ผีผายามังกร
บทที่ ๒ ไร้ยางอาย
“งิ้วใกล้จะแสดงแล้ว!”
เสียงป่าวประกาศที่ดังกังวานได้ยินโดยทั่วกันเรียกความสนใจจากผู้ฟังได้เป็นอย่างดี เหล่าประชาต่างแห่แหนมารวมกันที่จัตุรัสกลางเมือง บ้างยืน บ้างนั่ง บ้างก็ปีนขึ้นที่สูงเพื่อจะได้ชมงิ้วอันเลื่องชื่อ
เมื่อตัวแสดงเอกสวมชุดนางฟ้าเทพธิดาคลุมผ้าแพรพาดไหล่ออกมาเสียงปรบมือก็ดังขึ้นโดยพร้อมเพรียงสลับเสียงกู่ร้องตะโกนเยี่ยงชาวตลาด
เสียงอ่านบทบรรยายดังออกมาราวกับเสียงประกาศจากขันทีเฒ่าหม่ากงกงที่นำราชโองการจากโอรสสวรรค์มาป่าวประกาศ
‘ไป่เฟยถูกสาป โทษฐานกระทำผิดต่อกฎมณเฑียรบาลของสวรรค์
ถูกลงทัณฑ์ให้ลงมาเกิดเป็นหญิงอัปลักษณ์นามฉานฉู
ซ้ำยังคบชู้สู่ชายถึงสองคน
สามีคนแรกคือบุรุษสวมหน้ากากผู้ลึกลับ สามีคนที่สองกลับเป็นถึงโอรสสวรรค์
ทว่านางมีลูกอยู่หนึ่งคน ช่างน่าสงสัยว่าเด็กคนนั้นเป็นบุตรของชายคนใดกันแน่’
ขณะที่บทบรรยายกำลังกล่าวขานถึงเรื่องราวของหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้ พลันเกิดกระแสลมพัดผ่านให้ผ้าแพรของนางฟ้านางแสดงผู้นั้นลอยไปตามลม ก่อนที่ท้องฟ้าในยามนี้จะหวนกลับไปในยามที่สวรรค์ได้บันดาลทุกอย่างขึ้น...
แผ่นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น มีได้หลายสาเหตุ ส่วนใหญ่แล้วหากมิใช่การที่มีผู้สำเร็จการเป็นเซียนได้ขึ้นสวรรค์ก็ย่อมเป็นเทวดานางฟ้านางสวรรค์ตนใดถูกขับไล่ลงมา
นับสิบปีหรือรอบหลายร้อยปีจะปรากฏหนึ่งหน หรือตราบเท่าที่ยังมีเซียนทำผิดกฎสวรรค์จึงถูกขับไล่ไสส่ง
ทว่าไม่นานมานี้ มันเกิดขึ้นที่เมืองอู่ถง
ในป่าลึก ยามที่มีฝนฟ้าคะนองเช่นนี้สัตว์ป่าน้อยใหญ่ต่างหาที่พึ่งพิงหลบห่าฝน ทว่ากลับมีหญิงชราผู้หนึ่งแอบอยู่หลังต้นไม้กลางป่าเขาลึกที่ในยามนี้มิมีผู้ใดสัญจรผ่าน นางกำลังเฝ้าดูและอยู่ในเหตุการณ์ของ ‘การพิพากษา’
ตุบ!
