เธอคือลมหายใจของฉัน
ผู้เขียน:ณัฏฐินี แก้วมณีงาม
หมวดหมู่โรแมนติก
เธอคือลมหายใจของฉัน
ในอาคารเทียนเสวียนนั้น มีร้านเครื่องสำอางและสกินแคร์จำนวนมาก หย่าเสวียน เสี่ยวเคอ และ หว่านหยิง ทั้งสามคนจับมือกันเดินอยู่ด้านหน้า ในขณะที่ ห้วยหมิงและเจ๋อหนัน ทั้งสองเดินตามหลังพวกเธอพร้อมกับถือถุงช้อปปิ้งมากมาย พวกเขารู้สึกเหนื่อยมาก
เมื่อเห็นว่าสามสาวไม่มีวี่แววว่าจะหยุดพัก ห้วยหมิงจึงสะกิดไหล่พวกเธอแล้วถามว่า “ทีปกติเวลาวิ่งพวกเธอไม่เห็นจะมีเรี่ยวแรงอย่างนี้เลย ทำไมเวลาช้อปปิ้งกลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลยหล่ะ? ผมกับเจ๋อหนันเหนื่อยแล้วนะ เราพักกันสักหน่อยไม่ได้รึไง?”
หว่านหยิงหันไปหาห้วยหมิง “ห้วยหมิง นายนี่นะ ไม่มีแรงรึไง แค่นี้ก็ถือไม่ไหว พ่อแม่นายอุตส่าห์ให้ความสูงนี่มา!” หว่านหยิงพูดพลางหยิบถุงในมือห้วยเหมิงมาช่วยเขาถือใบหนึ่ง
“นั่น! นั่น!” หย่าเสวียนชี้ไปที่ร้านตรงหน้าพวกเขา “นั่นคือเป้าหมายสุดท้ายของเรา!”
“ขอบคุณพระเจ้า! ในที่สุดฉันก็รอดแล้ว ขอบคุณพวกเธอมาก ๆ ” ห้วยหมิงอุทานออกมาด้วยความโล่งอก
เสี่ยวเคอยิ้มพลางหยิบกระเป๋าสตางค์ใบใหม่ของเธอออกมา เพื่อเป็นการบอกว่าเธอมีเงิน “เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวพวกนายเอง”
ห้วยหมิงที่นึกอะไรขึ้นมาได้ก็รีบตอบรับในทันที “เยี่ยมไปเลย! เธอพูดแล้วนะ!”
หนึ่งในอาคารของไชนิ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล พลาซ่า อาคารยู่เหิง ประกอบไปด้วยภัตตาคารสุดหรูหลายแห่ง และบนชั้นห้านั้น ก็มีภัตตาคารแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก เห็นได้ชัดว่าห้วยเหมิงอยากจะไปที่ไหน
เสี่ยวเคอพูดขึ้นมาทันทีว่า “จะกินอะไรก็ได้ยกเว้น ชั้นห้า”
บนชั้นห้าของอาคารยู่เหิงนั้น จะเป็นห้องวีไอพีซึ่งมีค่าบริการขั้นต่ำระบุไว้ ไม่ว่าคุณอยากจะทานอะไร ก็จะมีพ่อครัวมืออาชีพคอยบริการคุณโดยเฉพาะ ถ้าโชคดี ก็อาจจะได้รับบริการจากพ่อครัวมิชลินระดับสามดาวเลยทีเดียว
ภัตตาคารที่พิเศษเช่นนี้ ผู้คนต่างก็ใฝ่ฝันถึงการรับประทานอาหารรสเลิศที่นั่น แต่มีเพียงไม่กี่คนในเมืองเยว่ที่จะสามารถจ่ายค่าอาหารสูง ๆ ที่นั่นไหว
ทันทีที่เสี่ยวเคอพูดจบ ห้วยหมิงก็ยักไหล่พร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตา และล้อเลียนประโยคที่เสี่ยวเคอพูดเมื่อครู่ “จะกินอะไรก็ได้ตามใจชอบ ยกเว้นชั้นห้า...”
