เธอคือลมหายใจของฉัน
ผู้เขียน:ณัฏฐินี แก้วมณีงาม
หมวดหมู่โรแมนติก
เธอคือลมหายใจของฉัน
เวลาเก้าโมงเช้า หย่าเสวียนที่กำลังหลับสนิทในห้องเรียนมัลติมีเดีย เสียงนักเรียนจำนวนมากที่กำลังเอะอะโวยวายอยู่ที่หน้าประตูห้อง เธอตื่นขึ้นเพราะเสียงดังกล่าว
ขณะที่เธอกำลังนอนอยู่บนโต๊ะนั้น ตาของเธอก็ค่อย ๆ ลืมขึ้น และก็พบว่ามีคนจำนวนมากอออยู่ที่ประตูและหน้าต่าง พวกเขากำลังชี้มาที่เธออย่างดูถูกเหยียดหยาม เธอใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงแว่วมาจากไกล ๆ “นั่นมันหย่าเสวียนเซคยี่สิบสองไม่ใช่เหรอ? น่าอายจริง ๆ ”
“เธอทำให้มหาวิทยาลัยเราต้องขายขี้หน้า! เธอก็แค่ผู้หญิงที่นิสัยเหมือนผู้ชายเท่านั้นแหละ กล้าดียังไงมายั่วยวนหลิงเฉินแบบนั้น!”
“ใช่ ๆ ! หน้าด้านจริง ๆ เลย! ยังจะนอนหลับลงอีกนะ? !”
ปัง!
และการซุบซิบนินทาทั้งหมดก็หยุดลงเมื่อได้ยินเสียง พวกเขามองไปทางห้วยหมิงที่ทุบโต๊ะอย่างแรง และแยกตัวกันไปด้วยความกลัว
พอข่าวลือแพร่ออกไป ผู้คนต่างก็ไม่ค่อยชอบหย่าเสวียน แต่กลับไม่มีใครกล้าเล่นกับห้วยหมิงที่กำลังโกรธ ทุกคนรู้ว่าผู้ชายคนนี้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยและเป็นคนอารมณ์ร้อน ห้วยหมิงนั้นก็เป็นอีกคนที่ไม่มีใครกล้าหือ
จะมีก็แต่สองคนที่อยู่หน้าประตูนั่นแหละ พวกเขาเองก็มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยเหมือนกับห้วยหมิงเช่นกัน หนึ่งในนั้นก็คือ จือยี่ เขาพูดเป็นการท้าทายหย่าเสวียนว่า “ได้ยินว่าเธอชอบหลิงเฉินเหรอ? มันเป็นเรื่องจริงรึป่าว?”
หย่าเสวียนลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย ‘อะไรนะ? ฉันชอบใครนะ? หลิงเฉินงั้นเหรอ?’ เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังสับสน หน้าตาที่ดูงุนงงเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด เธอขมวดคิ้วขึ้นเมื่อเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วทำหน้าให้ดีที่สุด
“ใครบอกพวกนาย?” เธอถามพลางเหลือบมองพวกเขา ‘อย่าให้ฉันรู้นะว่าเป็นใคร’ เธอคิดอย่างขุ่นเคือง ‘ฉันจะสั่งสอนมันเอง!’ น่าแปลกที่คำถามของเธอทำให้พวกเขารู้สึกตลก “ตลกมากรึไง?” เธอถาม
“ฮ่าๆๆๆ! ไม่รู้รึไง?” คนอ้วนที่ชื่อเซี่ยงหยู่ถามพลางมองเพื่อนของเขา “ตอนนี้เธอดังแล้วนะ! คนทั้งโลกคงรู้แล้วว่าเธอสารภาพรักกับหลิงเฉินหน่ะ!”
