icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon

ผีผายามังกร

บทที่ 6 ไร้ยางอาย (4)

จำนวนคำ:3623    |    อัปเดตเมื่อ:12/01/2022

เมื่อรถม้าขับเคลื่อนมาจนกระทั่งถึงวังหลวง ขงเฉว่หลับอยู่ในอ้อมอกของผู้เป็นบิดา เด็กน้อยถูกฝากฝังไว้ชั่วครู่ยามที่นางจะต้องไปเข้าเฝ้าโอรสสวรรค์ผู้นั้น

“ท่านองครักษ์เหวิน” ขันทีน้อยโค้งทำความเคารพองครักษ์ประจำพระองค์อย่างนอบน้อม ลอบมองเด็กน้อยที่สวมผ้าปิดปากในอ้อมกอดของชายหนุ่มก็เหลือบมองไปทางสตรีร่างบางข้างกาย

นี่น่ะหรือเจ้าแม่ฉานฉู...

ขันทีน้อยที่มารับตัวหมอผู้นี้แทบจะเป็นลมเมื่อได้เห็นความอัปลักษณ์ของนาง เขาถูกตอนมาเพื่อเป็นผู้เฝ้าสวนบุปผางามหลายร้อยนางของฮ่องเต้แต่ไม่เคยเห็นบุปผาเหี่ยวแห้งและใกล้เฉาตายเช่นนางมาก่อน

หากนางไม่ได้ตายเพราะไม่สามารถรักษาพระองค์ได้ ก็คงตายเพราะนางอัปลักษณ์เกินไปเป็นแน่!

“ชะ... เชิญท่านหมอตามข้าน้อยมาขอรับ”

ครั้นหันหลังให้ก็เหลือบมองไปที่เด็กน้อยคนนั้นอีกครั้ง

ฮึ... ได้ข่าวว่านางเป็นแม่หม้ายลูกติด เด็กผู้นั่นที่ท่านองค์รักเหวินอุ้มอยู่ก็คงเป็นลูกของนาง ปิดหน้าเห็นแค่ตาที่หลับพริ้มแบบนั้นย่อมอัปลักษณ์เหมือนนางเป็นแน่

ฉานฉูหันมาทำความเคารพองครักษ์หนุ่มด้วยท่าทีสำรวม

“ลำบากองค์รักเหวินแล้ว”

นางเอ่ยออกมาพลางยื่นหน้าเข้าไปจูบบนหน้าผากของบุตรชายก่อนจะหมุนตัวเดินตามหลังขันทีน้อยผู้นั้นแล้วจากไป

องครักษ์เหวินก้มมองบุตรชายของตนก่อนจะเข้าใจในเจตนาของฉานฉูในทันทีทันใด นางไม่อยากให้ใครรู้ว่าขงเฉว่คือลูกของเขา อาจเป็นเพราะกลัวเขาถูกกล่าวหาว่าบกพร่องในหน้าที่ เพราะตามสัตย์ปฏิญาณที่ได้ให้ไว้กับองค์จักรพรรดินั้นว่า ตนมิอาจแต่งงานและมีลูกให้เป็นบ่วงภาระหน้าที่ที่สำคัญกว่าการอารักขาฮ่องเต้ได้

ข้าต่างหากที่ต้องพูดคำนั้นฉานฉู ลำบากเจ้าแล้ว... เรื่องที่ข้าทิ้งให้เจ้าดูแลเรื่องเพียงลำพัง

ข้า... ทำผิดต่อเจ้าแล้ว

นานหลายชั่วยาม กว่าที่โอรสสวรรค์จะเรียกตัวนางเข้าพบ นางจึงต้องนั่งเฝ้าอยู่ข้างนอกพระตำหนักทองคำอันเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ นางรับฟังเสียงซุบซิบนินทาของเหล่านางกำนัลน้อยเรื่องรูปร่างหน้าตาของนางจนสามารถจับถ้อยคำเล่านั้นมาแต่งกลอนได้เลยเชียว ความอัปลักษณ์ของนางนี้ช่างทำให้นางมีชื่อเสียงเช่นนี้ ...ช่างดีเหลือเกิน