ทุกคนต่างพากันขำกับท่าทางของห้วยหมิง หย่าเสวียนตบไหล่เขาก่อนจะชี้ไปที่โซฟาใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “ถึงแล้วหล่ะ ตรงนั้นมีที่นั่งพัก พวกนายไปนั่งพักกันก่อนไป เลือกลิปสติกต้องใช้เวลา”
จากนั้นสามสาวก็เริ่มเลือกเครื่องสำอางที่ตนเองชอบ พนักงานขายคนหนึ่งเห็นหย่าเสวียนถือเซ็ตลิปสติกอยู่ เธอจึงเดินเข้าไปหาเธอด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรและพูดว่า “สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง สินค้าชิ้นนั้นเป็นหนึ่งในสินค้าขายดี ตอนนี้เหลือชุดสุดท้ายแล้ว ถ้าชอบก็แนะนำให้รีบซื้อเลยนะคะ”
“จริงดิ!” หย่าเสวียนพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “เหลือแค่ชุดเดียวงั้นเหรอ? !”
พลิกดูราคา หย่าเสวียนถึงได้รู้ว่าเซ็ตลิปสติกที่เธอถืออยู่ในมือราคาเท่าไหร่ ราคาเก้าแสนสองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้า เมื่อเห็นราคาแล้ว เธอก็เริ่มลังเล
ห้วยหมิงที่กำลังนั่งพักผ่อนบนโซฟา เห็นหย่าเสวียนมองดูเซ็ตลิปสติกที่เธอถืออยู่ในมือ ก็พูดขึ้นมาเสียงดังว่า “เฮียเหนียน จะลังเลอะไรหล่ะ เธอนั่งรถที่มีราคาเป็นสิบล้านอยู่ทุกวัน นี่ก็แค่เซ็ตลิปติกราคาหลักแสนไม่ใช่รึไง อยากได้ก็ซื้อเลย”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ห้วยเหมิงพูด หย่าเสวียนก็ถอนหายใจก่อนจะตอบว่า “รถไม่ใช่ของฉัน ฉันก็แค่ยืมใช้เท่านั้นเอง” ใช่ ไม่ว่าจะเป็นรถราคาเป็นสิบล้านหรือรวมไปถึงทุกอย่างที่เธอมี ล้วนแต่เป็นของสามีเธอทั้งสิ้น เพราะงั้นเธอไม่มีอะไรจะอวด
ในขณะนั้นเอง ผู้คนต่างพากันมุงดูและมันก็ทำให้หย่าเสวียนรู้สึกแปลกใจ
เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? พวกเขาดูอะไรกัน? หย่าเสวียนเองก็มองไปทางที่คนอื่น ๆ มองและเมื่อเธอเห็นก็ถึงกับสะดุ้ง
มีคนเดินเข้ามาจากประตูหน้า สวมชุดสูทสีดำราคาแพงที่ได้รับการสั่งตัดพิเศษ ทำให้เห็นว่ารูปร่างของเขานั้นดีมาก รองเท้าหนังจระเข้สีน้ำตาลเข้มที่เขาสวมตัดกับพื้นหินอ่อนแวววาวอย่างชัดเจน
ดวงตาสีเข้มนั้นดูโหดร้ายและเย็นชา จนคนที่เห็นถึงกับต้องถอยหลังออกมา
‘โอ้ พระเจ้า…’ หย่าเสวียนถึงกับอ้าปากค้าง ‘มันก็คือเขานั่นเอง! หลิงเฉิน!’ ผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามาและดึงดูดความสนใจของทุกคนในเสี้ยววินาทีนี้ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลิงเฉิน สามีของเธอ และก็จะเป็นอดีตสามีในอีกสองสามวันนี้แหละ คนที่ยืนอยู่ข้างหลิงเฉินนั้นก็ดูเหมาะสมกับสถานะของเขาดี ผู้หญิงคนนี้ผิวขาวสวยและรูปร่างผอม
ไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่น ๆ ที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่งและอำนาจ แทบจะไม่ค่อยได้ยินเรื่องผู้หญิงของหลิงเฉินสักเท่าไหร่ เพราะงั้นจึงทำให้เกิดคำถามมากมาย โดยเฉพาะกับหย่าเสวียน ‘เขามาซื้อของกับผู้หญิง... ’ เธอคิดในใจ ‘หรือว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นแฟนของเขากันนะ?’