ร่างของสตรีนางหนึ่งร่วงลงมาจากฟากฟ้า ตกลงมายังโคลนตมที่เปียกนองจากน้ำฝน
นางกอดบางสิ่งเอาไว้ในอ้อมอก เครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง มันคือผีผา
ร่างระหงถูกกระชากผ้าแพรคลุมไหล่ออก พร้อมกับถูกช่วงชิงผีผาในอ้อมอกไป หากว่าการช่วงชิงคือการที่ผ้าแพรและผีผาลอยมาอยู่บนฝ่ามือของบุรุษผู้หนึ่งแทนอย่างง่ายดาย
บุรุษผู้นั้นมีร่างสูงตระหง่านลอยอยู่เหนือพื้น ร่างกายเปล่งรัศมีเจิดจรัสจนมิอาจมองเห็นใบหน้าได้ แสงสีทองเรืองรองจนมิอาจจ้องมองได้โดยตรง
เทพเซียนผู้นั้นเอ่ยวาจาออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ทว่าไม่ดังมาก แต่กึกก้องในหูของนาง แม้ท่ามกลางลมพายุฝนพัดกระหน่ำก็ไม่อาจกลบเสียงพิพากษานั้นได้
“ความผิดของเจ้าคือช่วยเหลือเทพเซียนผู้หนึ่งให้กระทำผิดมหันต์ เช่นนั้นก็จงลงมาช่วยเหลือมนุษย์ทุกผู้ทุกเหล่าเสียเถิด จงอยู่ด้วยรูปกายอัปลักษณ์ ใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญ จนกว่าจะสำนึกความผิดบาปที่เจ้าได้ก่อ”
ทันทีที่เสียงกังวานสิ้นสุด ราวกับว่าฝนที่ตกลงมานั้นคือฝนพิษ หยาดน้ำฟ้าได้ชะล้างผิวนางจากที่เคยเต่งตึงผ่องใสกลับเหี่ยวย่นและหม่นหมอง แผลผุพองเป็นตุ่มไตตะปุ่มตะป่ำเยี่ยงคางคกที่อยู่ตรงหน้าของนาง
หญิงอัปลักษณ์แหงนหน้าขึ้นจ้องไปยังเทพเซียนผู้นั้นโดยพลัน
“ตลอดห้าร้อยปีที่ข้าคอยเป็นข้ารับใช้เหล่าเทพยดาทั้งหลาย ท่านเทพเซียนได้โปรดประทานพรให้ข้าด้วย ขอความเป็นธรรมแก่ เฟยเอ๋อร์ ผู้นี้ด้วย!”
ครั้นเมื่อพิจารณาแล้ว นางมีความดีความชอบหลายส่วน
แม้ไป่เฟยจะเป็นเพียงหนึ่งในเทพธิดาผู้บรรเลงเพลง แต่นางก็มีความรับผิดชอบในหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เช่นนั้นเทพเซียนผู้นี้จึงพยักหน้า
นางจึงกล่าวขานถ้อยคำร้องขอ
“ให้ข้าร่ำรวยจากการช่วยเหลือคน—อร๊อก!”
เสียงร้อง ‘อร๊อก’ ของสิ่งมีชีวิตตัวกระจ้อยตนหนึ่งออกมาหากินในยามวัสสานฤดูชุ่มฉ่ำต่อท้าย ดังมาจากคางคกตัวนั้น ทำให้เทพเซียนผู้นี้เกิดความคิดบางอย่างด้วยความคิดที่อยากจะกลั่นแกล้งนางให้ได้รู้สำนึก
ปลายนิ้วจึงจรดลงบนกลางหน้าผากของนางพร้อมตวัดนิ้วเป็นตัวอักษรทั้งสี่ตัวพลางเอ่ย
“สำ รอก เงิน ทอง”
จากนั้นมันได้เรืองแสงราวกับพรล้ำค่าก่อนจะซึมลงไปในหน้าผากของนาง
ครั้นเมื่อร่างส่องสว่างราวกับโคมไฟเคลื่อนคล้อยลอยกลับสวรรค์ผกผันกับห่าฝนที่ตกลงมา
หญิงสาวผู้นั้นก็ลุกขึ้นพลันหัวเราะออกมาดังลั่นเยี่ยงคนวิปลาส แหงนหน้ามองฟ้า นิ้วมือชี้ขึ้นอย่างท้าทาย
“ย่อมได้! ข้าขอท้าว่าข้าจะร่ำรวยเงินทองและเสวยสุขบนโลกมนุษย์ มีความสุขเสียสิ่งกว่าการถูกเทพเซียนทั้งหลายอย่างเจ้าจิกหัวใช้แน่นอน!”
เสียงฟ้าร้องนั้นราวกับตอบรับคำท้าก่อนที่นางจะแผดเสียงขึ้นมาอีกครั้ง
“สวรรค์เฮงซวย!”
...ผีผานั้นก็เกิดจากอิทธิฤทธิ์ของข้า ยังหน้าด้านแย่งไป!