ฉานฉูนึกถึงยามเมื่อตนเป็นนางฟ้าบนสวรรค์คอยบรรเลงผีผาในคณะขับกล่อมของบรรดาเจ็ดนางฟ้า นางมีหน้าที่ในการเล่นผีผา แม้ความสามารถขับกล่อมจะไม่เป็นสองรองใคร รวมถึงความงดงามของนางก็เช่นกัน หากว่ามวลบุปผางามอยู่รวมกันเป็นช่อจะมีดอกไหนเล่าที่โดดเด่น

ฉานฉูคิดอย่างขบขันว่าหากนางได้กลับขึ้นสวรรค์และได้รับหน้าที่บรรเลงผีผาต่อ นางจะเด่นเกินหน้านางฟ้าองค์อื่น ๆ เพราะนางคงจะขอให้คงรูปลักษณ์อัปลักษณ์ของนางไว้เช่นนี้ไม่เปลี่ยนไปกลับดังเดิม เพียงเพราะนึกถึงสีหน้าของเทพเซียนขี้เมาเหล่านั้นได้เห็นความอัปลักษณ์ของนางก็หมดอารมณ์สังสรรค์แล้วนางก็พลันหัวเราะในใจ

จวบจนเวลาล่วงเลยไปเป็นยามอิ่วกับอีกสามเค่อ จึงมีรับสั่งให้ขันทีเฒ่าผู้นั้นออกมาเรียกตัวนางเพื่อเข้าไปเข้าเฝ้าพระองค์ได้

ในห้องบรรทมกว้างขวางมีม่านบาง ๆ กั้นระหว่างเหล่าขุนนางข้าราชบริพารกับบุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนมองออกไปทางหน้าต่างของห้อง แลเห็นกิ่งของต้นเหมยจากสวนหลังพระตำหนักนั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

ภายในห้องกว้างยังมีชายหลากหลายอายุอีกนับสิบสวมชุดข้าราชการสีฟ้าปักลายดอกบัวกลางอกเสื้อบ่งบอกตำแหน่ง ดูล้วนแล้วย่อมเป็นเหล่าหมอหลวงจากสำนักแพทย์ ครั้นเมื่อพวกเขามองเห็นนางก็พลันแสดงสีหน้ารังเกียจปนตื่นตะลึงส่งเสียงฮือฮาแผ่ว ๆ พยายามไม่ให้ไปแสลงหูของพระหมื่นปี

ทว่าพระองค์กลับได้ยินเสียงฮือฮาอันแผ่วเบาเหล่านั้นจึงได้หันกลับมามอง เห็นสตรีสวมชุดเก่า ๆ สีซีด มวยผมขึ้นและปักปิ่นไม้เอาไว้ใบหน้าของนางเลือนรางเมื่ออยู่อีกฝากของม่าน

มือแหวกม่านที่ทำให้ทิวทัศน์สลัวนั้นเพื่อจะได้ยลโฉมที่กล่าวว่าอัปลักษณ์นักอัปลักษณ์หนาของนาง

นางยอบกายทำความเคารพได้อย่างสง่างามต่างจากสาวชาวบ้านไร้มารยาททั่วไป ก่อนที่จะสบสายตาเข้ากับดวงตามังกรคู่นั้นอย่างพอดิบพอดี

พระขนงโค้งเรียวขมวดพลัน ผู้ที่ได้มีชื่อว่ามีใบหน้าครบเครื่ององคาพยพทั้งห้างดงามเหนือบุรุษใดถึงกลับแสดงสีหน้าที่ทำให้ความงามนั้นลดลงไปได้หลายสิบส่วน พระองค์รีบปิดม่านพลันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“อัปลักษณ์ยิ่ง”

“ขอบพระทัยเพคะ” นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มน่าฟัง

ผู้เป็นดั่งอดีตเซียนขบคิดว่าทำอย่างไรตนจึงจะรอดพ้นจากเงื้อมือของเจ้าแผ่นดินต้าเหลียงได้ หากตนมิอาจรักษาอาการป่วยให้หายขาด ชะตากรรมของตนจักเป็นเช่นไร

ในระหว่างที่นางกำลังครุ่นคิดสุรเสียงนุ่มทุ้มนั้นก็พลันเอ่ยขึ้นมา

“ชาวเมืองอู่ถงกราบไหว้เจ้าเป็นดั่งเทพเซียนองค์หนึ่งเชียวหรือ”

