อนุชายาบรรณาการ(Boy Love)
บทที่ 2.2
สีหน้าชินอ๋องเย็นชาราวฉาบด้วยน้ำแข็ง และเอ่ยกับองครักษ์คนสนิทที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ว่า “ซือหมิง ส่งคนไปนำศพของนางมาเดี๋ยวนี้”
“ขอรับ” ซือหมิงน้อมคำนับรับคำสั่ง
พระชายาตู้รีบแย้งขึ้น “ศพของนางฝังไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ฝังแล้วก็ขุดขึ้นมา” เสียงเฉียบขาดของชินอ๋องดังสวนขึ้นทันที
ซือหมิงคำนับอีกครั้งแล้วก้าวยาวๆ จากไป
พระชายาขมวดคิ้วเรียวงามนิดหนึ่งมองตามหลังองครักษ์ขวาซือหมิง แล้วหันกลับมาแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวานให้ชินอ๋อง “ท่านอ๋องโปรดอย่าได้ขุ่นเคืองใจไปเลยเจ้าค่ะ แม้จ้าวอี๋เหนียงจะรูปงามนัก ก็ใช่ว่าจะหาบุรุษรูปงามเช่นนี้ไม่ได้อีกเสียเมื่อไหร่ ไว้เป็นหน้าที่ของข้าน้อยเองเจ้าค่ะ...”
นางยังกล่าวไม่ทันจบ ชินอ๋องก็ขัดขึ้นว่า “ไม่ต้อง...เจ้าก็อยู่เป็นพระชายาของเจ้าไปดีๆ ไม่ต้องสรรหาบุรุษหรือสตรีมาให้ข้าอีก แล้วนี่เจ้าหมดธุระแล้วใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็กลับตำหนักไปเถอะ”
พระชายาลอบกำมือแน่นอย่างกรุ่นโกรธ แต่ไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า ได้แต่หลุบตาลงพลางแย้มยิ้มรับคำ
“เจ้าค่ะ...ท่านอ๋องก็พักผ่อนให้มากนะเจ้าคะ”
แล้วลุกจากเก้าอี้ที่นั่งยอบกายคารวะพร้อมกับสาวใช้ที่ติดตามมา ก่อนจะพากันเดินจากไป
*
*
จางจงคุกเข่าอยู่ต่อหน้าชินอ๋องผู้เป็นประมุขของจวน เหลือบมองศพของหญิงสาวที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ที่ทหารยกเข้ามาวางข้างๆ แล้วมีสีหน้าตกใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นเคือง
“ใช่นางจริงๆ ขอรับ นางคือชิวฮัว นางเป็นคนกล่าวหาว่าคุณชายมีสัมพันธ์เกินเลยกับชุนฮัว จนชุนฮัวต้องโทษถูกโบยจนตาย ส่วนคุณชายก็ถูกโบยยี่สิบไม้จนล้มป่วยหนักเช่นนี้ นาง...นางช่างร้ายกาจราวงูพิษที่เลี้ยงไม่เชื่อง” จางจงรำพึงรำพัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าชินอ๋องคงมีอะไรจะสั่งเขา “ท่านอ๋องจะให้คุณชายมาดูศพนางเท่านั้นหรือขอรับ?”
