ลิขิตแค้นแสนรัก
มุมมองของซือเจียเหลย:
หลายวันผ่านไปหลังจากงานวันครบรอบของบริษัท เฉินหลีซือก็ไม่ปรากฏตัวมาอีกเลย ส่วนฉันก็มัวยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน
วันนี้ ฉันยืนอยู่ข้างถนนเพื่อรอเถียนน่า เรานัดพบกันที่นี่
ทันใดนั้นเด็กสาวผมแดงคนหนึ่งก็วิ่งมาจากข้างหน้า เมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้ว ฉันถึงจะจำเถียนน่าได้
“เถียนน่า ทำไมผมของคุณถึงได้ย้อมเป็นสีแดงล่ะ? !” ตั้งแต่ชั้นประถม เถียนน่าพูดถึงการย้อมผมสีแดงมาโดยตลอด ล่าสุดในตอนที่วิดีโอคอล ผมของเธอยังเป็นสีปกติอยู่เลย
“ซือเจียเหลย! เซอร์ไพรส์ไหมล่ะ? เธอไม่ได้กลับไปหาเพื่อนรักที่ดีที่สุดของเธอมาตั้งสามปีแล้วนะ ฉันต้องคิดแล้วล่ะว่าลงโทษเธอยังไงดี”
เราสองคนเหมือนพี่น้องที่พลัดพรากกันมานานหลายปี เรากอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่หน้าร้านกาแฟอย่างบ้าคลั่งมาก ไม่ว่าวิดีโอคอลคุยกันกี่ครั้ง แต่การกอดก็สามารถทำได้ต่อเมื่อได้เจอหน้ากันเท่านั้น
“เอาล่ะ เล่าทุกอย่างให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้ เธอจะย้ายมาอยู่กับฉันเมื่อไหร่? ฉันจะได้โทรตามเพื่อนคนอื่นมา เราจะได้จัดปาร์ตี้ชุดนอนกันไง!”
“ยังไม่แน่ใจเลย แต่คงเร็ว ๆ นี้แหละ!”
เมื่อเถียนน่าพูดจบ เธอก็ดึงฉันเข้าไปในร้านของหวานร้านหนึ่ง เราสั่งทีรามิสุมาสองอัน
“เฉินหลีซือยังไม่ปล่อยเธอไปอีกเหรอ? ฉันเห็นช่วงนี้เธอมีข่าวเม้าท์เยอะนะ”
“ช่างพวกเขาเถอะ แค่ฉันได้หย่า ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันอีกแล้ว”
“ดีแล้วล่ะ เราจะได้กลับมาเป็นรูมเมทกันอีกครั้งซะที”
ฉันกับเถียนน่ามีเรื่องให้ต้องคุยกันแบบไม่มีวันจบสิ้น เพราะเราเป็นคนที่มีแนวร่วมเดียวกัน ฉันรู้ดีว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะคอยอยู่เคียงข้างฉันเสมอ ฉันมีความสุขมากที่มีเพื่อนแบบนี้
“อ๋อ งานที่ฉันพูดถึงคราวที่แล้ว ฉันได้พูดกับเจ้านายของเราไปแล้วนะ แล้วก็ส่งเรซูเม่ของเธอให้เขาไปแล้วด้วย เขาพอใจมาก แล้วก็บอกด้วยว่าต่อให้ต้องใช้วิธีไหนยังไงเขาก็ต้องดึงตัวเธอไปให้ได้”
“คงไม่ได้เวอร์ขนาดนั้นหรอกมั้ง” ฉันกัดเค้กไปคำหนึ่ง
“เธอเตรียมตัวที่จะได้เป็นพิธีกรโทรทัศน์ชื่อดังได้เลย! ทำให้ผู้ชายคนนั้นเสียใจตายไปเลย”
หลังจากใช้เวลาเกือบทั้งช่วงเช้ากับเถียนน่าไปแล้ว ฉันก็ไปที่บ้านของเถียนน่า หลังจากที่เธอให้ฉันยืมชุดสูท ฉันก็ไปที่บริษัทของเถียนน่า เป็นการไปสัมภาษณ์ที่บริษัทมีเดีย อินไซท์นั่นเอง
