยก็ตรงที่มีการแกะสลักลวดลายมังกรไว้ด้านนอกเท่านั้นเอง
เพียงแต่.. สิ่งที่อยู่ด้านในลูกทองแดงนั้นที่ไม่ธรรมดา เพราะมันคือ ‘แก่นวิญญาณ’!
ภายใต้จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ไร้ขอบเขตนี้ ทุกสรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ และแก่นวิญญาณที่อยู่ภายในลูกทองแดงนี้ ก็เกิดจากการหลอมรวมของจิตวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วน
ฉีเล่ยเองก็ไม่รู้ว่า แก่นวิญญาณนี้มาจากที่ใดกันแน่ แต่เพราะเขาได้ดวงตาแห่งการหยั่งรู้นี้มาจากบรรพชนสกุลเฉิน เขาจึงมั่นใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นไม่มีอะไรผิดพลาดแน่
ลูกทองแดงนี้ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งในโลกใบนี้แน่!
ภายในร่างกายมนุษย์นั้น ส่วนที่เปราะบางที่สุดก็คือจิตวิญญาณ ซึ่งไม่อาจทานทนต่อการถูกกระทบกระทั่งได้แม้เพียงครั้งเดียว เมื่อใดที่จิตวิญญาณเสียหายแม้เพียงเล็กน้อย มนุษย์ก็จะเจ็บไข้ได้ป่วยทันที
ในทางตรงกันข้าม หากคนธรรมดาทั่วไปได้ดูดซับพลังงานจากแก่นวิญญาณนี้เข้าไป จิตวิญญาณของพวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก อีกทั้งยังจะได้รับประโยชน์อย่างอื่นอีกมากมายนับไม่ถ้วน ผู้ที่ได้รับพลังงานจากแก่นวิญญาณเข้าไป ไม่เพียงจะมีอายุยืนยาวนับร้อยปี แต่ยังจะมีภูมิต้านทานโรคได้อีกนับร้อยโรคด้วย
สำหรับฉีเล่ยแล้ว ลูกทองแดงนี้มีคุณประโยชน์อย่างมหาศาลทีเดียว!
ทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศที่สุด ซึ่งฉีเล่ยได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพชนสกุลเฉินนั้นก็คือ ความสามารถในการรักษาอาการเจ็บป่วยในระดับจิตวิญญาณนั่นเอง เพียงแต่ความเชี่ยวชาญในส่วนนี้ของเขานั้น ยังไม่สมบูรณ์พร้อมนัก
แต่หากเขาได้รับพลังงานจากแก่นวิญญาณนี้เข้าไป ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป!
เขาจะสามารถรักษาจิตวิญญาณ ผ่านทางร่างกายของผู้ป่วยได้ ซึ่งโรคเหล่านี้ ทางการแพทย์แผนปัจจุบันจะเรียกกันว่า โรคทางจิตเวช..
หลังจากที่เห็นฉีเล่ยนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไปนาน กวนไห่ผิงก็รีบยื่นลูกทองแดงในมือให้กับเขาทันที พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ขอเพียงนายท่านยอมรับปากช่วยชีวิตผม ผมยินดีที่จะมอบลูกทองแดงนี้ให้เป็นของตอบแทน!”
"…"
ฉีเล่ยได้แต่นิ่งอึ้งด้วยความตกตะลึง สายตาจับจ้องอยู่ที่ลูกทองแดงแน่นิ่ง จิตใจสั่นสะท้านรุนแรงอีกครั้ง
สมบัติที่ล้ำค่าเช่นนี้ หากจะพูดว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย ก็คงจะเป็นการโกหกตัวเอง ไม่เช่นนั้น ตอนที่กวนไห่ผิงบอกราคาสิบล้าน เขาก็คงไม่คิดที่จะกลับไปยืมเงินหวู่เฉินเทียนแน่..
แต่ถึงแม้ชายวัยกลางคนผู้นี้ จะไม่มอบลูกทองแดงให้กับเขาเป็นการตอบแทน ฉีเล่ยก็ยินดีที่จะช่วยอยู่แล้ว เพราะเขาเองก็ไม่ต้องการเห็นกวนไห่ผิงตายไปโดยไม่ได้ช่วยเหลืออะไร
ด้วยเหตุนี้ ฉีเล่ยจึงรีบบอกกวนไห่ผิงไปว่า “เถ้าแก่กวน คุณเก็บลูกทองแดงนี่ไว้ก่อนเถอะ! ผมจะลองรักษาให้คุณก่อน ถ้าผมสามารถช่วยคุณได้จริงๆ ถึงตอนนั้นคุณค่อยมอบลูกทองแดงนี่ให้ผม ก็คงจะยังไม่สายเกินไปนัก แต่หากผมไม่สามารถรักษาได้ คุณก็เก็บลูกทองแดงนี้ไว้ เพื่อใช้หาคนที่จะสามารถรักษาคุณได้ก็แล้วกัน..”
พบเห็นผลกำไร แต่ไม่ลืมความชอบธรรม พบเห็นความมั่งคั่ง แต่กลับไม่โลภโมโทสัน กวนไห่ผิงรู้สึกชื่นชมฉีเล่ยขึ้นมาอย่างมากมาย..
‘แม้ชายหนุ่มผู้นี้จะรู้จักคุณค่าของลูกทองแดงเป็นอย่างดี แต่กลับรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้ได้ ยึดมั่นในหลักการและคุณธรรม คนแบบนี้ต้องมีอนาคตที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!’
“ตกลง!”
กวนไห่ผิงเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนพูดจาไม่รู้ความ เขาวางลูกทองแดงไว้บนโต๊ะ พร้อมกับร้องบอกฉีเล่ยทันที
“นายท่าน! ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยลงมือรักษาให้ผมเลยจะได้มั๊ยครับ?”
ฉีเล่ยตอบตกลง และวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคของเขานั้น ก็ทำให้กวนไห่ผิงอดที่จะประหลาดใจไม่ได้
นั่นเพราะฉีเล่ยไม่ได้จับชีพจรคนไข้เหมือนเช่นหมอแผนจีนทั่วไป แต่กลับให้กวนไห่ผิงเปิดเสื้อผ้าขึ้น จากนั้น จึงได้กดจุดสำคัญสองสามจุดที่หน้าอก และแผ่นหลังของเขาแทน
หลังจากกดจุดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดฉีเล่ยก็บอกกับกวนไห่ผิงด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดว่า “อาการป่วยของเถ้าแก่กวนไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”