นางพยักหน้ารับด้วยใบหน้าสงบเสงี่ยม ทว่าเกิดเสียงซุบซิบกันในหมอแพทย์หลวงว่านางนั้นช่างใจกล้าหน้าด้านแอบอ้างตนเป็นเซียนหลอกให้ชาวบ้านกราบไหว้บูชา

ฉานฉูคร้านจะต่อกรกับเหล่าข้าราชบริพารจอมนินทาทั้งหลาย นางทำเพียงประสานมือก่อนจะกล่าวแถลงไข

“กราบทูลฮ่องเต้ หม่อมฉันไม่สามารถขัดศรัทธาอันบริสุทธิ์ของชาวเมืองอู่ถงได้ จึงมิอาจห้ามเรื่องนิทานหลอกเด็กที่พวกเขาแต่งขึ้นให้หม่อมฉันเพคะ”

หลังม่านบางพลิ้วไสว มือเรียวงามเอื้อมจับที่รูปสลักของนางก่อนจะแค่นหัวเราะพลางหัวเราะในลำคอ

“เช่นนั้น... หากเจ้ารักษาเราไม่ได้ เจ้าย่อมมีโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงเชียวนะเจ้าแม่ฉานฉู”

เสียงคล้ายดังมีเสียงดีดผีผาในหัว นางถลึงตาพลันรับรู้ดีว่าโทษนั้นอาจจะทำให้หัวหลุดจากบ่าของนางได้โดยง่าย ฮ่องเต้ผู้นี้ช่างเห็นชีวิตของผู้คนเป็นเพียงผักปลาเสียจริง

นางขบคิดถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด บ่วงรัดคออันใหญ่...

ขงเฉว่

หากขาดนางไปลูกชายของนางจะเป็นอย่างไร จะอยู่อย่างไร สวรรค์ต้องการเรียกตัวนางกลับอย่างรวดเร็วขนาดนั้นเชียวหรือ

“ทูลฮ่องเต้” นางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือในตอนต้นทว่าไม่นานก็กลับมาเด็ดเดี่ยวดังเดิม “จากที่หม่อมฉันได้ยินอาการป่วยนี้มาก่อนจะได้เข้าเฝ้าพระองค์หม่อมฉันได้ลองวินิจฉัยโรคบ้างแล้วด้วยสติปัญญาอันน้อยนิด หม่อมฉันคิดว่าก็พอจะมีหนทางรักษาพระองค์ เพียงแต่พระองค์ได้โปรดเข้ารับการรักษากับหม่อมฉันตามลำพังด้วยเพคะ”

คำพูดของนางทำให้เหล่าหมอหลวงนั้นฮือฮา แม้มีเสียงคัดค้านจากเหล่าแพทย์ชั้นสูงทั้งหลาย แต่ผู้มีอำนาจสูงสุดคือโอรสสวรรค์ผู้นี้

สุดท้ายพระองค์ก็สั่งให้หมอหลวงและนางกำนัลออกไปให้หมดตามบัญชา

ครั้นเมื่ออยู่กันตามลำพังตามที่นางต้องการ นางก็เอ่ยขอน้ำมันยาหอมกับนางกำนัลน้อยผู้หนึ่ง หากแต่เมื่อนางกำนัลน้อยจะออกไปจากห้อง ฉานฉูก็เรียกไว้เสียก่อน เพื่อให้นางนั่งเป็นสักขีพยานว่านางสามารถรักษาอาการของฮ่องเต้ได้จริง

“ได้โปรดถอดฉลองพระองค์ออกด้วยเพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ไร้ความหวาดกลัวใด ๆ

ผู้สืบบัลลังก์มังกรทรงถอนหายใจออกมาแล้วตรัสกับนางอย่างร้ายกาจ “เป็นสตรีแต่กลับเอ่ยให้บุรุษถอดเสื้อผ้าต่อหน้า ไร้ยางอายยิ่งนัก”

คล้ายดั่งว่าสองประโยคนั้นนางเคยได้ฟังจากบุรุษผู้หนึ่งมาก่อนแล้วในแรกพบ

“อัปลักษณ์ยิ่ง”

“ไร้ยางอายยิ่งนัก”