“ไม่ต้องตื่นเต้นนะ เธอดูเพอร์เฟคมากแล้ว” เถียนน่าใช้สองมือตบไหล่ฉัน พร้อมกับมองตาฉันแล้วก็พูดให้กำลังใจ
*****
ที่ห้องประชุมในการสัมภาษณ์งาน
“ซือเจียเหลย ผมขอถามหน่อยสิว่า ทำไมคุณถึงอยากร่วมงานบริษัทของผมเหรอครับ เราได้อ่านประวัติการทำงานของคุณแล้วนะ ดูเหมือนว่าคุณจะมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ด้วย”
ผู้สัมภาษณ์ที่หัวล้านนิดหน่อย แต่หน้าตาใจดีดูมีเมตตาคนนั้นมองมาที่ฉันด้วยรอยยิ้ม
“การได้นำเสนอเนื้อหาที่ผู้ชมให้ความสนใจกับพวกเขา เป็นความตั้งใจเดิมที่ฉันเลือกเรียนวิชาเอกสื่อมีเดียค่ะ เพราะพลังของสื่อไม่ใช่การสร้างโลกที่เป็นเท็จขึ้นมา แต่ควรจะนำเสนอด้านที่แท้จริงที่สุดต่อสาธารณชน สำหรับความรู้สึกของฉัน มีเดีย อินไซท์เป็นบริษัทที่กล้าพูดและกล้าลงมือทำจริงแห่งหนึ่งค่ะ”
ผู้สัมภาษณ์พลิกดูเรซูเม่ของฉันไปมา แล้วก็ถามคำถามฉันอีกหลายข้อ จากนั้นก็มีการกระซิบกับผู้สัมภาษณ์ที่อยู่ข้าง ๆ แล้วก็หันมามองฉัน
“ขอแสดงความยินดีด้วยครับ ซือเจียเหลย ยินดีต้อนรับคุณสู่มีเดีย อินไซท์”
พอเดินออกจากอาคาร ฉันก็โทรหาเถียนน่าทันที เพื่อบอกข่าวดีกับเธอ
จากนั้นฉันก็เรียกแกร๊ปและมุ่งหน้ากลับไปที่ถนนคาเต้น
ฉันไม่ได้มีสัมภาระอะไรมากมายนัก มีแค่กระเป๋าเดินทางใบเดียว ฉันอาจจะได้ย้ายออกจากบ้านภายในวันนี้เลย
เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันก็พบรถของเฉินหลีซือจอดอยู่ที่ลานบ้าน ไฟในวิลล่าเปิดอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ที่บ้านนะ
พอดีเลย เราจะได้พูดให้มันชัดเจนกันไปครั้งเดียวจบ
ฉันเปิดประตูและเดินเข้าไป แต่แล้วกลับเห็นเฉินหลีซือนั่งทรุดตัวอยู่บนโซฟา เขาเอามือกุมท้องไว้ สีหน้าดูเจ็บปวด
เมื่อเขาเห็นฉันเข้ามา เขาก็ไม่ได้จ้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่เย็นชาอย่างที่เคยทำ แต่กลับยื่นมือมาหาฉัน ราวกับกำลังจับฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตเขาได้ นาน ๆ ทีเขาจะมีท่าทางที่ดูอ่อนแอเช่นนี้
“คุณ คุณเป็นอะไรไป?”
“ผมปวดท้อง”
ฉันรีบไปหยิบยาจากลิ้นชักมา ฉันรู้ว่าเฉินหลีซือมักจะมีอาการปวดท้องตลอดเวลา จากนั้น ฉันก็เทน้ำมาแก้วหนึ่ง แล้วก็เดินไปหาเขา
ปากของเขาอ้าออก เหมือนลูกนกที่รอการป้อนอาหาร
ผู้ชายคนนี้ คงไม่ได้คิดจะให้ฉันป้อนเขาหรอกใช่ไหม? เมื่อสามปีที่แล้วคุณบอกให้ฉันอยู่ห่างจากคุณไว้ไม่ใช่เหรอ?