“ใช่ ๆ !” จือยี่พยักหน้าพลางพูดเสียงดัง “ที่เธอตะโกนในป่านั่นหน่ะ คนทั้งโลกต่างก็ได้ยินที่เธอตะโกนว่า 'หลิงเฉิน ฉันรักคุณ!’ คนหัวเกรียนซึ่งก็คือจือยี่พูดล้อเลียนเธอ แถมยังจงใจพูดเสียงแหบ ๆ ให้เหมือนกับหย่าเสวียนอีก แต่มันกลับไม่เหมือนเสียงของเธอแม้แต่นิด
หย่าเสวียนอึ้งจนพูดไม่ออก เธอจำได้ว่าตอนที่เธออยู่ในป่านั้น รอบ ๆ ตัวเธอไม่มีใครอื่น ทำไมทุกคนถึงรู้เรื่องนี้ได้นะ? ‘ไม่ใช่สิ! เธอครุ่นคิด
ตอนนั้นจำได้ว่ามีผู็ชายคนหนึ่งอยู่หลังต้นไม้... ชี่หาง! ลู่ชี่หางอยู่ที่นั่นด้วย
เธอขมวดคิ้ว หรือว่าคนที่กระจายข่าวคือลู่ชี่หางอย่างนั้นเหรอ? ‘ต้องเป็นเขาแน่ ๆ ’ เธอคิดพลางเม้มปากแน่น ขณะที่ทั้งสองนั่นดูเหมือนจะสนุกกับการที่เห็นเธอโกรธ เธอก้มหัวลงเล็กน้อยพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
เมื่อรู้คำตอบแล้วก็ตะโกนใส่สองคนที่อยู่ตรงหน้าประตูทันที “หุบปากไปเลยนะ!” และเมื่อพวกเขาไม่หยุดหัวเราะ หย่าเสวียนก็ผลักโต๊ะของเธอด้วยความโกรธ ขาโต๊ะครูดไปกับพื้นตามแรงผลักจนเกิดเสียงขึ้นมา “หุบปากซะ! แล้วไปเข้าเรียนได้แล้ว!”
เมื่อสองคนนั้นโดนผู้หญิงตะโกนด่าแบบนี้ก็รู้สึกขายหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาถูกผู้หญิงด่าแบบนี้ พวกเขาเคยแต่ได้ยินว่า หย่าเสวียน เซคยี่สิบสองนั้น ไม่เคยโดนใครรังแกง่าย ๆ เมื่อมองย้อนกลับไป พวกเขาคิดว่าคงจะเป็นแค่เรื่องตลกเสียมากกว่า
จือยี่มองหน้าเซี่ยงหยู่ที่น้ำหนักหนึ่งร้อยห้ากิโลกรัม ส่วนสูงร้อยหกสิบแปดเซนติเมตร ก่อนจะเดินกอดคอกันแล้วเดินเข้ามาหาหย่าเสวียน เมื่อจือยี่เดินเข้ามาใกล้ เขาหยิบหนังสือของหย่าเสวียนขึ้นมาจากโต๊ะที่ถูกผลักไปก่อนหน้านี้ และโยนมันลงบนพื้นอย่างจงใจ พลางยกยิ้มขึ้น
เมื่อคนในเซคยี่สิบสองเห็นอย่างนี้แล้ว ต่างพากันลุกขึ้นและรีบออกไปจากห้องเรียนทันที สองคนนั้นคิดว่าเพราะกลัวพวกเขา
แต่มันกลับตรงกันข้าม เพราะพวกเขามองเห็นสีหน้าของหย่าเสวียนที่กำลังจะสั่งสอนสองคนนั่นมากกว่า ‘บ้าเอ้ย! พวกนายสองคนบ้ารึป่าว? กล้าดียังไงมาหาเรื่องเฮียเหนียน! พวกเรารีบหนีกันเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะต้องซวยไปด้วยแน่นอน
ภายในเวลาไม่ถึงนาที ทั้งห้องก็เหลือเพียงแค่สองคนนั่นกับหย่าเสวียน และ เพื่อน ๆ ของเธอ
หย่าเสวียนเอนหลังพิงโต๊ะของห้วยหมิงที่อยู่ด้านหลังพลางจ้องไปที่ทั้งสองคนนั่นด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองคนถึงกับเบิกตากว้าง เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของเธอ พวกเขาก็แทบจะลืมไปเลยว่าทำไมพวกเขาถึงอยู่ที่นั่น พวกเขาคิดว่าเธอสวยมาก และสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงไม่สังเกตเห็นให้เร็วกว่านี้
ขณะที่ทั้งสองกำลังมองหย่าเสวียนจนเกือบจะน้ำลายไหลนั้น เธอก็ลุกขึ้นยืนและก้มเก็บหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาและตบหน้าเขา