นางจึงยิ้มรับก่อนกล่าวด้วยทีท่าสำรวม “กล่าวได้ว่าผู้เป็นแพทย์ย่อมไม่จำกัดว่าเป็นชายหรือหญิง ขอเพียงเป็นผู้ที่มีความสามารถและต้องการเห็นผู้ป่วยหายจากโรคภัยโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน”

นางรู้สึกฟืดคอเล็กน้อยเมื่อเอ่ยประโยคที่ว่า ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน คำพูดนี้มีความจริงอยู่ห้าส่วน นางไม่ต้องการเงินทองจากผู้อื่น นางต้องการเงินทองที่ออกจากปากของนางยามเมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่นเท่านั้นเอง

สุรเสียงนั้นช่างกล่าวประชดประชันหญิงชาวบ้านตรงหน้า

“หึ เจ้าเป็นแพทย์งั้นหรือ ไหนล่ะตราบัวของเจ้า ให้เราดูหน่อย”

“หม่อมฉันเป็นหญิงต้อยต่ำ แอบศึกษาตำราแพทย์ด้วยลำพัง ขอฝ่าบาทโปรดอย่าได้ถือสาเอาความ ตอนนี้ชีวิตของหม่อมฉันก็อยู่ในกำมือของพระองค์แล้วคิดจะสั่งประหารหม่อมฉันตอนนี้ก็ทำได้ แต่ถึงอย่างไรก็ควรให้หม่อมฉันทำการรักษาพระองค์ให้สมกับคำว่าแพทย์ที่หม่อมฉันใช้แอบอ้างเถิดเพคะ”

เหอะ ฝีปากเป็นเลิศ...

สุดท้ายเมื่อคร้านจะต่อปากต่อคำกับสตรีนางนี้ ฮ่องเต้หนุ่มจึงยอมถอดฉลองพระองค์ออกแต่โดยดี

หมอตำแยจากเมืองอู่ถงผู้นี้คลี่ยิ้มบางยามเมื่อแหวกม่านพลางคลานเข่าเข้าไปหาผู้เป็นดั่งโอรสสวรรค์ กลิ่นหอมของน้ำมันหอมนั้นโชยมาแตะที่พระนาสิก ยามนั้นนางแทรกตัวมาอยู่หว่างกลางของต้นขาทั้งสอง

พระเนตรคู่นั้นเหลือบเห็นมือเรียวที่มีตุ่มตะปุ่มตะป่ำของนางเต็มไปด้วยน้ำมันหอมนั้นชโลมจนทั่ว ครั้นจะตรัสถามนางก็จัดการแหวกฉลองพระองค์ตัวในออกเผยให้เห็นพระคุยหฐาน และพระอัณฑะสองลูกสีแดงระเรือราวกับผลอิงเถา

นางไม่รอช้าใช้มือของนางจับที่มังกรน้อยใจกลางของพระวรกายทันที ฮ่องเต้ผู้นั้นสะดุ้งเฮือกเล็กน้อยก่อนจะใช้มือค้ำกับฟูกที่ปูบนตั่งเตียง นิ้วมือจิกลงบนผ้าเนื้อลื่นเชิดใบหน้าขึ้น เม้มกัดริมฝีปากเล็กน้อยขณะที่กำลังให้สตรีผู้นี้ทำการรักษา

“อา...”

เสียงแผ่วเบานั้นหลุดออกมาจากริมฝีปากบางของชายหนุ่ม

กับการรักษาเช่นนี้ เราไม่เคยพบเจอมาก่อน...

ก่อนหน้านี้มีเพียงการทานยาสมุนไพรบำรุงนั้นบำรุงนี้จนแทบอาเจียน เราอยากจะจับกรอกปากเหล่าหมอหลวงให้หายแค้นเคืองเสียจริง

จุดหยินเหมินนั้นถูกนางนวดคลำซ้ำแล้วซ้ำเล่า... ไม่สิ ถูกนางบีบเคล้นต่างหาก มือเรียวคู่นั้นชักรูดให้แก่นมังกรที่หลับอยู่นั้นเริ่มลืมตาตื่นขึ้นมาเล็กน้อย

เพียงไม่นานก็ผงาดขึ้นมาเต็มตาของนางกำนัลน้อยผู้นั้น จำต้องรีบก้มหน้าหลบพลันด้วยความเขินอาย นางไม่เคยปรนนิบัติฮ่องเต้มาก่อน และนางไม่เคยเห็นอวัยวะส่วนนี้ของบุรุษ ต่างจากเจ้าแม่ฉานฉูผู้นี้

