ลิขิตแค้นแสนรัก
มุมมองของเฉินหลีซือ:
หลังจากส่งเหรินธากลับไปแล้ว ผมก็กลับไปที่อาคารของบริษัทเพื่อจัดการธุระ
ในตอนเย็น ผมได้รับข้อความจากเสิ่นผิงเซิน
—เฉินหลีซือ มาไหม? ทุกคนอยู่ที่นี่หมดเลยนะ
——เดี๋ยวอีกสักพักฉันไป
ผมเดินออกจากห้องทำงาน พลางพิมพ์ไปด้วย
มินท์ บาร์เป็นร้านของเสิ่นผิงเซิน ในบาร์มีผู้คนแออัดเต็มไปหมด ผมเจอกับเสิ่นผิงเซินและต่งเว่ยแล้ว พวกเชาล้วนเป็นเพื่อนที่เล่นกับผมมาตั้งแต่เด็กจนโตเลย
“เจอซือเจียเหลยรึยัง?” เสิ่นผิงเซินถามขึ้นมาทันทีที่เห็นผม
“อื้ม” ผมหยิบขวดเหล้าขึ้นมา แล้วก็รินเหล้าวิสกี้ให้ตัวเองหนึ่งแก้ว จากนั้นก็จิบไปอึกหนึ่ง
“นายจะหย่าจริง ๆ เหรอ?” เสิ่นผิงเซินขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น
“อื้ม” ผมจุดบุหรี่มวนหนึ่ง แล้วก็ตอบกลับไปด้วยความรำคาญ
“ไม่ว่ายังไงเราก็โตมากับซือเจียเหลยนะ เธอเป็นเด็กดีคนหนึ่งเลย นายกับเหรินธาใจร้ายกับเธอมากเลยนะ”
ผมเงียบ แล้วก็กระดกวิสกี้ที่เหลือในแก้วเข้าปากไป สิ่งที่เขาพูดคือความจริง
ตอนที่ผมขอหย่ากับซือเจียเหลยเมื่อคืน ผมเองก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง แต่เธอกลับนิ่งกว่าผมซะอีก หลังจากไม่ได้เจอกันมาสามปี ซือเจียเหลยไม่ใช่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่รู้สึกอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าอีกแล้ว เธอเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร การได้เจอกับเธอครั้งนี้ มันถึงได้ทำให้ผมรู้สึกว้าวุ่นใจเหลือเกิน
“แล้วเธอยอมไหม?” ต่งเว่ยเต๋อก็ขยับเข้ามาร่วมกระซิบกระซาบด้วย
“อืม”
ที่เขาออกมาดื่มเหล้า เดิมทีเขาอยากจะทำให้จิตใจได้สงบบ้าง แต่คนพวกนี้ก็พูดแต่ละอย่างไม่ได้พ้นเรื่องของซือเจียเหลยเลย
“แล้วนายอยากจะแต่งงานกับเหรินธาจริง ๆ เหรอ?”
“อืม”
“นายจะเอาจริงไหมเนี่ย! เพราะเธอเคยช่วยชีวิตนายไว้ นายก็ต้องเสี่ยงถึงขนาดนี้เหรอ?” เมื่อต่งเว่ยเต๋อพูดจบ จู่ ๆ เขาก็ตื่นตัวขึ้นมา บังเอิญว่าเขาไม่ทันระวัง ไวน์ในมือจึงหกเลอะเสื้อผ้าผมไปหมด
“เชี้ย!” ผมด่าออกไปด้วยความโมโห
“ขอโทษ” ต่งเว่ยเต๋อรีบขอโทษผมทันที
ผมจึงต้องกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พอออกจากบาร์แล้วก็เรียกให้คนขับรถมาขับรถแทน ตอนแรกผมอยากกลับบ้าน แต่ไม่รู้ว่าผมเกิดนึกบ้าอะไรขึ้นมา ถึงได้บอกให้คนขับรถขับไปถนนคาเต้นแทน
*****
ไฟในบ้านสว่างไสว มีเสียงหัวเราะดังมาจากทางหน้าต่าง ผมเห็นรถเบนซ์ที่คุ้นเคยคันหนึ่งจอดอยู่ในโรงรถ
ดูเหมือนว่าแม่และย่าของผมมาที่นี่แล้ว
ผมเดินเข้าไปที่ประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่ผมจะเข้าไปใกล้ประตู จู่ ๆ ประตูก็เปิดออกมา
“เฉินหลีซือ ทำไมลูกไม่รับสายของแม่เลยล่ะ!” แม่วิ่งเหยา ๆ เข้ามาหาผม แล้วก็ต่อว่าผมด้วยความโมโห
“แม่ พอดีเมื่อกี้ผมประชุมอยู่น่ะ”
“แล้วทำไมเนื้อตัวถึงได้มีแต่กลิ่มเหล้าแบบนี้ล่ะ ไปดื่มเหล้ามาเหรอ? รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลยนะ” แม่หลบผมด้วยความรังเกียจ