หลิงเฉินหันมามองหย่าเสวียนราวกับรู้สึกว่าเธอกำลังจ้องมองมาที่เขา หัวใจของเธอเต้นแรง เธอก้มหน้าลงและแสร้งทำเป็นเลือกเซ็ตลิปสติก
หย่าเสวียนได้แต่หลับตาแล้วภาวนาว่า ‘ได้โปรดอย่าเห็นฉันเลย ได้โปรดอย่าเห็นฉัน!’
จู่ ๆ เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่า ‘เดี๋ยวก่อนนะ เขาไม่รู้จักฉันนี่!’
หย่าเสวียนเงยหน้าขึ้นด้วยความมั่นใจและหันไปหาเสี่ยวเคอ “เสี่ยวเคอ เธอคิดว่ามันเหมาะกับฉันไหม?”
ทว่า สายตาของเสี่ยวเคอไม่ได้มองไปที่หย่าเสวียนเลยสักนิด เสี่ยวเคอดึงแขนเสื้อเธออย่างตื่นเต้น “หย่าเสวียน นี่ต้องเป็นพรหมลิขิตแน่ๆเลย! เจอหลิงเฉินอีกแล้ว!” เธอหันไปหาหย่าเสวียน พลางถามว่า “เธอคิดว่าเขายังจำเธอได้ไหม?”
หว่านหยิงเองก็ถามคำถามกับเธอเช่นกัน “หย่าเสวียน ผู้หญิงที่อยู่ข้างหลิงเฉินคือใครหน่ะ?”
‘ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน !’ หย่าเสวียนร้องไห้กับตัวเอง
“เฮียเหนียน” ห้วยหมิงก็เข้ามาร่วมแจมด้วยเช่นกัน “หลิงเฉินมาหาเธอรึป่าว?”
‘จะเป็นไปได้ยังไงกันหล่ะ !’ หย่าเสวียนโต้กลับอย่างเงียบ ๆ
เมื่อหย่าเสวียนเห็นเพื่อนของเธอสองคนที่กำลังจ้องหลิงเฉินอย่างไม่วางตา ก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ “นี่! เสี่ยวเคอ น้ำลายไหลแล้วหน่ะ!”
ไม่ทันที่เสี่ยวเคอจะพูดอะไร เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น “ฉันคิดว่าคุณไม่ควรจะซื้อมันหรอก มันไม่เหมาะกับคุณ และคุณก็ไม่มีปัญญาซื้อด้วย”
หย่าเสวียนหันมามองอย่างงง ๆ และก็พบว่าเจ้าของเสียงนั่นก็คือผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หลิงเฉินนั่นเอง ‘ฉันรู้จักเธอด้วยเหรอ?’ หย่าเสวียนคิดในใจ
‘ทำไมเธอถึงพูดกับฉันหล่ะ?’
ผู้หญิงที่กำลังคล้องแขนหลิงเฉินนั้นชื่อว่าหมี่เจีย ผมของเธอมีสีน้ำตาลเข้มดัดเป็นลอน ทาลิปสีแดงสดและทาเล็บสีน้ำตาล เมื่อแยกตัวจากหลิงเฉินแล้ว หมี่เจียก็แย่งเซ็ตลิปสติกที่อยู่ในมือของหย่าเสวียนไป ก่อนจะพูดว่า“ฉันเอาอันนี้ ห่อให้ฉันที”
หลังจากที่พูดจบ หมี่เจียก็หันไปหาหย่าเสวียนและมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
หมี่เจียยิ้มเยาะ
‘เธอก็เป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยที่แกล้งทำเป็นบริสุทธิ์และไร้เดียงสาเท่านั้นแหละ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหลิงเฉินต้องมองมาที่เธอด้วย? ใช่ แน่นอนว่าเธอสวย แต่เธอนั้นสวยสู้ฉันไม่ได้เลยสักนิด!’ หมี่เจียพูดกับตัวเองและยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อเห็นรอยยิ้มของหมี่เจีย หย่าเสวียนก็ถึงกับฟิวส์ขาดในทันที “ทำไมคุณถึงมองฉันแบบนี้หล่ะ? คุณรู้ได้ไงว่าฉันไม่มีปัญญาจ่าย?” หย่าเสวียนพูดออกมาอย่างโมโห สีหน้าของหมี่เจียถึงกับถอดสี “แน่นอนสิ คุณก็เป็นแค่นักศึกษาจน ๆ เท่านั้นแหละ ก่อนจะมาเดินที่นี่ทำไมไม่ดูตัวเองซะบ้างว่าเหมาะกับการมาเดินห้างหรู ๆ แบบนี้รึป่าว? มีอะไรอีกไหม?” หย่าเสวียนทำแบบเดียวกับที่หมี่เจียทำกับเธอ เธอมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าและกลอกตา “ฉันไม่เห็นว่าเธอจะสวยหรือหุ่นดีตรงไหนเลย”
เมื่อเห็นท่าทางโอ้อวดของเธอ หมี่เจียก็จ้องไปที่หย่าเสวียนด้วยความโกรธ “คนจน ๆ อย่างคุณไม่ควรแม้แต่จะมาเหยียบห้างนี้! รสนิยมของเธอมันช่างแย่ซะจริง! เธอควรจะโดนไล่ออกไปจากทีนี่เสียด้วยซ้ำ!”