พระเกศาสีดำขลับนั้นสยายทั่วพระบรรทมเมื่อพระองค์ทิ้งพระองค์ลงนอนหอบพระทัยถี่รัวยิ่งกว่าการได้จับดาบไล่ฆ่าฟันศัตรูในศึกสงคราม พระเนตรฉายแววสุขสมขึ้นมาทันทีทันทันใด ครั้นทอดพระเนตรมองดูใบหน้าไร้อารมณ์ของสตรีผู้นี้แล้วก็พลันกระตุกกายให้มังกรนั้นพ่นน้ำใส่ใบหน้าของนาง

ฉานฉูหนังตากระตุก ขยับกายกระเถิบห่างพระวรกายมังกรได้ไม่กี่ฉื่อ นางชะงักไปเมื่อของเหลวนั้นเปรอะบนใบหน้าของนาง ยิ่งโดยเฉพาะปาดบริเวณมุมปากของนางไป

นางเคยได้ยินลูกชายของนางกล่าวว่าน้ำที่หลั่งออกมาเมื่อร่วมรักนั้นมีรสหวานตอนที่ขงเฉว่กำลังท่องตำราในห้องเพียงลำพัง ตามด้วยคำว่า ‘เป็นน้ำตาลฟักโตด’ ที่นางก็ยังไม่เข้าใจว่าลูกชายของนางหมายถึงสิ่งใด หากแต่นางนั้นสบตากับพระเนตรมังกรคู่นั้นพอดิบพอดีในตอนที่แลบลิ้นออกมาแล้วเลียชิมน้ำของพระองค์ที่เปื้อนมุมปากของนาง

เช่นนั้นทำให้พวงแก้มของพระองค์ถึงกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อลามไปถึงใบหูทันตาเห็น

ฮ่องเต้ในยามนี้ไม่ต่างจากบุรุษสามัญผู้มียางอาย

ครั้นจะตัดพ้อต่อว่านางด้วยความอับอาย นางกลับยกมือขึ้นมาปิดปากพลัน โอรสสวรรค์ถึงกลับพระพักตร์ถอดสี

นางใช้มือที่จับของของเราเอาปิดจมูกราวกับกำลังสูดดมกลิ่นมัน

มันช่าง... ช่าง ช่างน่าตายนัก!

ก่อนที่พระองค์จะได้รับสั่งให้นางกำลังเรียกคนมาลากตัวนางออกไป นางพลันสำรอกเอาเงินทองออกมากองบนหน้าแข้งของพระองค์เต็มไปหมด สร้างความตื่นตะลึงให้กับฮ่องเต้ผู้นี้ไม่น้อยเสียจนกลืนสิ้นคำสั่งหมายจะจับนางไปโบยให้ระบายความอับอายเมื่อครู่ ก่อนที่นางจะสลบไป

เมื่อยามจื่อ เปลือกตาของนางค่อย ๆ ขยับลืมขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าตนเองถูกขังอยู่ในคุกหลวง นอนพิงผนังเย็นชืดที่มีตะไคร่ขึ้น ไม่นานนักนางก็ได้ยินเสียงนายทหารที่อยู่ประตูหน้าพูดบางอย่างก่อนจะเปิดประตูคุกให้คนเข้ามา

ผู้คุมคอยถือตะเกียงส่องแสงสว่างให้แก่แขกผู้นั้นมาจนถึงห้องขังของนาง ขงเฉว่รีบออกผละจากร่างหนาสูงตระหง่านราวภูผาขององครักษ์เหวินมาเกาะที่ลูกกรงขังในทันทีทันใด เจ้าลูกชายผู้นี้ยังสวมผ้าปิดปากเอาไว้ตามที่นางบอก

“ท่านแม่!” เสียงใสดังกังวานเอ่ยเรียกนางที่ถูกขังอยู่ข้างในด้วยท่าทีร้อนรน ขงเฉว่หายใจไม่ค่อยสะดวก เขามือไม้สั่นไปหมด แววตาคู่นั้นเอ่อคลอน้ำตา

แม่ของเขามีความผิดอะไรกัน!