หลังจากที่ผมเดินเข้าไปในบ้านแล้ว ผมก็เห็นคุณย่าและซือเจียเหลยกำลังนั่งคุยและหัวเราะกันอยู่ในห้องนั่งเล่น โดยมีพายแอปเปิ้ลและผลไม้วางอยู่บนโต๊ะ
“คุณย่า” ผมเดินเข้าไปทักทาย แล้วก็หยิบพายแอปเปิ้ลชิ้นหนึ่งขึ้นมา คุณย่าจึงตีมือผม
“นายไปที่อื่นเลยนะ อันนี้เตรียมไว้สำหรับซือเจียเหลยเท่านั้น”
“เฉินหลีซือ เสื้อผ้าของคุณไปโดนอะไรมาเหรอ? ให้ฉันช่วยคุณเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่านะ” ซือเจียเหลยพูดพร้อมกับลุกขึ้นและเดินมาหาผม
“พวกเธอก็แต่งงานกันมาตั้งนานแล้วนะ ทำไมถึงได้เรียกกันห่างเหินขนาดนั้นล่ะ?” คุณย่ามองมาที่ผมด้วยความสงสัย
“เรียกแบบนี้แล้วมันยังไงเหรอคะ?” ซือเจียเหลยชะงักฝีเท้าและถามขึ้นมา
“คนหนุ่มสาวก็มักจะเรียกกันว่า ‘ที่รัก’ หรือไม่ก็ ‘เบบี๋’ อะไรแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?”
ซือเจียเหลยถึงกับสตั้นไปเลย แล้วเธอก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ที่..... ที่รัก ให้ฉันช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณดีกว่านะ”
เธอเดินเข้ามาหาผม แล้วก็ช่วยผมถอดเสื้อสูทออก ทำราวกับว่าเธอสนิทสนมกับผมมากอย่างนั้นแหละ
“แบบนี้สิถึงจะถูก” คุณย่าพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นและพึงพอใจอย่างมาก
คุณย่ารักซือเจียเหลยมาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตอนที่ซือเจียเหลยอยู่ต่างประเทศ คุณย่าของผมมักจะถามผมเกี่ยวกับเธอเสมอ ซึ่งผมก็มักจะตอบแบบเลี่ยง ๆ ไปทุกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน คุณย่าก็พูดกระตุ้นขึ้นมาอีกว่า
“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง เฉินหลีซือ ย่านัดหมอไว้ให้นายแล้วนะ ช่วงนี้นายห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาด อาทิตย์นี้นายต้องไปตรวจร่างกายนะ”
ผมถึงกับตกตะลึงไปเลย
“คุณย่า ผมเพิ่งไปตรวจร่างกายมาเมื่อไม่นานเองนะครับ สุขภาพก็แข็งแรงดีด้วย”
“แข็งแรงดีก็ต้องตรวจอีก นี้มันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว เหลนชายเหลนสาวของย่าล่ะ? แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่ความผิดของซือเจียเหลยอยู่แล้ว มันต้องเป็นปัญหาที่นายนั่นแหละ”
ซือเจียเหลยชะงักฝีเท้า แล้วก็หันมามองที่ผมทันที สีหน้าของเธอดูขมขื่นเล็กน้อย แต่ดูเหมือนเธออยากจะหัวเราะออกมามากกว่า
ทันใดนั้น โทรศัพท์ในกระเป๋าสูทของผมก็ดังขึ้นมา ซือเจียเหลยจึงหยิบมันออกมาให้ผม เป็นชื่อของเหรินธาที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ สีหน้าของซือเจียเหลยเปลี่ยนไปทันที
“ผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม? โอ้พระเจ้า” คุณแม่พูดขึ้นมา
ผมไม่ได้ตอบ แล้วก็กดปิดเสียงโทรศัพท์ทันที
“ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้วเหรอ? เฉินหลีซือ ฉันจะบอกนายเอาไว้เลยนะ ตอนนี้นายคือผู้ชายที่แต่งงานแล้ว แล้วทำไมนายยังไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเหรินธานั่นอีกล่ะ? แบบนี้จะไม่เป็นการทำผิดต่อซือเจียเหลยรึไง? แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้ ในข่าวที่ออกมาว่าไปลองชุดแต่งงานกัน มันคือยังไงกันแน่?” คุณย่าตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณย่าคิดหรอกนะครับ”
