พระชายาสารพัดพิษ
“อ๊า!” มู่หว่านซีกรีดร้องอย่างทรมาน ทำเอาชิงจู๋ที่อยู่ข้างกายพลันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
“คุณหนู เป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ?” ชิงจู๋คว้ามือมู่หว่านซีมาดู ถึงได้เห็นว่ามีเลือดออกมาหยดหนึ่ง ที่แท้คุณหนูของนางจิกมือตัวเองนั่นเอง
มู่หว่านซีมองชิงจู๋ที่อยู่ข้างกายอย่างแทบไม่อยากจะเชื่อ นางนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบยกมือขึ้นคลำดวงตาของตัวอย่างลนลาน แล้วก็พบว่าดวงตาของนางยังอยู่ เมื่อคลำที่หน้าท้องก็พบว่าแบนราบ นางดึงชิงจู๋มาดูให้ดี ๆ ก็พบว่านางไม่เป็นไร ทันใดนั้นน้ำตานางก็พลันไหลเอ่อออกมา
“คุณหนู เหตุใดถึงได้ร้องไห้เล่าเจ้าคะ เห็นคงจะเจ็บมากกระมัง ชิงจู๋เป่าให้นะเจ้าคะ เป่าหน่อยก็ไม่เจ็บแล้วเจ้าค่ะ” ชิงจู๋ค่อย ๆ เป่าแผลให้มู่หว่านซี ท่าทางที่จริงจังเช่นนั้นทำให้มู่หว่านซีรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ ในขณะที่ทุกคนทรยศหักหลังนาง มีเพียงชิงจู๋เท่านั้นที่ไม่ทอดทิ้งนางไปไหน ชิงจู๋ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้าได้อีก
ทันใดนั้น นางก็บังเอิญเหลือบไปเห็นงานเย็บปักในตะกร้า มู่หว่านซีหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความตกใจ นี่มันมิใช่ลายหมู่มวลบุปผชาติที่นางปักเองตอนอายุสิบสี่ ก่อนเข้าพิธีปักปิ่นมิใช่หรือ จุดเด่นที่งานปักชิ้นนี้ต้องการแสดงออกมิใช่ดอกไม้ หากแต่เป็นผีเสื้อ ฝีมือการเย็บปักของนางยอดเยี่ยมยิ่งนัก นางสามารถปักลายหลายลายให้อยู่ในภาพผืนเดียวกันได้
นางจดจำมันได้ดี เพราะชะตาชีวิตของนางเปลี่ยนไปก็เพราะภาพลายปักผืนนี้ ในวัยปักปิ่นนั้น เดิมทีชีวิตนางควรจะรุ่งโรจน์ก้าวหน้าด้วยฝีมือการเย็บปักของนาง แต่จู่ ๆ ชีวิตนางกลับต้องมาแปดเปื้อน และพบกับเหตุการณ์ไฟไหม้อย่างไม่คาดคิด ท่านแม่ของนางก็ได้สิ้นชีวิตไปด้วยเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ครั้งนั้นด้วยเช่นกัน! ส่วนนางก็ต้องสูญเสียความทรงจำ จนไปนับคนสารเลวมาเป็นแม่เพราะถูกทุกคนหลอก!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ และสวรรค์ก็นึกสงสารนางขึ้นมา ถึงได้ให้นางย้อนกลับมาในช่วงก่อนวัยปักปิ่นอีกครั้ง ให้นางได้กลับมาล้างแค้นด้วยมือของนางเอง! ความเคียดแค้นเจ็บลึกจนถึงกระดูกดำพลันปะทุขึ้นมา มู่เสวี่ยโหรว ซูผิง ซ่งอิงเจี๋ย ข้ากลับมาแล้ว!
ท่าทางดุดันน่ากลัวของมู่หว่านซี ทำเอาชิงจู๋สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ทว่าพอพินิจมองดี ๆ คุณหนูของตนก็กลับมาอยู่ในท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดังเดิม คุณหนูของนางยังทั้งงดงามพริ้มเพรา อ่อนโยนอ่อนหวาน ราวกับว่าวินาทีก่อนหน้านี้นางตาฝาดไปเองอย่างไรอย่างนั้น
มุมปากของมู่หว่านซีหยักยิ้มขึ้นแลดูชอบกล ก่อนจะค่อย ๆ วางงานผ้าปักลายลงเบา ๆ นางเอื้อมไปกุมมือชิงจู๋ไว้ “ชิงจู๋ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้าได้อีก”
“มีคุณหนูอยู่ ไม่มีใครทำร้ายข้าน้อยได้หรอกเจ้าค่ะ” ชิงจู๋กล่าวอย่างภาคภูมิใจ จนมิได้ใส่ใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของมู่หว่านซี “คุณหนูของข้าน้อยเป็นถึงบุตรีภรรยาเอกแห่งจวนเสนาบดีเชียวนะเจ้าคะ!”
มู่หว่านซีมองท่าทางภูมิอกภูมิใจของชิงจู๋แล้วก็มิได้เอ่ยคำใด นางหยิบงานผ้าปักลายผืนนั้นของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง หากนางจำไม่ผิดล่ะก็ เกรงว่าอีกไม่นานน้องสาวคนดีของนางก็จะมาเยี่ยมนางแล้ว
“พี่ใหญ่” น้ำเสียงร่าเริงของมู่เสวี่ยโหรวดังแว่วเข้ามาจากด้านนอก ใบหน้ามู่หว่านซีพลันฉายแววเกลียดชังเข้ากระดูกดำขึ้นมา ก่อนที่นางจะรีบกลบฝังมันไปในทันที
“พี่ใหญ่เจ้าคะ ท่านดูสิว่าน้องหาของดีอะไรมาให้ท่าน?” มู่เสวี่ยโหรวชูของในมือขึ้นมา แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีลำพองใจ “ท่านต้องตบรางวัลให้ข้าอย่างงามด้วยนะเจ้าคะ!”
“โหรวเอ๋อร์ ช้าลงหน่อย อย่าหกล้มไปเสียล่ะ” ชั่วขณะที่นางหันกลับมาหาอีกฝ่ายนั้น นางคลี่ยิ้มพร่างพราวดุจบุปผาอย่างแนบเนียน ไม่ให้ปรากฏความผิดปกติอันใดแม้แต่น้อย มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางกำหมัดแน่นเสียจนเลือดแทบไหลออกมาเลยทีเดียว
“พี่ใหญ่ ท่านรีบดูนี่สิเจ้าคะ ด้ายไหมนี้ข้ากับท่านแม่อุตส่าห์ตั้งใจไปหามาเชียวนะเจ้าคะ ท่านลองเอาไปดูใกล้ ๆ ตะเกียงสิเจ้าคะ” ทันใดนั้นนัยน์ตาของมู่เสวี่ยโหรวพลันฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา แววตาเช่นนั้นทำเอามู่หว่านซีอึ้งไปเล็กน้อย สายตาเจ้าเล่ห์ชัดเจนถึงเพียงนี้ แต่ตอนนั้นนางกลับดูไม่ออกเลย นางต้องหูหนวกตาบอดถึงเพียงไหนกัน!
“พี่ใหญ่เจ้าคะ” มู่เสวี่ยโหรวเห็นแววตาของมู่หว่านซีแล้วก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา นางมักจะรู้สึกว่าแววตาที่อีกฝ่ายมองนางนั้นน่ากลัวยิ่งนัก