เด็กน้อยนั้นหันมาสบตากับองครักษ์หนุ่มพลันทิ้งตัวคุกเข่า สองมือประสานกันจ้องเขาด้วยสายตาที่แน่วแน่ “ใต้เท้าขอรับ ขอให้ข้าได้เข้าไปอยู่กับท่านแม่ด้วยขอรับ”

องครักษ์เหวินถึงกลับย่นคิ้วภายใต้หน้ากาก ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ข้าเพียงแค่พาเจ้ามาเยี่ยมนางเท่านั้น”

“ให้ลูกเข้ามาเถอะ” ฉานฉูเอ่ยแทรกขึ้นมา นางเอนหัวพิงกับผนังห้องขังก่อนจะใช้มือบีบนวดข้อมือที่ปวดเมื่อยของนางเอง กลิ่นน้ำมันหอมยังคงอยู่และสัมผัสของมังกรตัวนั้นยังคงติดอยู่ในมือนาง

องครักษ์เหวินแค่นเสียงดุใส่ทว่านางกลับไม่สะทกสะท้าน เขาเองก็จนปัญญากับดวงตาใสซื่อคู่นั้นของบุตรชายผู้น่าเอ็นดู ใจอ่อนยวบจนสามารถเค้นน้ำออกมาได้ทันที เขาจึงหันไปออกคำสั่งจากผู้คุมขังให้ไขประตู

ทันทีที่ประตูเปิดอ้า ขงเฉว่รีบก้าวเข้ามาถลาเข้ากอดสู่อ้อมอกของผู้เป็นมารดา

ร่างหนาขององครักษ์เหวินก็ก้าวตามเข้ามาพลันอย่างไม่รีรอ เขาหันไปสั่งให้ผู้คุมขังนายนั้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ขังพวกข้าเลย!”

พูดจบเขาก็ทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิใกล้กับขาของนางที่เหยียดยื่นออกไป ขงเฉว่มองผู้เป็นแม่สลับกับองครักษ์ผู้สวมหน้ากากครึ่งบนผู้นั้นพลางคลานเข่าเข้าไปกอดและซุกหน้าลงบนอกของนาง พลางแหงนหน้าขึ้นแล้วเอาคางเกยอก ส่งสายตาเป็นเชิงว่าเขาต้องการจะรับรู้ทุกเรื่องราวจากปากของนาง

นางสบตากับลูกแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่าขงเฉว่ปรารถนาสิ่งใด และเพราะเมื่อครู่นางเกือบจะรักษาชีวิตตนรอดกลับมาพบลูกไม่ได้แล้วนางจึงตัดใจต่อความบาดหมางทั้งหมดและยอมปริปาก

อย่างไรหากนางตายก็จะได้ฝากฝังเขากับชายผู้นี้เสีย

“เฉว่เกอ ฟังแม่... องครักษ์เหวินคือพ่อของเจ้า”

