เธอคือลมหายใจของฉัน
ผู้เขียน:ณัฏฐินี แก้วมณีงาม
หมวดหมู่โรแมนติก
เธอคือลมหายใจของฉัน
ผู้ช่วยจ้งปิดหูฟังบลูทูธของเขาและหันมาตอบเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณหมี่เจีย นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณหลิงเฉิน ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไร ถ้าคุณอยากทราบ ก็ลองถามคุณหลิงเฉินดูนะครับ”
ถามหลิงเฉินงั้นเหรอ? ใครจะไปกล้าถามเขาเรื่องแบบนี้กัน “อืม เข้าใจแล้วหล่ะ” หมี่เจียตอบกลับอย่างหน้าตาเฉย “ฉันจะจำไว้” เธอยิ้มพลางกัดฟันกรอดกับคำตอบและท่าทางของผู้ช่วยจ้ง ก่อนจะมองออกไปนอกกระจกอย่างเงียบ ๆ ต่อให้หลิงเฉินแต่งงานแล้วจริง ๆ เธอก็ไม่มีสิทธิ์จะไปก้าวก่ายเรื่องของเขา
วันถัดมา ผู้ช่วยจ้งเข้ามาที่บริษัท พร้อมนำข้อมูลของหย่าเสวียนมาสองหน้า หน้าแรกเป็นใบสมัครเข้าเรียน ส่วนอีกหน้าหนึ่งเป็นประวัติส่วนตัวของเธอ
ประวัติส่วนตัวนั้นก็เป็นข้อมูลทั่ว ๆ ไป เช่น อายุ สถานศึกษาและงานอดิเรก ผู้ช่วยจ้งวางมันไว้บนโต๊ะของหลิงเฉิน ก่อนจะถอยหลังออกมาสองสามก้าว เพื่อรอคำตอบจากเจ้านายของเขา
หลิงเฉินหยิบกระดาษขึ้นมาจากโต๊ะ ดูคร่าว ๆ แล้วก็โยนทิ้ง เขามองผู้ช่วยจ้งอย่างหงุดหงิด เสียงของเขาดังก้องไปทั่วออฟฟิศ “ผู้ช่วยจ้ง คุณหามาได้แค่นี้เองเหรอ? ช่วงนี้ฉันดีกับคุณมากเกินไปแล้าใช่ไหม?”
น้ำเสียงดุดันนั้นทำให้หัวใจของผู้ช่วยจ้งเต้นแรงมากยิ่งขึ้น เขาพยายามทำตัวนิ่ง ๆ พลางก้มลงเพื่อที่จะหยิบกระดาษสองแผ่นนั้นขึ้นมาและถือโอกาสสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเป็นการสงบสติอารมณ์ ก่อนจะตอบหลิงเฉินว่า “คุณหลิงเฉินครับ ผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างลึกลับครับ ข้อมูลที่หามาได้ก็มีเพียงเท่านี้ครับ” ผู้ช่วยจ้งโกหกหน้าตาเฉย ที่จริงแล้ว เขาฉีกกระดาษที่เหลือและโยนทิ้งไปหมดแล้ว
“ไสหัวไป! เดี๋ยวนี้!” หลิงเฉินสั่ง
“ครับ คุณหลิงเฉิน” ผู้ช่วยจ้งเหลือบมองกระดาษสองใบที่หลิงเฉินโยนไว้กับพื้น ก่อนจะรีบหนีออกมาจากออฟฟิศของเจ้านายของเขาทันที
เมื่อประตูห้องทำงานของเขาปิดลง หลิงเฉินมองดูภาพที่แนบมากับใบสมัครเข้าเรียน ภาพใบหน้าของหย่าเสวียนซึ่งไร้การแต่งแต้มใด ๆ นั้นดึงดูดความสนใจของเขาเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะดวงตากลมโตของเธอนั้น ราวกับสามารถพูดได้อย่างไรอย่างนั้น
แต่แล้ว ความทรงจำที่ไม่ดีนั้นก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งก็คือตอนที่หย่าเสวียนจูบเขานั่นเอง เขาขมวดคิ้วพลางหยิบเอกสารมาทับใบสมัครเข้าเรียนของหย่าเสวียนไว้ โดยที่ปิดรูปของเธอไว้อย่างมิดชิด
เหมือนกับเป็นการตบหน้าเธอ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น
ระหว่างที่เขากำลังนั่งพักอยู่นั้น เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่านามสกุลของเธอ เหนียน นามสกุลนี้ในเมืองเยว่มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เธอเป็นอะไรกับตระกูลเหยียนกันแน่?’