ใจแคบใจดำ ดูแคลนความรักต่างเผ่าพันธุ์ถึงขนาดลงโทษข้าผู้เป็นแม่สื่อเยี่ยงนี้
บัดซบ!
ครืนนน!!
เสียงฟ้าร้องดังลั่นสนั่นไปทั่วปฐพี ตามมาด้วยอสนีบาตฟาดลงมากลางกบาลของนางราวกับสั่งสอน ‘นางฟ้าตกสวรรค์’ ผู้นี้ให้รู้จักสำนึก
ร่างของนางหงายหลังล้มตึงลงบนโคลนตม ก่อนจะสิ้นสตินางแค่นหัวเราะแล้วถ่มน้ำลายรดฟ้า
เป็นดังสำนวน... น้ำลายนั้นตกใส่หน้าของนางเอง
เสียงหัวเราะของหญิงอัปลักษณ์ค่อยๆ แผ่วลง คล้ายดั่งความเหนื่อยล้าเฉกเช่นมนุษย์ได้ถาโถมเข้าใส่ร่างกายทิพย์ที่มิเคยต้องเหน็ดเหนื่อยมาหลายร้อยปี
ไม่นานนักหญิงชราผู้เป็นหมอตำแยผู้หนึ่งก้าวออกมาจากที่ซ่อน
เทพเซียนผู้นั้นสังเกตเห็นนางนานแล้ว แต่แสร้งไม่สนใจราวกับจงใจให้นางคอยอยู่ช่วยแม่หนูผู้นี้
ไม้เท้าของนางหมอตำแยย่ำลงโคลน เข้าใกล้ร่างสลบไสลของนางแล้วใช้ไม้เท้าเขี่ยเจ้าของร่างที่มีผิวกายน่ารังเกียจเยี่ยงคางคกนั่น
มองดูทรวงอกของนางที่ยังขยับขึ้นลงเป็นอันเข้าใจได้ว่านางยังมีชีวิตอยู่เพื่อรับโทษทัณฑ์
จากเคยรังเกียจเดียดฉันท์ ยามนี้ชาวเมืองอู่ถงแห่งแคว้นต้าเหลียงกลับชื่นชอบ ‘หญิงอัปลักษณ์’ ผู้นี้เป็นที่สุด นางไปบ้านหลังใดย่อมมีเหตุให้โรคภัยไข้เจ็บหายไปและตามมาด้วยเงินทองไหลมาเทมา ราวกับว่านางคือเทพเซียมซู
เช่นนั้นแล้วแทนที่นางจะได้รับเงินสักตำลึงนางกลับได้เป็นเจ่งอั๊บ ติดไม้ติดมือมาแทน เป็นเพราะทุกครั้งที่นางได้ช่วยเหลือมนุษย์สักผู้สักคน นางก็จะอาเจียนสำรอกเอาเงินเอาทองออกจากปากมาจำนวนหนึ่งก่อนจะสลบไปเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ระหว่างนั้นเงินทองที่ออกจากปากนางย่อมถูกกอบโกยไปหมดสิ้น จนไม่เหลือตกให้นางแม้แต่ตำลึงเดียว
เหอะ ๆ ... บิดาพวกเจ้าสิ!
แทนที่จะให้เงินที่สำรอกออกจากปากข้า กลับเอากล่องขนมไหว้เจ้านั้นมาแลกกับเงินที่ออกจากปากของข้าแทน จริงอยู่ที่ค่าหยูกยานั้นข้าไม่ได้เสียสักตำลึง หาเก็บมาจากป่าจากเขา แต่อย่างน้อยข้าก็เหนื่อยแรงเก็บและบด ตากและตำสมุนไพรเหล่านั้นเองกับมือ
ด้วยเหตุฉะนี้ พวกเจ้าจงจ่ายค่ายาของข้ามาซะดี ๆ !!