เปิดรับโบนัส

เปิด
1 บทที่ 1 ลิขสิทธิ์ และคำเตือน2 บทที่ 2 ตัดเข้าโฆษณา3 บทที่ 3 ไร้ยางอาย (1)4 บทที่ 4 ไร้ยางอาย (2)5 บทที่ 5 ไร้ยางอาย (3)6 บทที่ 6 ไร้ยางอาย (4)7 บทที่ 7 ฉานฉูรับราชโองการ (1)8 บทที่ 8 ฉานฉูรับราชโองการ (2)9 บทที่ 9 ฉานฉูรับราชโองการ (3)10 บทที่ 10 ฉานฉูรับราชโองการ (4)11 บทที่ 11 ฉานฉูรับราชโองการ (5)12 บทที่ 12 ฉานฉูรับราชโองการ (6)13 บทที่ 13 ฉานฉูรับราชโองการ (7)14 บทที่ 14 กาลกิณี (1)15 บทที่ 15 กาลกิณี (2)16 บทที่ 16 กาลกิณี (3)17 บทที่ 17 นางไม่พูด (1)18 บทที่ 18 นางไม่พูด (2)19 บทที่ 19 นางไม่พูด (3)20 บทที่ 20 นางไม่พูด (4)21 บทที่ 21 นางไม่พูด (5)22 บทที่ 22 นางไม่พูด (6)23 บทที่ 23 นางไม่พูด (7)24 บทที่ 24 สังเวยแพทย์ (1)25 บทที่ 25 สังเวยแพทย์ (2)26 บทที่ 26 สังเวยแพทย์ (3)27 บทที่ 27 สังเวยแพทย์ (4)28 บทที่ 28 สังเวยแพทย์ (5)29 บทที่ 29 เครื่องสังเวย (1)30 บทที่ 30 เครื่องสังเวย (2)31 บทที่ 31 เครื่องสังเวย (3)32 บทที่ 32 เครื่องสังเวย (4)33 บทที่ 33 ตัวล่อ (1)34 บทที่ 34 ตัวล่อ (2)35 บทที่ 35 ตัวล่อ (3)36 บทที่ 36 เปิดหูเปิดตา (1)37 บทที่ 37 เปิดหูเปิดตา (2)38 บทที่ 38 นักเล่านิทานพเนจร (1)39 บทที่ 39 นักเล่านิทานพเนจร (2)40 บทที่ 40 นักเล่านิทานพเนจร (3)41 บทที่ 41 เหม็นเน่า (1)42 บทที่ 42 เหม็นเน่า (2)43 บทที่ 43 เหม็นเน่า (3)44 บทที่ 44 เจ้าหุบเขาเสวี่ยและเซิน (1)45 บทที่ 45 เจ้าหุบเขาเสวี่ยและเซิน (2)46 บทที่ 46 เจ้าหุบเขาเสวี่ยและเซิน (3)47 บทที่ 47 เจ้าหุบเขาเสวี่ยและเซิน (4)48 บทที่ 48 เจ้าหุบเขาเสวี่ยและเซิน (5)49 บทที่ 49 มนต์ดำ (1)50 บทที่ 50 มนต์ดำ (2)51 บทที่ 51 มนต์ดำ (3)52 บทที่ 52 ปราบมังกร (1)53 บทที่ 53 ปราบมังกร (2)54 บทที่ 54 ปราบมังกร (3)55 บทที่ 55 ปราบมังกร (4)56 บทที่ 56 ปราบมังกร (5)57 บทที่ 57 ขี่มังกร (1)58 บทที่ 58 ขี่มังกร (2)59 บทที่ 59 ขี่มังกร (3)60 บทที่ 60 ขี่มังกร (4)61 บทที่ 61 ขี่มังกร (5)62 บทที่ 62 คนโปรด (1)63 บทที่ 63 คนโปรด (2)64 บทที่ 64 คนโปรด (3)65 บทที่ 65 ตะลุมบอน (1)66 บทที่ 66 ตะลุมบอน (2)67 บทที่ 67 ตะลุมบอน (3)68 บทที่ 68 ไม่ต้อง (1)69 บทที่ 69 ไม่ต้อง (2)70 บทที่ 70 ไม่ต้อง (3)71 บทที่ 71 โง่เง่า (1)72 บทที่ 72 โง่เง่า (2)73 บทที่ 73 โง่เง่า (3)74 บทที่ 74 โง่เง่า (4)75 บทที่ 75 โง่เง่า (5)76 บทที่ 76 อย่าหนีข้าไป (1)77 บทที่ 77 อย่าหนีข้าไป (2)78 บทที่ 78 ก็ไม่เลว (1)79 บทที่ 79 ก็ไม่เลว (2)80 บทที่ 80 ก็ไม่เลว (3)81 บทที่ 81 ก็ไม่เลว (4)82 บทที่ 82 ก็ไม่เลว (5)83 บทที่ 83 ก็ไม่เลว (6)84 บทที่ 84 สอด (1)85 บทที่ 85 สอด (2)86 บทที่ 86 สอด (3)87 บทที่ 87 ซื่อซื่อ (1)88 บทที่ 88 ซื่อซื่อ (2)89 บทที่ 89 ซื่อซื่อ (3)90 บทที่ 90 ซื่อซื่อ (5)91 บทที่ 91 ชายแก่ (1)92 บทที่ 92 ชายแก่ (2)93 บทที่ 93 ชายแก่ (3)94 บทที่ 94 ชายแก่ (4)95 บทที่ 95 จุก (1)96 บทที่ 96 จุก (2)97 บทที่ 97 จุก (3)98 บทที่ 98 เหี่ยว (1)99 บทที่ 99 เหี่ยว (2)100 บทที่ 100 เหี่ยว (3)