ขณะที่เขากำลังตกอยู่ในภวังค์นั้น เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา เขาถอนหายใจพลางรับสาย
ใบเมเปิ้ลบนถนนเฟิงเย่ในมหาวิทยาลัยของหย่าเสวียนได้เปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีแดงสด บ่งบอกว่าได้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่หย่าเสวียนนั้น ไม่มีกะจิตกะใจจะชมความงามนี้เลยแม้แต่นิด เธอเหยียบใบเมเปิ้ลที่ร่วงลงมาที่พื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก ขณะที่ห้วยหมิงและเสี่ยวเคอที่อยู่ข้าง ๆ เธอนั้นกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน
สองวันผ่านไป หย่าเสวียนก็ยังไม่กล้าที่จะไปคุยกับหลิงเฉินเรื่องหย่าตัวต่อตัวที่ออฟฟิศเขา ฝั่งหลิงเฉินเองก็เงียบมากเช่นกัน เมื่อวานตอนค่ำ ลุงโจว๋แจ้งเธอว่าหลิงเฉินยังไม่ได้จัดการเรื่องนี้ ซึ่งมันก็ทำให้เธอรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก
เฮ้อ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากข้อความที่เธอได้รับเมื่อหลายวันก่อน
“หย่าเสวียน ฉันจะกลับเมืองเย่แล้วนะ”
ใช่ เขากำลังจะกลับมาแล้ว เห็นว่าเขาได้สำเร็จการศึกษาในต่างประเทศและกำลังเดินทางกลับประเทศเพื่อมารับตำแหน่งแทนพ่อของเขา
แต่พอคิด ๆ ดูแล้ว มันเกี่ยวอะไรกับเธอตรงไหนกัน?
ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเขาบอกให้เธอตัดใจและลืมเขาซะ เธอก็คงไม่โกรธและรับปากกับพ่อของเธอว่าจะแต่งงานกับหลิงเฉิน คนที่เธอไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าหรอก
ตอนนี้ จู่ ๆ เขาก็มาบอกเธอว่ากำลังจะกลับมา มันทำให้หย่าเสวียนรู้สึกหงุดหงิด ว่าทำไมเขาถึงไม่บอกเธอก่อนตั้งแต่ทีแรก แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเธอ เพราะเธอไม่อยากจะรับรู้อะไรเกี่ยวกับเขาอีก มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย และเธอก็ไม่ชอบความรู้สึกนี้เอาซะเลย “โอ๊ย! น่ารำคาญชะมัดเลย!”
จู่ ๆ หย่าเสวียนก็ตะโกนออกมาเสียงดัง สร้างความสงสัยให้กับคนแถวนั้นไม่น้อย
“หย่าเสวียน ฉันทำอะไรเธอไปเหรอ? เธอถึงได้บอกว่าฉันน่ารำคาญหน่ะ” จากเสียงนุ่มนวลที่ถามตอนแรก ตอนนี้กลับกลายเป็นเสียงตะโกนที่แสบแก้วหู “โอ๊ย!” ตามมาด้วยผู้หญิงคนหนึ่งที่หกล้มต่อหน้าหย่าเสวียน
ทันทีที่หย่าเสวียนมองเห็นผู้หญิงตรงหน้าอย่างชัดเจน เธอถึงกับกลอกตามองบนอยู่หลายต่อหลายครั้ง
‘สงสัยวันนี้ตอนเธอออกมาจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ ๆ ถึงได้ซวยอะไรแบบนี้ ทำไมฉันต้องมาเจอกับยัยผู้หญิงตลบตะแลงนี่ด้วยนะ?’ หย่าเสวียนด่าในใจ 'ต้องการอะไรอีกหล่ะ?’