“แล้วทำไมนายไม่รับโทรศัพท์ล่ะ? ”
ผมไม่สามารถตอบได้เลย ผมอาจจจะโกหกได้เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่ตอนอยู่ต่อหน้าคุณย่า เธอมักจะจับคำโกหกของผมได้ตลอด
คุณย่าตัวสั่นด้วยความโกรธ ซือเจียเหลยจึงรีบรินน้ำให้เธอแก้วหนึ่ง
“คุณย่านั่งลงก่อนดีกว่านะคะ เดี๋ยวฉันให้เฉินหลีซือไปเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่า” ซือเจียเหลยพูดพร้อมกับดันผมให้ขึ้นไปชั้นบน แล้วก็เข้าไปในห้องนอน
“เอาเสื้อเชิ้ตสีขาวจากตู้ที่สามออกมา”
ผมถอดเสื้อเชิ้ตที่มีคราบสีแดงออก ไอ้ต่งเว่ยเต๋อเอ๊ย คราวหน้าฉันไม่ไว้ชีวิตนายแน่
ทันใดนั้นคนที่อยู่ข้างหลังผมก็เงียบสนิท ผมจึงหันหลังไป
ซือเจียเหลยกำลังถือเสื้อเชิ๊ตเอาไว้ แล้วก็กำลังจ้องมองมาที่ผมอย่างเหม่อลอย แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ
“ยังดูอีกเหรอ?”
ซือเจียเหลยรีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว แต่ผมกลับไม่ได้ใส่เสื้อผ้าในทันที ผมกลับเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธอแทน
คราวนี้ ผมได้เห็นซือเจียเหลยแบบชัด ๆ แล้ว เธอไม่ใช่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว สามปีที่ไปอยู่ฝรั่งเศส ทำให้เธอเปลี่ยนจากดอกไม้ตูม ๆ เป็นดอกกุหลาบที่อ่อนโยนและสวยงามดอกหนึ่ง
ดวงตาของเธอปิดสนิท ขนตายาว ๆ ของเธอสั่นระริก มุมปากของเธอโค้งขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าเธอกำลังพยายามเก็บงำอะไรบางอย่างอยู่ แก้มเธอแดงขึ้นเรื่อย ๆ
แล้วผมก็เอื้อมมือไปหยิบเสื้อจากในมือของเธอมา แล้วก็ทำการเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เราก็กลับไปที่ห้องนั่งเล่นด้วยกัน
“เฉินหลีซือ ย่าคงจะอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่ปีแล้วนะ ทำไมนายถึงไม่รู้สึกสำรวมจิตใจและอยู่กับซือเจียเหลยให้มีความสุขดี ๆ สักทีล่ะ นายอยากจะทำให้ย่าโกรธจนตายไปเลยจริง ๆ ใช่ไหม” คุณย่ายังคงต่อว่าผมไม่หยุด
“คุณย่า คราวหน้าถ้าคุณย่าจะมาอีก คุณย่าโทรหาผมก็ได้นะ ผมจะได้ไปรับไง” ผมไม่รู้ว่าจะตอบคุณย่ายังไงดี ผมจึงได้แต่เปลี่ยนเรื่องพูดออกไปอย่างไม่มีทางเลือก
“ไม่ต้อง คนที่ไม่ค่อยอยู่บ้านอย่างนายเนี่ย ย่าคงไม่หวังจะพึ่งพาอะไรนายหรอก ย่าก็แค่อยากจะมาดูสิว่านายกลั่นแกล้งซือเจียเหลยรึเปล่าก็เท่านั้นเอง”
“คุณย่า ฉันสบายดีมากเลยค่ะ” ซือเจียเหลยรีบพูดขึ้นมาทันที
“อย่าลืมงานเลี้ยงฉลองครบรอบหกสิบปีของบริษัทในวันพรุ่งนี้ด้วยล่ะ นายต้องไปซื้อชุดราตรีที่ดูดีสักชุดเป็นเพื่อนซือเจียเหลยด้วย อย่าทำให้ย่าไม่สบายใจอีกเลย”
“ผมเข้าใจแล้วครับคุณย่า”
หลังจากผมต้องรับมืออยู่สักพักใหญ่ ในที่สุดก็ส่งคุณย่ากับคุณแม่ไปได้สักที
เห็นแบบนี้แล้ว ไม่รู้จะบอกเรื่องที่พวกเราจะหย่ากันกับพวกเธอยังไงดีเลย