“อืม...เมื่อเช้ามืดทหารที่ตรวจตราความเรียบร้อยภายในจวนพบศพของนางอยู่ในพุ่มไม้ที่สวนข้างตำหนักใหญ่ และมีบ่าวจำได้ว่านางคือคนของจ้าวอี๋เหนียง ข้าจึงให้ตามจ้าวอี๋เหนียงมาเพื่อยืนยันตัวตนของนาง ไม่คิดเลยว่าจ้าวอี๋เหนียงจะถูกลงโทษจนบาดเจ็บหนักเช่นนี้” ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ ทว่าสีหน้าเย็นชา “ถ้าจ้าวอี๋เหนียงทำผิดจริง โทษตายก็คงยังไม่พอ”
พอยืนยันตัวตนเสร็จ ศพของชิวฮัวก็ถูกยกออกไป
“ท่านอ๋อง...ท่านอ๋อง...ได้โปรดช่วยชีวิตคุณชายของบ่าวด้วยเถิดขอรับ บ่าวเชื่อว่าคุณชายของบ่าวไม่ใช่คนเหลวไหลเช่นนั้น”
จางจงพร่ำขอความเมตตาพลาง โขกศีรษะกับพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลาง
“หยุด” ชินอ๋องสั่งห้ามเสียงเฉียบ
จางจงไม่กล้าขัดจึงนั่งคุกเข่าตัวตรงอย่างนิ่งงัน น้ำตาตก ที่หน้าผากของเขามีรอยแดงเพราะโขกกับพื้นแข็ง
“ข้าตัดสินใจช่วยชีวิตจ้าวอี๋เหนียงแน่นอน” เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจที่ได้รับเมื่อห้าปีก่อน “แต่ถ้าเขาทำผิดจริง...โทษตายแม้ข้าจะละเว้นให้ แต่โทษเป็นยังคงต้องรับ”
จางจงได้แต่ก้มหน้าลง
“คารวะท่านอ๋อง” เสียงแหบห้าวเสียงหนึ่งดังขึ้นที่เบื้องหลังของจางจง เขาไม่กล้าเหลียวไปมองเพราะเกรงจะเสียมารยาทต่อหน้าชินอ๋อง “ข้าน้อยนำยาที่ท่านหมอสั่งมาจากวังหลวงแล้วขอรับ”
“นำไปให้ท่านหมอเดี๋ยวนี้เลย”
“ขอรับ” ต่อจากเสียงขานรับก็คือเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไป
ชินอ๋องมองมาที่จางจง “เจ้าไปดูแลจ้าวอี๋เหนียงให้ดี หากไม่สามารถป้อนยาให้เขาได้อีก ก็จงมาบอกข้า ข้าจะไปป้อนยาให้เขาเอง ยานี้ต้องใส่ใจให้มากไว้เพราะเป็นยาล้ำค่าหายาก...เจ้าไปได้แล้ว”
“ขอรับ”
จางจงรับคำนอบน้อมพร้อมค้อมคำนับ ก่อนจะลุกเดินไปยังห้องข้าง...พอไปถึง เขาเห็นคุณชายยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง สีหน้ายังคงซีดเซียว ลมหายใจรวยริน แต่สาวใช้ได้นำเสื้อผ้าเนื้อดีมาให้คุณชายผลัดเปลี่ยน และเตรียมน้ำอุ่นมาให้เช็ดตัว จางจงจึงจัดการเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แก่คุณชาย
*
*
ที่ห้องหนังสือของตำหนักใหญ่ ซึ่งมีคนสี่คนชุมนุมกันอยู่ คนหนึ่งนั่ง อีกสามคนยืนตัวตรงด้วยกิริยาท่าทางสงบ...ชินอ๋องนั่งฟังองครักษ์ขวาซือหมิงรายงานพลางเคาะนิ้วเรียวยาวและแข็งแรงลงบนโต๊ะไม้เนื้อดีเบาๆ
“ข้าน้อยส่งศพของสาวใช้ทั้งสองไปให้หมอที่กรมอาญาชันสูตรแล้วขอรับ ผลปรากฏว่า...ชุนฮัวยังเป็นหญิงสาวพรหมจารีอยู่ แต่ชิวฮัวตั้งครรภ์ราวสามถึงสี่เดือนแล้วขอรับ” ซือหมิงหยุดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “เรื่องที่จ้าวอี๋เหนียงเล่นชู้กับชุนฮัวจึงไม่ใช่เรื่องจริง แต่พ่อของเด็กในครรภ์ของชิวฮัวนั้นเป็นใคร แล้วทำไมนางถึงได้ใส่ร้ายจ้าวอี๋เหนียงด้วยละขอรับ?”