“ยื่นมือมา” ฉันพูดอย่างระมัดระวัง ฉันไม่อยาให้เขาแสดงความรังเกียจออกมากับฉัน
แล้วฉันก็วางยาในมือของเฉินหลีซือ จากนั้นก็ยื่นแก้วน้ำให้เขา
หลังจากทานยาไปแล้ว เฉินหลีซือก็เอนตัวลงไปบนโซฟาอย่างเฉื่อยชาอีกครั้ง แล้วก็คว้าหมอนอิงมากอดไว้ในอ้อมแขนของเขา
แน่นอนว่าไม่มีร่างกายของใครที่ทำจากเหล็กหรอก หลังจากที่ป่วย เฉินหลีซือก็สูญเสียความบ้าอำนาจที่เคยมีไปทันที เขากลายเป็นคนว่านอนสอนง่ายราวกับเสือที่ถูกถอนเขี้ยวไปแล้ว
ฉันอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองเขาอยู่หลายครั้ง มันดูน่ามองมากกว่าตอนที่เขาดูเย่อหยิ่งในตอนปกติซะอีก
ฉันกลับเข้าไปหยิบผ้าห่มในห้องมาผืนหนึ่ง แล้วก็ทำการห่มให้เขา
เขาแค่มองมาที่ฉันแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้พูดขอบคุณอะไรสักคำ
ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาที่เขาไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อสู้ที่สุดอยู่พอดี ฉันจึงสามารถพูดถึงเรื่องต่าง ๆ ออกมาได้อย่างเต็มที่ ฉันสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง
“ฉันเตรียมจะย้ายออกแล้วนะ”
‘เสือที่ไร้เขี้ยว’ ลุกขึ้นยืนทันที ทำให้ผ้าห่มร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น
“คุณพูดว่าอะไรนะ?” ชาร์ลส์มองฉันด้วยสีหน้าโกรธเคือง
“ฉันอยากย้ายออกไปอยู่กับเถียนน่าน่ะ” เมื่อเห็นท่าทางโกรธของเขา ฉันก็สูญเสียความมั่นใจไปทันที
“ไม่ได้!” หลังจากพูดจบ มุมปากของเฉินหลีซือก็กระตุกขึ้น จากนั้นเขาก็เอามือกุมท้องไว้ แล้วก็นอนลงไปอีกครั้ง
“ถ้าคุณมีเวลาแล้ว เราไปทำเรื่องหย่ากันเถอะ”
ฉันโน้มตัวลง แล้วก็หยิบผ้าห่มที่อยู่บนพื้นขึ้นมา แต่เฉินหลีซือกลับเอาจับจมูก แล้วก็ไม่รับผ้าห่มไป
“ทำไมตัวคุณถึงมีกลิ่นแปลก ๆ ล่ะ?” เฉินหลีซือหันข้างเข้าหาโซฟาด้วยความรังเกียจ “ไปอาบน้ำก่อน เรื่องนี้ค่อยคุยกันทีหลัง”
ผู้ชายคนนี้พอได้กินยาก็มีพลังขึ้นมาเลยนะ
ฉันดมตัวเองไปมา มีกลิ่นอะไรกัน?
แต่ฉันก็ยังขึ้นไปอาบน้ำที่ชั้นบนอยู่ดี ฉันคิดในใจว่า เมื่อกี้นี้ที่ผู้ชายคนนี้พูดว่าไม่ได้ เขาหมายความว่ายังไงกันแน่? ถ้าฉันจะย้ายออกไปก็ต้องได้รับความยินยอมจากเขาด้วยเหรอ? ข้อตกลงการหย่าก็ถูกส่งมาที่อีเมลแล้วหนิ แล้วเขายังจะต้องการอะไรอีก?
หลังจากที่ฉันอาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งด้วยผ้าขนหนูเสร็จ จู่ ๆ ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่า เป็นเพราะเมื่อกี้นี้ฉันรีบมาอาบน้ำ ฉันจึงลืมเอาเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำมาด้วย
เฉินหลีซือน่าจะยังอยู่ข้างล่าง ถ้าฉันจะใช้เวลาตอนนี้แอบออกไปหยิบเสื้อผ้าสะอาดมาก็มันคงจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง?