“งั้นเหรอ? ฉันไม่ควรแม้แต่จะเข้ามาเหยียบที่นี่งั้นเหรอ?” หย่าเสวียนพูดซ้ำอย่างเยาะเย้ย “แล้วคุณเป็นใครถึงกล้ามาพูดแบบนี้หน่ะ?” หย่าเสวียนก้าวไปเผชิญหน้ากับหมี่เจียอย่างไม่เกรงกลัว พลางเอนตัวเข้าไปหาเธอและยิ้มอย่างเยาะเย้ย
“สวัสดีค่ะคุณป้า คุณต้องการความช่วยเหลืออะไรรึป่าวคะ? คุณอยู่ในวัยสี่สิบใช่ไหมคะ? ดูชุดสีเขียวตุ่นของคุณสิ! สาว ๆ รุ่นใหม่อย่างเราไม่ใส่สีแบบนี้แน่นอน!” คำพูดของหย่าเสวียน ไม่เพียงแต่ทำให้หมี่เจีย รู้สึกขุ่นเคืองเท่านั้น แต่ยังเป็นการว่าหลิงเฉินทางอ้อมด้วย ทำไมงั้นเหรอ? เป็นเพราะชุดที่ว่านี้ หลิงเฉินเป็นคนเลือกเองกับมือ ถึงแม้ว่าเมื่อครู่นี้เขาก็แค่ชี้ไปมั่ว ๆ เท่านั้น แต่เขาก็ชี้ไปที่ชุดแบบนี้และเป็นคนจ่ายเงินเองกับมือ เพราะงั้นก็เหมือนกับว่าหลิงเฉินว่ารสนิยมดูแก่นั้นแหละ
จะว่าไป หมี่เจียเองก็เพิ่งจะอายุยี่สิบเจ็ดปี และชุดนี้มันก็ไม่ได้แย่อะไร แถมยังดูสวยซะด้วยซ้ำ
มันคือชุดบอดี้คอน ซึ่งเหมาะกับผู้หญิงที่มีรูปร่างเหมือนนาฬิกาทราย
ทว่า หุ่นของหมี่เจียนั่นทื่อ ๆ ไม่มีส่วนเว้าโค้งใด ๆ และชุดบอดี้คอนนี้ ทำให้เห็นได้ชัดว่าหน้าอกของเธอแบนและไม่มีก้น เรียกได้ว่าราบไปทั้งหน้าทั้งหลัง พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าให้คนอื่นมาใส่น่าจะดูดีกว่าเธอพันเท่า
หมี่เจียไม่เคยโดนเยาะเย้ยเช่นนี้มาก่อน เนื่องจากคนในครอบครัวนั้นทำเหมือนเธอเป็นเจ้าหญิงและสุภาพกับเธอมาก เป็นธรรมดาที่หมี่เจียจะโกรธมาก
และเธอเองก็ทนไม่ได้กับคำดูถูกนี้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันไปหาหลิงเฉิน พลางมองเขาด้วยสายตาน่าสงสาร “หลิงเฉินคะ คุณได้ยินที่ผู้หญิงคนนั้นพูดไหม? เธอบอกว่าฉันแก่และก็บอกว่ารสนิยมของคุณแก่ด้วยนะคะ น่าโมโหจริง ๆ ”