“หรือว่าเป็นนางที่ถูกจ้าวอี๋เหนียงย่ำยีแล้วไม่เหลียวแลจนกลายเป็นความคับแค้นใจ จึงได้ใส่ร้ายจ้าวอี๋เหนียงเพื่อล้างแค้น” ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่แข็งแรงหน้าตาดุดันอีกคนในห้องสันนิษฐาน
“ท่านองครักษ์เฉินกล่าวเป็นงิ้วไปได้” ชายวัยสี่สิบท่าทางเหมือนบัณฑิตทรงภูมิรู้ส่ายหน้า
“ว่าได้หรือท่านพ่อบ้านเหลียง ความแค้นของสตรีดูถูกไม่ได้เชียวนา” องครักษ์ซ้ายเฉินกุ่ยยังคงเชื่อมั่นต่อคำสันนิษฐานของตนเอง
“อาเฉิน เจ้าดูงิ้วมากเกินไปแล้วละมั้ง” ซือหมิงส่ายหน้าอย่างระอา
“พ่อบ้าน...เรื่องที่ให้ท่านตรวจสอบได้ความว่าอย่างไร?” ชินอ๋องถามขึ้นทำให้องครักษ์คนสนิททั้งสองต่างเงียบปาก
“เรียนท่านอ๋อง...ตั้งแต่วันสมรสของท่านอ๋อง พอรุ่งขึ้นท่านอ๋องไปพำนักที่ค่ายทหาร พระชายาตู้ก็ได้สั่งให้ชุนฮัวชิวฮัวสองสาวใช้ของจ้าวอี๋เหนียงมาอยู่ที่เรือนคนรับใช้ส่วนกลาง ทำงานชั้นต่ำทั่วไป ที่เรือนของจ้าวอี๋เหนียง จึงมีเพียงขันทีจางจงที่ติดตามมาแต่แคว้นเป่ยอยู่รับใช้เพียงผู้เดียวเท่านั้น ทรัพย์สินของมีค่าทั้งหลายของจ้าวอี๋เหนียงก็ถูกพระชายายึดเอาไปหมด ความเป็นอยู่ของอี๋เหนียงมิใคร่ดีนัก...เอ่อ...”
“ว่าไป” เสียงสั่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
“จ้าวอี๋เหนียงได้รับอาหารหยาบๆ เพียงวันละสองมื้อ หรือบางวันก็แค่มื้อเดียว จำนวนก็เพียงเล็กน้อยพอกันตายเท่านั้น”
ชินอ๋องมองพ่อบ้านเหลียงด้วยแววตาสงบเยือกเย็น...เรื่องราวเช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาคำนวณได้แต่แรก และเป็นสิ่งที่เขาต้องการให้มันเกิดขึ้นเอง เขาต้องการจะทรมานองค์ชายแคว้นเป่ยให้มากที่สุด ต้องการจะเหยียบย่ำหยามหยันแคว้นเป่ย ต้องการจะแก้แค้นให้กับเสด็จพี่รองที่เสียชีวิตในสนามรบด้วยฝีมือของคนแคว้นเป่ย ภาพเสด็จพี่รองถูกลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนเสียบราวกับขนเม่นกลางสมรภูมิยังติดตาฝังแน่นในใจของเขาอยู่ ถ้าจ้าวชิงเฟิงไม่ใช่ทูตที่นำของบรรณาการมาและเป็นของบรรณาการชิ้นหนึ่งด้วย เขาคงสั่งตัดหัวจ้าวชิงเฟิงไปตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว
คิดไม่ถึงว่าจ้าวชิงเฟิงจะเป็นคนคนเดียวกันกับผู้ที่เขาติดค้างน้ำใจมาห้าปี เป็นองค์ชายคนเดียวของแคว้นเป่ยที่เขาไม่คิดจะทำร้าย แต่เขาก็ได้ทำร้ายจ้าวชิงเฟิงไปนานถึงสามปีแล้ว
แรกที่แคว้นเป่ยส่งบรรณาการมา และฮ่องเต้พระราชทานองค์ชายแคว้นเป่ยที่เป็นหนึ่งในของบรรณาการให้เขา เขาคิดแต่จะเหยียดหยามอีกฝ่าย จึงแต่งตั้งให้เป็นอนุชายา และจงใจสมรสพระชายาในวันเดียวกัน
เขาสร้างเรื่องให้พระชายาชิงชังรังเกียจจ้าวชิงเฟิงโดยการไม่เข้าห้องหอกับพระชายาในคืนวันวิวาห์ และปล่อยข่าวว่าเขาไปหาจ้าวอี๋เหนียงแทน แต่ความเป็นจริงเขาไปนอนอยู่ที่ห้องหนังสือต่างหาก
พอเช้ารุ่งขึ้นเขาก็กลับไปค่ายทหาร ทิ้งปัญหาให้จ้าวชิงเฟิงถูกพระชายาเกลียดชังรังแก เพราะรู้ดีว่าสตรีนั้นมีความริษยามากมายขนาดไหน!
จากนั้นครั้นการศึกปะทุขึ้นใหม่ เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำสงครามจนตีแคว้นเป่ยแตกพ่าย กวาดจับเชลยที่เป็นราชวงศ์ทุกคนมาดูหน้าเพื่อค้นหาเด็กหนุ่มคนนั้น
แต่เขาจะพบได้อย่างไรในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นถูกทรมานอยู่ที่จวนของเขาเอง!
____________