จือยี่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “นังนี่มันกล้าดียังไง... โอ๊ย!” เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บ พอหนังสือหล่นลงไปที่พื้น เขาก็เห็นว่ามีหมัดจ่ออยู่ที่หน้าของเขา และก็ทำให้คนอ้วนถึงกับตาโต
ห้วยหมิงที่นั่งอยู่บนโต๊ะก็ชักมือออก แล้วเป่านิ้วของเขา “พวกนายโง่รึป่าว? ไม่รู้รึไงว่าเฮียเหนียนเป็นใคร? ชอบความเร้าใจว่างั้น?” เขาพูดพลางพับแขนเสื้อขึ้น
ทันใดนั้นเอง กระติกน้ำร้อนก็พุ่งเข้าหาเซี่ยงหยู่อย่างจัง “โอ๊ย!” เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด พลางจับหัวของเขาไว้
“พวกแก! ได้เห็นดีกันแน่!” จือยี่ขู่และหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะโทรออกไปหาใครสักคน “เพื่อน ฉันกำลังถูกรังแกในห้องเรียนมัลติมีเดียบนชั้นสาม รีบ ๆ มาให้ไวเลยนะ!”
คนรวยพวกนี้ไม่สนใจกฎเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยเลยแม้แต่นิด สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือการขกต่อย ซึ่งหย่าเสวียนเองก็ไม่ได้สนใจ
‘ช่างเป็นอะไรที่น่าเบื่อซะจริง แถมรบกวนการนอนของฉันอีกด้วย’ เธอคิดอย่างเบื่อหน่าย เธอกลับไปนอนต่อที่โต๊ะพลางบิดขี้เกียจ “ถ้าพวกนั้นมาแล้วก็ปลุกฉันด้วยละกัน”
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขารู้สึกเดือดดาลมากขึ้นเรื่อย ๆ
ห้วยหมิงสะกิดไหล่เธอเบา ๆ แล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งนอนสิ เอาชนะสองคนนี้ก่อนค่อยนอน” พักนี้เขาอยู่กับหย่าเสวียนอยู่บ่อย ๆ ก็เลยไม่ค่อยมีโอกาสได้มีเรื่องกับใครสักเท่าไหร่ กำลังคันไม้คันมืออยู่พอดี แล้วสองคนนี้ก็มาหาเรื่องเอง
หย่าเสวียนถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืน เธอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง และเตะเก้าอี้ไปทางเท้าของจือยี่ที่อยู่ใกล้ ๆ
โอ๊ย ขณะที่เขากำลังร้องด้วยความเจ็บปวดนั้น แววตาของห้วยหมิงกลับรู้สึกสนุกขึ้นมา มันแทบไม่ต้องออกแรงอะไรมาก และดูเหมือนว่าพวกนั้นจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแล้วด้วยซ้ำ เขาก้มลงลูบขาทั้งสองข้างที่โดนเก้าอี้กระแทกด้วยความเจ็บ
เซี่ยงหยู่เดินเข้าไปหาเสี่ยวเคออย่างหาเรื่อง เพราะเธอขว้างกระติกน้ำร้อนโดนหัวเขา หว่านหยิงกับเจ๋อหนันที่เห็นดังนั้นก็รีบมายืนข้าง ๆ เสี่ยวเคอและมองไปที่เซี่ยงหยู่ทันที เขากล้ายังจะทำร้ายเสี่ยวเคอ เมื่อมันเปลี่ยนเป็นสามรุมหนึ่งงั้นเหรอ? “ไอ้หนู มานี่มา... เดี๋ยวพี่จะสอนอะไรให้!” หว่านหยิงพูดขณะที่เธอมัดผมของเธอด้วยยางรัดผม เธอกางแขนออกก่อนเรียกเขาเข้ามา
บรรยากาศในห้องเรียนเริ่มตึงเครียด ตอนนี้กลายเป็นสองต่อห้า แถมพวกเพื่อน ๆ ของพวกนั้นก็ยังมาไม่ถึง เลยได้แต่คอหดด้วยความกลัว
แม้ว่าจะมีห้าคน แต่เจ๋อหนันนั้นเป็นเด็กเรียนและไม่ชอบใช้กำลัง เขาจึงเดินไปที่ประตูของห้องเรียนเพื่อคอยส่งข่าว
ก่อนที่พวกของทั้งสองคนนั่นจะมาถึง ทั้งสองคนก็โดนซัดจนอ่วม จือยี่ลุกขึ้นจากพื้น จับหน้าบวม ๆ ของตัวเองพลางชี้ไปที่หย่าเสวียนแล้วตะโกนว่า “ซัดนังนี่ซะ! เธอ...”
ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค ก็มีเสียงของชายคนหนึ่งดังมาจากนอกห้องเรียน “ทำอะไรกันหน่ะ?” และเมื่อเสียง ๆ นี้ดังขึ้น ทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่เขา
มีคนจำนวนมากอออยู่ที่ประตูทางเข้า เจ๋อหนันที่มัวแต่สนใจอยู่กับการต่อสู้ภายในห้องเรียน จึงมองไม่เห็นชายคนดังกล่าวและไม่ได้บอกเพื่อนของเขา
ร่างผอมสูงยืนอยู่หน้าห้องเรียน ซึ่งก็คือลู่ชี่หาง ท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยของพวกเขานั่นเอง
เขาเป็นคนสุภาพ มีมารยาทและได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
แน่นอนว่าทุกอย่างจบลงที่ห้องของท่านอธิการบดี คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคน แม้แต่พวกที่สองคนนั่นเรียกมาก็โดนเรียกมาที่นี่ด้วยเช่นกัน
พวกเขาทั้งหมดประมาณสิบสองคนยืนเรียงแถวพลางก้มหน้าลงต่อหน้าลู่ชี่หาง
ใคร ๆ ก็รู็จักลู่ชี่หางดี เขาเป็นลูกชายคนโตของลอฟตัส กรุ๊ป พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะหาเรื่องหรือพูดอะไรกับเขา พวกเขาถูกเรียกตัวไปที่ห้องของเขา เพราะชี่หางอยากรู้ว่าทำไมถึงมีเรื่องกัน ไม่มีใครอยากเป็นคนเริ่ม ทุกคนต่างมองไปตามที่ต่าง ๆ เว้นแต่สบตากับชี่หาง
“เรื่องมันเกิดขึ้นได้ยังไง” ชี่หางถาม คนอายุสามสิบปีนั้นก็มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ๆ ที่อยู่ข้างหน้าเขามาก แม้แต่เสียงของเขาก็ยังมีเสน่ห์เลย
จือยี่ที่กำลังจะเอ่ยปากพูด ก็ถูกหย่าเสวียนจ้องเขม็งจนเงียบไป
เขาบ่น ‘ชกต่อยเก่งใช่ไหม?’ เขาคิดพลางขมวดคิ้ว ‘วันหลังจะหานักเทควันโดเก่ง ๆ มาจัดการเธอ! ดูสิว่าเธอจะสู้ได้ไหม’
ชี่หางเห็นว่าพวกเขาทั้งคู่กำลังจ้องตากัน สายตาของเขาจดจ้องไปที่เธออยู่พักหนึ่ง
‘หย่าเสวียน? เธอมีนิสัยเหมือนใครกันนะ? หรือบางทีที่เธอเป็นแบบนี้ก็เพราะไม่มีแม่มาตั้งแต่เด็ก ๆ รึป่าวนะ’ ชี่หางคิดพลางถอนหายใจ
เขาดันแว่นขึ้น และถามชื่อทุกคนที่อยู่ข้างหน้าเขา แล้วพิมพ์ลงในคอมพิวเตอร์ ก่อนจะส่งอีเมลถึงคณบดี
พวกเขารู้สึกสงสัยว่าทำไมชี่หางถึงไม่ถามชื่อของหย่าเสวียน รวมทั้งตัวหย่าเสวียนเองด้วย เธอมองเขาด้วยความสงสัย หรือว่าเขาจะรู้จักเธอกันนะ?