คนที่อยู่บนพื้นนั้นชื่อกวอกวอ ที่จริงแล้วเธอไม่ได้ชื่อกวอกวอแต่ชื่อว่ากว่อกว่อ แต่หย่าเสวียนชอบเรียกเธอว่า ‘กวอกวอ’ เพราะมันเหมาะกับเธอมากกว่า หย่าเสวียนมองกว่อกว่อที่ไม่รู้ว่าล้มลงไปที่พื้นได้ยังไงอย่างดูถูก กว่อกว่อในเดรสสีขาว ผมยาว ดูบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา และอ่อนโยน ตามแบบที่ผู้หญิงควรจะเป็น หึ ไม่มีใครแสร้งทำตัวเป็นคนไร้เดียงสาได้เก่งเท่ากว่อกว่อแล้วหล่ะ
“ไสหัวไป! ไปให้พ้นทางของฉัน!” หย่าเสวียนขู่ แค่เห็นกว่อกว่อ ก็ทำให้เธอรู้สึกว่าท้องไส้ปั่นป่วน หย่าเสวียนไม่มีอารมณ์จะมาไร้สาระกับเธอ ไม่อยากแม้กระทั่งหายใจร่วมกับเธอเสียด้วยซ้ำ ‘ว่าไงนะ?’ หย่าเสวียนคิดในใจ ‘เราไม่ได้ชนกันสักหน่อย! เธอเองก็รู้อยู่แก่ใจ’
กว่อกว่อเริ่มตาแดงขึ้นมา พวกผู้ชายที่อยู่รอบ ๆ นั้นต่างโดนท่าทางใสซื่อของกว่อกว่อหลอก และคิดว่าเธอกำลังโดนรังแก
พวกเขาจ้องหย่าเสวียนเป็นตาเดียว สายตาของพวกเขาโกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอคือหย่าเสวียน ซึ่งมีไม่กี่คนในคณะบริหารธุรกิจที่จะกล้าแตะต้องเธอ ดังนั้นพวกเขาก็เลยทำได้แค่มองอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
“หย่าเสวียน เธอชนฉันล้ม แม้แต่ขอโทษสักคำก็ไม่มี แถมยังบอกให้ฉันไสหัวไปอีก แบบนี้มันรังแกกันชัด ๆ เลยนี่” กว่อกว่อแกล้งทำเป็นบีบน้ำตา เมื่อเห็นสภาพที่น่าสงสารของเธอแบบนี้แล้ว พวกผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ ก็ไม่สามารถทนดูอยู่เฉย ๆ ได้ มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปและช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้น
กว่อกว่อยิ้มขอบคุณผู้ชายคนนั้น เขาหน้าแดงและรีบวิ่งออกไปทันที
“เธอมันบ้าไปแล้วรึไง? ไปเช็คสมองที่โรงพยาบาลสักหน่อยไหม?” หย่าเสวียนอยากจะเดินอ้อมออกไป แต่กว่อกว่อกลับเข้ามาขวางเธอไว้
เธอเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางน่าสงสาร ทว่า คำพูดที่เธอพูดกับหย่าเสวียนนั้นมันช่างอวดดีซะเหลือเกิน “ในเมื่อเธอเกลียดฉันมากขนาดนี้ ทำไมเราไม่ลองมาเดิมพันกันดูหล่ะ? ถ้าฉันแพ้ ฉันจะไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีก เธอคิดว่าไง?” เธอกัดริมฝีปากแน่นและพูดเสียงเบา
ด้วยท่าทางและเสียงของเธอ ใครไม่รู้ก็คงเข้าใจผิดคิดว่า เธอกำลังขอโทษหย่าเสวียนอยู่
“เธอเป็นบ้าไปแล้วรึไง?” หย่าเสวียนถาม “ฉันจะไปเดิมพันกับเธอแบบนั้นได้ยังไงกัน? เธออยากจะไปไหนก็เรื่องของเธอ ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของมหาวิทยาลัย อีกอย่าง ฉันก็ไม่ใส่ใจด้วย เธอจะบอกว่าเธอไม่กลับบ้านรึไง?” หย่าเสวียนหัวเราะออกมา “ฉันกลับบ้านอยู่แล้ว แต่ถ้าเธอไป ฉันก็จะหลบ”
“โอเคไหมหย่าเสวียน?”