ฉันที่กำลังเขย่งเท้าเดินออกจากห้องน้ำ แต่แล้วจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากข้างนอก
เฉินหลีซือเดินขึ้นมาชั้นบนแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะหายจากอาการโรคกระเพาะได้รวดเร็วมาก
ฉันจึงทำได้แค่กลับเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นเขาก็เข้าประตูห้องมา
“ยังอาบไม่เสร็จอีกเหรอ?”
“ฉันลืมเอาเสื้อผ้าเข้ามาน่ะ” ฉันพูดอย่างเคอะเขิน
ในห้องเงียบไปพักหนึ่ง แล้วก็มีเสียงเปิดกระเป๋าเดินทางที่อยู่ใกล้ระเบียงดังขึ้นมา เมื่อคิดว่าเฉินหลีซือกำลังหาชุดชั้นในในกระเป๋าเดินทางอยู่ ใบหน้าของฉันก็แดงก่ำขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่สิ่งที่ฉันอยากรู้มากกว่าก็คือ สีหน้าของเขาในตอนนี้
“เสื้อผ้าวางอยู่บนเตียงแล้วนะ” เสียงอันสงบนิ่งของเฉินหลีซือดังขึ้นมา
จากนั้นประตูก็ปิดลง เขาลงไปข้างล่างแล้ว
ฉันจึงรีบวิ่งออกจากห้องน้ำไป หลังจากสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ลงไปข้างล่าง ฉันเห็นเฉินหลีซือยังนอนทำหน้าตาเจ็บปวดอยู่บนโซฟา
“เป็นอะไรเหรอ?”
“ยังปวดมากอยู่เลย” เขาพูดขึ้นมาเบา ๆ
มันเป็นไปได้ไงล่ะ เมื่อกี้ก็กินยาไปแล้วไม่ใช่เหรอ เขายังขึ้นไปชั้นบนได้อยู่เลย แล้วทำไมถึงกลับมาป่วยอีกแล้วล่ะ ฉันมองเฉินหลีซือด้วยความสงสัย
“จะกินยาอีกไหม?”
“จะให้ผมกินยาเกินขนาดเหรอ นี่คุณคิดจะฆ่าผมรึไง?”
“งั้นคุณก็นอนต่อไปแล้วกัน”
ฉันขึ้นไปชั้นบนเพื่อต้องการจะเก็บกระเป๋าเดินทาง แม้ว่าคืนนี้ไปไม่ได้ แต่เก็บของเอาไว้ก่อนก็คงดีหน่อย พรุ่งนี้จะได้ออกไปสะดวกกว่า
แต่เมื่อมองไปที่กระเป๋าเดินทางของฉันที่วางแผ่อยู่บนพื้น เสื้อผ้าข้างในกระเป๋าทุกชิ้นล้วนวางอยู่ที่บนโซฟาทั้งหมด ทำเอาฉันสตั้นไปเลย เมื่อกี้ตอนที่เขาหาชุดให้ฉัน ถึงขนาดต้องค้นกระเป๋าฉันจนเป็นแบบนี้เลยเหรอเนี่ย?
ทันใดนั้นก็มีเสียงครวญครางดังมาจากชั้นล่าง ฉันจึงต้องรีบลงไปข้างล่างอย่างช่วยไม่ได้ แล้วก็เห็นเฉินหลีซือนอนอยู่บนโซฟาพร้อมกับเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลอาบใบหน้า
“ให้เรียกรถพยาบาลไหม?”
“ไม่ต้อง ผมร้อนมาก เอาน้ำใส่น้ำแข็งให้ผมแก้วหนึ่งสิ”
“ปวดท้องดื่มน้ำเย็นไม่ได้นะ” ฉันรีบบิดผ้าเปียกมาวางบนหน้าของเฉินหลีซืออย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าฉันคงไม่สามารถออกไปคืนนี้ได้แล้วล่ะ ฉันนั่งลงข้าง ๆ เพื่ออยู่เป็นเพื่อนเฉินหลีซืออย่างรู้ชะตากรรม
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินหลีซือก็ผล็อยหลับไปบนโซฟา ฉันจึงห่มผ้าให้เขา ฉันเอนตัวพิงไปบนโซฟา แล้วก็หลับไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน