ผีผายามังกร
ในงานเทศกาลประจำเมืองอู่ถง องครักษ์เหวินได้เปิดเผยความในใจต่อนางออกไป
ฉานฉูคิดว่าเขาได้ล้อเล่นกับนางเสียแล้ว
หญิงอัปลักษณ์เยี่ยงนางน่ะหรือกลับมีบุรุษหนุ่มมาชมชอบ
หากแต่เมื่อนางจะเดินหนีไปก็ถูกเขาฉุดรั้งกายบางนั้นให้เข้ามาใกล้ จู่โจมขโมยจุมพิตแรกไปด้วยความมุทุลุขององครักษ์หนุ่มรูปงามผู้นี้
หญิงสาวรับรู้ได้โดยทันทีว่าจุมพิตนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกดีที่เขามีต่อนางอย่างมากมาย นางเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน
ในค่ำคืนนั้น องค์รักเหวินได้เปิดเผยฐานะของตน
เล่าเรื่องราวและยอมถอดหน้ากากออกต่อหน้าของนาง สารภาพความในใจด้วยความสัตย์จริงและบอกว่าตนไม่อาจรักและมีครอบครัวกับใครได้เพราะหน้าที่ของตนใหญ่หลวง
ทว่านางกลับบอกว่า... ‘เพียงได้กราบไหว้ฟ้าดิน เป็นภรรยาท่าน แม้มิได้นอนเคียงหมอนกัน ข้าก็มีความสุข’
หัวใจของชายหนุ่มพองโตราวกับโคมลอยที่ถูกปล่อยขึ้นสู่ฟ้าในยามค่ำของคืนนั้น
ทั้งสองจูงมือกันไปยังวัดอารามร้างแห้งหนึ่ง กราบไหว้ฟ้าดินต่อหน้าพระพุทธรูปพระโพธิสัตว์ให้ฟ้าดินเป็นพยาน ก่อนที่องครักษ์เหวินจะช้อนตัวอุ้มนางกลับไปยังกระท่อมกลางป่า
ค่ำคืนแห่งวสันต์ฤดูชุ่มฉ่ำนั้นได้เริ่มขึ้น เสียงบรรเลงบทรักนั้นดังออกมานอกกระท่อมกลางป่าแม้แต่พระจันทร์ยังเนียมอายหลบในกลีบเมฆโดยพลัน
นางจิกนิ้วมือลงบนแผ่นหลังของผู้เป็นสามีแน่น
องครักษ์เหวินเองก็ประเคนความปรารถนาแก่ภรรยาอย่างไม่รอช้า
เขาสุขจนไม่รู้จะสุขอย่างไร ร่างกายที่มีผิวไม่เรียบลื่นของนางไม่ได้ทำให้อารมณ์ของเขาขุ่นมัวแต่น้อย
ความบริสุทธิ์ของนางชโลมจิตใจที่ว่างเปล่าของเขาและเติมเต็มมัน เสียงอันไพเราะของนางเป็นเสียงที่เขาอยากได้ยินในทุก ๆ วัน
“...ลูก ...ข้าอยากมีลูกกับเจ้า”
องครักษ์เหวินกระซิบกระซาบที่ข้างหูของนาง ทว่าคำตอบของนางคือการประกบริมฝีปากนุ่มพลัน แล้วหยัดกายเข้าหารับเมล็ดพันธุ์จากเขา
ครั้นตื่นมากลับไม่พบเงาชายผู้นั้น เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉานฉูกลับทำเพียงหลับตาลงพลางสำรวมกริยาของตน นางเข้าใจดีว่าอย่างไรนางก็เป็นเพียงสาวชาวบ้านที่มีฐานะยากไร้
เขาเองก็เป็นเพียงชายแปลกหน้าที่ผ่านทางมาให้นางช่วยเหลือไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ในเมืองอู่ถง
อนาถใจเหลือเกินที่นางกลับรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา ยามเมื่อต้องค่อย ๆ ประคองกายตนเองขึ้นมาสวมเสื้อผ้าที่ถูกเขาถอดออกและปลอกลอกนั้นอย่างกับว่านางเป็นเพียงคณิกาผู้หนึ่ง
นางสูดหายใจเข้า ทำจิตใจให้ว่างเปล่าก่อนที่มือของนางจะกอบกุมที่ทรวงอกข้างซ้ายที่เต้นรัวด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาพร้อมกับทรุดกายลงไปนั่งพับกับพื้น ร่ำไห้ออกมาได้น่ารังเกียจอย่างไม่อายฟ้าดิน
เขาได้หว่านเมล็ดพันธุ์เอาไว้ให้นางจนกระทั่งเติบโตและออกผล ผ่านมาเก้าเดือน นางท้องแก่ใกล้คลอดเขาผู้นั้นยังไม่กลับมา ยามนี้ไม่มีน้ำตาแล้ว มีเพียงความหนาวเหน็บเกาะที่ขั้วหัวใจของนาง
หญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นช่วยชีวิตคนไว้มากมาย เป็นหมอตำแยที่มีชื่อเสียงในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ทว่านางกลับพบเจอกับหนทางเปิดประตูสู่ปรโลกจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด หมองูตายเพราะงู ไฉนหมอตำแยจะตายเพราะคลอดลูกเพียงลำพังมิได้ ยายเฒ่าผู้นั้นมาช่วยทำคลอดให้นาง กว่าจะผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้ นางเกือบสิ้นใจตายในเฮือกสุดท้าย ทว่าเสียงร้องของทารกน้อยฉุดให้นางกลับมา
ร่างบางเหงื่อออกท่วมตัว หอบหายใจรวยริน ทารกน้อยหลังจากตัดสายรกแล้วนั้นถูกห่อผ้าก่อนนำมาวางใกล้ศีรษะของนาง ยามเมื่อยายเฒ่ากล่าวถามถึงชื่อของนามของทารกน้อยเพศชาย นางได้มองออกไปข้างนอกเรือนไม้เก่าหลังนี้ แสงของพระอาทิตย์ในยามเช้าวันใหม่แยงเข้ามาในตานาง ก่อนที่เงาของนกยักษ์ขาวตัวใหญ่กำลังแพนหางบดบังแสงของดวงอาทิตย์ จึงละม้ายคล้ายว่านกยูงตัวนี้มันมีลำแสงบริสุทธิ์ออกมาจากตัวของมัน แม้มิใช่หงส์ฟ้าคู่มังกร แต่ก็งดงามเสียจนหยุดหายใจ เป็นความงามที่ควรเก็บซ่อนเร้นไว้ไม่ให้ผู้ใดได้พบเห็น อยู่อย่างสงบโดยไร้ผู้ใดมายุ่งเกี่ยว
“ขงเฉว่” เสียงแหบพร่าจากริมฝีปากแห้งแตกของนางนั้นขยับเอื้อนเอ่ย ก่อนจะละสายตาจากความงดงามนั้นมามองยังลูกชายของนางพลางกล่าวประโยคแรกกับเขา
“เจ้ามีนามว่าขงเฉว่”
ฉานฉูไม่เคยดุด่าว่ากล่าว หรือลงไม้ลงมือตีลูกชายของนางแม้แต่น้อย แม้แต่คำสั่งหรือข้อห้ามก็ไม่เคยมี นั่นเป็นเพราะขงเฉว่เป็นเด็กดี เป็นเด็กฉลาดและตั้งใจศึกษาเล่าเรียนกับนางเป็นอย่างขะมักเขม้นคล้ายดั่งนักปราชญ์กลับชาติมาเกิด
ในปีที่เขาอายุได้สามขวบปี นางได้พบเจอกับชายผู้นั้นอีกครั้ง นางรีบนำเด็กน้อยไปซ่อนในตู้แล้วบอกกับเขาว่าอย่าส่งเสียงให้รอจนกระทั่งชายสวมหน้ากากผู้นี้จากไป
ก่อนที่ข้อห้ามข้อแรกและข้อเดียวในชีวิตของเด็กน้อยนั้นคือ
“อย่าปรากฏกายให้ชายสวมหน้ากากผู้นั้นพบเห็นเข้า เขาจะมาเอาตัวเจ้าไป”