“ไม่อะไรทั้งนั้นแหละ!” หย่าเสวียนตอบ “ฉันไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับเธอตอนนี้ ถอยไป ถ้าเกิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นเธอรับผิดชอบเองนะ”
กว่อกว่อเองก็ดูออกว่าหย่าเสวียนอารมณ์ไม่ค่อยดี เธอจึงไม่กล้าจะพูดอะไรมากนัก “ฉันรู้อยู่แล้วหล่ะว่าเธอเกลียดฉัน ที่จริงแล้วฉันเกลียดเธอมากกว่าอีก เธอเองก็รู้ดีนี่ ทำไมพวกเราไม่มาเดิมพันกันสักตั้งหล่ะ? วิ่งมาราธอนเป็นไง? เธอวิ่งเก่งไม่ใช่รึ ฉันจะทำให้เธอได้รู้ว่า สำหรับฉันเธอมันไม่มีความหมายอะไรแม้แต่นิดเดียว”
เธอจงใจพูดท้าทาย เธอรู้จักหย่าเสวียนดี และก็รู้ว่าถ้าใช้วิธีนี้กับเธอ จะต้องได้ผลแน่นอน
“ฮาล์ฟมาราธอนงั้นเหรอ?" หย่าเสวียนยิ้มเยาะ “ได้อยู่แล้ว” ‘ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องเจอกว่อกว่ออีกต่อไป... อีกอย่าง ฉันเองก็วิ่งเก่งอยู่แล้ว แถมยังเป็นวิธีที่ดีในการปลดปล่อยความอึดอัดภายในใจอีกด้วย’ เธอเลยตอบตกลงอย่างไม่ลังเล ด้วยเสียงดัง โดยไม่เปิดโอกาสให้ห้วยหมิงห้ามเธอ
แต่หย่าเสวียนนั้นไม่รู้ว่าการแข่งขันฮาล์ฟมาราธอนนี้ มีนักกีฬาที่เคยได้เหรียญเงินเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วยเช่นกัน ถ้าเธออยากจะวิ่งชนะนักกีฬามืออาชีพหล่ะก็ จะต้องฝึกอีกหลายปีเลยหล่ะ
หย่าเสวียนเหลือบมองกว่อกว่อที่ตอนนี้เลิกบีบน้ำตาแล้วพลางถามว่า “แล้วถ้าเธอชนะหล่ะ?”
กว่อกว่อกลั้นยิ้มพลางเดินเข้าไปหาหย่าเสวียน “ถ้าฉันชนะหน่ะเหรอ…”
กลับมาที่หอพัก หลังจากที่จ่ายเงินค่าสมัครเข้าร่วมการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนเสร็จแล้ว หย่าเสวียนก็ค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนั่งลงบนเตียงของเธอ ‘หึ ทำไมฉันถึงปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำและหลงกลกว่อกว่อได้นะ !’ เธอคิดพลางกัดฟันด้วยความแค้น
‘ฉันก็น่าจะรู้ดีนี่ ถ้านังนั่นโผล่มาทีไร ไม่เคยมีเรื่องดีอยู่แล้ว เธอจะต้องเตรียมตัวมาอย่างดีแล้วแน่ ๆ หึ’ หย่าเสวียนขยับตัวอย่างหงุดหงิด และมองไปที่เพดานด้วยความเชื่อมั่น ‘ได้ เธอจะเล่นแบบนี้ใช่ไหมกวอกวอ? คอยดูแล้วกันว่าฉันจะจัดการเธอยังไง’
ครั้งหน้าเธอจะต้องใจเย็นลงกว่านี้
เธอสมัครวิ่งฮาล์ฟมาราธอนเรียบร้อยแล้ว ถ้าหย่าเสวียนไม่สามารถชนะการแข่งขันได้ เธอจะต้องตามจีบผู้ชายคนหนึ่งในมหาวิทยาลัย ซึ่งก็คือคุณชายห้าวเทียน ลูกชายคนที่สองของ ลอฟตัส กรุ๊ป
ทุกคนในมหาวิทยาลัยต่างก็รู้ดี จากลักษณะท่าทางของเขา ว่าห้าวเทียนนั้นเป็นเกย์ แน่นอนว่า กว่อกว่อก็แค่อยากจะทำให้เธอขายหน้าเท่านั้นแหละ
หรือไม่ก็ยังมีอีกทางเลือกก็คือ ไปที่ห้องห้องทำงานของท่านอธิการ และล็อคประตูจากด้านนอกเพื่อไม่ให้เขาออกมา