สุดท้ายแล้วนางก็ทำได้เพียงถอนหายใจพลางเดินกลับไปยังป่าท้ายหมู่บ้านที่นางจากมา
บ้านไม้เรือนนั้นเป็นบ้านหลังเก่าของยายเฒ่าที่ช่วยสั่งสอนนางถึงอาชีพที่สามารถเลี้ยงปากท้องตนเองได้อย่างอาชีพหมอตำแย
นามเดิมของนางคือ ‘ไป่เฟย’ ก่อนจะถูกเปลี่ยนมาเป็นนามที่เรียกขานล้อกับชื่อของเทพคางคกคาบทองนั้นอย่าง ‘ฉานฉู’
นางได้ขึ้นสวรรค์เป็นเซียนตอนอายุสิบหกปี คงความเยาว์วัยเนิ่นนานจนกระทั่งเกิดเรื่องวิบัติเยี่ยงนี้ขึ้น เช่นนั้นเมื่อตกสวรรค์นางจึงกลับมาอายุสิบหกอีกครา
ฉานฉูแกว่งห่อผ้าที่หุ้มเจ่งอั๊บไปตามทาง ท่วงท่าเยี่ยงหญิงสาวแก่นแก้ว นางก้าวขาเดินไปในป่าทึบ รอบกายเต็มไปด้วยแมกไม้และสมุนไพรนานาชนิด ยอดไม้สูงบดบังแสงสีแดงยามเย็นของพระอาทิตย์ที่กำลังคล้อยหลับลับฟ้า
นางกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องแผนการกอบโกยเงินในอนาคต ทำเยี่ยงไรนางถึงจะเป็นเศรษฐีนีแห่งเมืองอู่ถง คงไม่พ้นต้องไปแต่งเป็นอนุให้ชายแก่วัยใกล้ลงโลงเป็นแน่ แต่สารรูปของนางในยามนี้งั้นรึ ใครจะเอา นางอาจจะตายก่อนวัยอันควรด้วยซ้ำ ยามนั้นเทพเซียนเหล่านั้นย่อมหัวเราะเยาะนางจนสำลักผลท้อแห่งความเยาว์วัยจนติดคอตาย
พูดถึงความตาย ความตายก็มาเยือน!
คบดาบพาดขวางที่คอของนางเตรียมจะตัดมันขาดอยู่รอมร่อ ฉานฉูกลั้นหายใจโดยพลัน ผู้เป็นเจ้าของดาบเล่มนั้นเข้าประชิดกายหญิงสาวพลางหอบหายใจใกล้กับใบหูของนาง
เสียงหอบหายใจนั้นไม่ต่างจากหมีป่าที่กำลังเหน็ดเหนื่อย แม้ไม่ต้องหันไปมองนางก็รับรู้ได้ว่านางสูงเพียงอกของบุรุษผู้นี้ด้วยซ้ำไป แผงอกกว้างขยับขึ้นลง ชีพจรของเขากำลังอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ
นางค่อย ๆ ผ่อนลมและสูดหายใจเข้าไปใหม่อีกครั้ง พยายามไม่ให้คอเข้าไปใกล้คมดาบนั้น กลิ่นเหงื่อและกลิ่นเลือดคลุ้งกันไปหมดจนแยกไม่ออก
ทว่านางผู้มีประสาทสัมผัสดียิ่งกว่ามนุษย์ทั่วไป ยิ่งทำให้มึนเมากลิ่นปะปนนั้นคล้ายพะอืดพะอม จนใคร่อยากจะอาเจียน
เสียงทุ้มนั้นเอ่ยขึ้นมาอย่างยากลำบาก
“...อย่า...ขยับ...ช่วยข้า...”
สิ้นคำพูดเขาก็ถาโถมน้ำหนักตัวราวกับหมีป่าใส่นาง ฉานฉูตั้งรับไม่ทันเกือบจะล้มลงให้ชายผู้นี้นอนทับ ทว่านางกัดฟันฮึดแล้วคว้าแขนของเขามาพาดคอของนางไว้อย่างไม่รู้ตัว
บัดซบ! …นี่ไงเล่าช่วยเหลือมนุษย์ทุกผู้ทุกเหล่าเสียเทิด นี่ไงเล่า!
ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวซวยนี้เป็นพวกคนชั่ว! สภาพปางตายเสื้อผ้าขาดวิ่น! บาดแผลจากการฆ่าฟัน! เลือดอาบจนแทบหมดตัวเยี่ยงนี้!
นางทำได้แค่กัดฟันกรอด หมดคำจะด่าทอต่อสวรรค์และโชคชะตา