นางหวังแค่เพียงการพยักหน้ารับอย่างไร้เดียงสา
ทว่าขงเฉว่กลับเอ่ยกับนางว่า
“เขาเป็นพวกแก๊งลักพาตัวเด็กหรือ”
แม้คำว่า ‘แก๊ง’ นั้นนางจะไม่อาจเข้าใจได้ว่าลิ้นกับฟันหลอ ๆ ของขงเฉว่อาจจะทำให้ส่งเสียงเพี้ยนเป็นคำประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร แต่คำว่า ‘ลักพาตัว’ นางก็รู้แจ้งเลยว่าลูกชายของนางเข้าใจดีในความหมายที่นางต้องการจะสื่อ
เช่นนั้นทุกครั้งที่ชายสวมหน้ากากผู้นั้นมา ขงเฉว่จะหลบเข้าไปในตู้ทันที เช่นเดียวกันกับแม่ของเขาจะหลอกล่อพาชายผู้นั้นออกไปข้างนอกบ้านตลอดเวลา
จวบจนกระทั่งขงเฉว่ในวัยสิบเอ็ดปี เขานำตำราแพทย์เข้าไปอ่านในตู้ขณะที่ชายสวมหน้ากากผู้นั้นมาเยี่ยมเยียนแม่ของเขา คล้ายดั่งว่าเคยชินกับการที่มีชายสวมหน้ากากผู้นั้นมาเยือนเสียแล้ว
วันนี้นางไม่อยู่บ้าน นางออกไปเยี่ยมเยียนยายเฒ่าหมอตำแยผู้มีพระคุณกับนาง เช่นนั้นจึงได้แขวนป้ายไว้ แม้นว่าขงเฉว่มักจะไปปลดแผ่นป้ายลงเพื่อเปิดบ้านแห่งนี้และรักษาคนที่เข้ามาหาเวลาที่นางออกไปทำธุระอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อเห็นรถม้าที่คุ้นตามาแต่ไกลเขาจึงแขวนแผ่นป้ายไว้ดั่งเดิมแล้วรีบวิ่งเข้าตู้เพื่อซ่อนตัว
บนแผ่นป้ายที่ทำจากไม้นั้นเครื่องหมายง่าย ๆ โดยการกากบาทที่คนไข้หรือแม้แต่แขกคนสำคัญอย่างเขาคงแปลความหมายออกว่า ‘ไม่อยู่’
มิใช่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ชายสวมหน้ากากผู้ลึกลับผู้นั้นมาเยี่ยมเยียนแม่ของเขาในเวลาที่นางไม่อยู่ แต่เมื่อเขาพบเห็นป้ายไม้นั้นก็จะกลับไปทันที
ทว่าวันนี้ไม่เหมือนเคย
นอกจากเขาจะโยนแผ่นไม้ของนางทิ้ง ซ้ำยังเขากลับเข้านั่งขัดสมาธิรอท่าข่มความร้อนใจเอาไว้ด้วยท่าทีสงบนิ่ง
ครั้นเมื่อแม่ของเขากลับมา ชายสวมหน้ากากผู้นั้นก็ลุกขึ้นพลันแล้วสาวเท้ายาว ๆ เข้าไปหา เขาอุ้มนางพาดบ่าแล้วจับโยนขึ้นรถม้าพลันสั่งให้ขับออกไป
เด็กน้อยเห็นดังนั้นรีบเปิดประตูตู้ออกมาพลัน วิ่งตามมาด้วยความหวาดกลัวว่าจะเสียแม่ของเขาไป
ฉานฉูได้ยินเสียงเรียกของลูกของนางก็ร้องขอให้เขาหยุดรถดังขึ้นกว่าเดิม จะเรียกว่านางแผดเสียงตนคอแหบพร่าน่าหวาดกลัวก็ว่าได้
องครักษ์เหวินตกใจพลันสั่งคนขับให้หยุด เขาตวัดสายตามองไปทางข้างหลังเส้นทางที่จากมา ครุ่นคิดว่านางเป็นห่วงสิ่งใด หรืออะไรที่สำคัญถึงขนาดที่นางต้องกรีดร้องให้หยุดอย่างสุดเสียงเช่นนั้น ก่อนที่ดวงตาคมดุจเหยี่ยวจะพบว่ามีใครบางคนวิ่งหกล้มหน้าคะมำตามเขามา
ใครที่ช่างดูเหมือนตนในวัยเยาว์...
เขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง สบโอกาสให้ฉานฉูลงมาจากรถม้าวิ่งไปประคองลูกชายของนางที่ล้มหน้าคะมำ มือไม้ปัดดินที่เลอะเนื้อตัวของขงเฉว่ ปากเป่ากระหม่อมของลูกชายราวกับปลอบขวัญเจ้าหนูน้อย
องครักษ์เหวินก้าวลงมาอย่างเงียบเชียบ สืบเท้าเข้ามาหาสองแม่ลูก เงาของบุรุษร่างหนาวัยยี่สิบเจ็ดยืนตระหง่านค้ำพาดร่างสองแม่ลูกราวกับภูเขายักษ์
เขาครุ่นคิดประโยคแรกที่จะเอ่ยออกมาต่อหน้าดวงตากลมโตคู่นั้นของเด็กน้อยในอ้อมอกของฉานฉู สุดท้ายก็กล้ำกลืนความรู้สึกที่จุกแน่นในอก แล้วเอ่ยถ้อยคำเยือกเย็นนั้นออกมาแทน
“ข้ามาเพราะพระบัญชาของฮ่องเต้ที่ต้องการพบตัวเจ้า เจ้าแม่ฉานฉู”
นางกำลังผูกผ้าปิดปากให้เขาด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม ขงเฉว่เองก็พยายามซ่อนความวิตกกังวลเอาไว้ในใจ
“ที่นั่นอาจมีโรคระบาด” นางเอ่ยกับลูกชายพลางยกมือขึ้นลูบหัว
หากมีโรคระบาดจริง หมอหลวงย่อมแจกจ่ายผ้าปิดปากให้ทุกคนอยู่แล้ว เหตุใดชายสวมหน้ากากผู้นั้นถึงไม่ผูกผ้าปิดปาก แม้แต่นางเองที่เป็นหมอหากที่นั่นมีโรคระบาดจริง นางก็ต้องผูก
เพราะฉะนั้น... อาจเป็นเหตุผลอื่นที่เขาต้องสวมผ้าปิดปากเพียงคนเดียว
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เจ้าแผ่นดินผู้นั้นมีรับสั่งเรียกตัวหมอตำแยต่ำต้อยอย่างนางเข้าวัง อาจเป็นเพราะเรื่องที่นางสามารถสำรอกเงินทองได้ จึงอยากเห็นเพื่อความสำราญใจ
ฉานฉูขมวดคิ้วเป็นปมอย่างคิดไม่ตก ขนาดที่บุรุษอีกผู้ก็ขมวดคิ้วเป็นปมเช่นกัน
เจ้าหนูน้อยนี่ต้องเป็นลูกชายของตนอย่างแน่นอน!
แต่เหตุใดนางถึงพยายามซ่อนเขากัน...
หรือนางยังเจ็บแค้นเรื่องในคราวนั้น
ในคืนนั้นองครักษ์เหวินถูกเรียกตัวกลับไปในยามวิกาล เนื่องจากมีสายข่าวตามมาพบเขาพร้อมรายงานว่ามีผู้ลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ เช่นนั้นตนผู้เป็นถึงองครักษ์จำต้องทิ้งภรรยาไปอารักษ์ขาพระองค์
แต่ดันเกิดเหตุที่ต้องให้ถูกรั้งตัวไว้ที่เมืองหลวงนานนับหลายปี เหตุการณ์กบฏราชสำนัก เหตุการณ์อ๋องชิงเมือง เหตุการณ์เสด็จสวรรคตของไท่ซางหวง แต่ตนก็มิได้ลืมเลือนนางแม้แต่น้อย
ครั้นกลับมาหานางก็เปิดบ้านเป็นโรงหมอขนาดเล็กใช้ชีวิตเยี่ยงสตรีหม้ายและคนไข้ที่ผ่านมารักษากับนางก็เรียกนางว่า ‘แม่นาง’ ไม่ใช่ ‘ฮูหยินเหวิน’
เขาโกรธ พาลคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ว่านางตัดเยื่อใยกับตนได้อย่างเลือดเย็นเพราะนางหมดรักแล้วในขณะที่เขาเฝ้ารอคอยวันที่ได้กลับมาหานางที่อู่ถง หากแต่เพลิงโทสะนั้นถูกระงับเมื่อสบตากับดวงตากลมโตคู่นั้น
ช่างดูราวกับรูปสลักพิมพ์เดียวกับเขาเสียจริงลูกชายของข้า
องครักษ์เหวินกระแอมไอขึ้นมาเรียกความสนใจจากสองแม่ลูกได้ ครั้นริมฝีปากของเขากำลังจะอ้าปากถามฉานฉูก็ชิงพูดขึ้นมา
“พระอาการของฮ่องเต้เป็นอย่างไร หมอหลวงไม่สามารถรักษาได้เลยหรือ”
องครักษ์เหวินงับคำที่จะเอ่ยถามเรื่องลูกชายแล้วเปลี่ยนเป็นเล่าความทั้งหมดให้นางฟัง
ที่วังหลวงนั้นพยายามปิดข่าวลือเรื่องนี้อยู่...
เรื่องที่ฮ่องเต้มีพระวรกายมังกรอ่อนแรงมาหลายปีแล้วรักษาอย่างไรก็ไม่หาย แม้ว่าพระองค์จะมีทายาทแล้ว ทว่าลูกที่เกิดจากนางรำจากคณะนักดนตรีเร่ร่อนแล้วได้รับแต่งตั้งเป็นสนมในภายหลังย่อมไม่สมไม่ควรที่จะนับว่าเป็นทายาทสืบบัลลังก์มังกร
เดือดร้อนไปถึงหมอหลวงที่ต้องขบคิดหาทุกวิถีทางในการรักษา ซ้ำยังโดนกดดันจากราชสำนักหรือแม้แต่ฮองเฮาเองถึงกลับมาจัดการเรื่องพวกนี้
พระนางออกคำสั่งให้สำนักแพทย์หลวงทั้งหลายช่วยกันจัดการ แม้แต่พระนางเองยังไปสวดมนต์ไหว้พระเพื่อขอพรให้เทพเซียนทั้งหลายได้ประทานพรให้นางตั้งครรภ์โอรสสวรรค์
สำนักแพทย์หลวงจนปัญญาถึงขนาดต้องเรียกหมอฝึกหัดและบรรดาหมอชาวบ้านเข้ามาทำการรักษาไล่ควานหาตั้งแต่สูงลงไปต่ำของตราบัว
ตราบัวนั้นคือสัญลักษณ์พิเศษที่ประทับกลางฝ่ามือแสดงถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์
ใบบัวคือผู้สืบตระกูลแพทย์ มีความรู้เรื่องยา สามารถเขียนใบเทียบยาและจัดจำหน่ายยาได้
บัวตูมนั้นคือผู้สอบผ่านการเป็นแพทย์ในขั้นต้น มีหน้าที่ดูแลศึกษาตำรายาและเป็นช่วงฝึกฝนสู่การเป็นหมอหลวง
บัวบานคือผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นหมอหลวงอย่างเป็นทางการ มีความสามารถในการรักษาและสามารถเขียนตำราให้แพทย์ฝึกหัดได้อ่านและทำการศึกษา แพทย์เหล่านี้มีโอกาสได้รับใช้ชนชั้นสูงในราชสำนัก
ส่วนตราประทับตราดอกบัวตราสุดท้ายนั้นคือตราบัวหลวง หมายความว่าบุคคลผู้นั้นคือแพทย์ประจำพระองค์ของฮ่องเต้
ผู้ใดไม่มีตราสัญลักษณ์นี้จะถูกเรียกว่าเป็น ‘หมอเถื่อน’
จนแล้วจนรอดแม้จะอับจนหนทางเพียงใดแต่สวรรค์ก็มีตา แต่หาได้มีความปราณีไม่
ส่งผู้มีพรสวรรค์ มีความสามารถ
มีวิธีรักษา แต่กลับเป็นหมอเถื่อน!
ซ้ำยังเป็นหมอตำแย นางเป็นหญิงหม้ายลูกติดตามที่ข่าวลือได้กล่าวอ้าง มีใบหน้าอัปลักษณ์ ผิวกายตะปุ่มตะป่ำราวกับคางคก ทว่าชาวเมืองอู่ถงกลับมีลูกสลักนางไว้บูชา ถึงขั้นมีรูปสลักทำจากไม้เป็นร่างหญิงสาวผูกผ้าปิดปากผู้กำลังประคองคางคกเอาไว้ในอุ้งมือราวกับนางเป็นพระโพธิสัตว์ผู้มีเมตตา
สายตาดูแคลนขบคิดในใจว่ารูปสลักของนางราวกับสร้างมาเพื่อหลบหลู่เหอเซียนกู ก็ไม่ปาน
รูปสลักอยู่ในพระหัตถ์ขององค์ฮ่องเต้ พระเนตรงามคู่นั้นจ้องมองรูปสลักราวกับครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะเอ่ยรับสั่งให้ไปตามตัว ‘เจ้าแม่ฉานฉู’ ผู้นี้มาเข้าวัง