พระชายาสารพัดพิษ
เถ้าแก่มองผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าทันใดนั้นเองแววตาเขาก็พลันปรากฏแววตกตะลึง ก่อนจะพลิกผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นดูอีกหลายรอบ เขาเป็นพ่อค้า เขาย่อมรู้ถึงมูลค่าที่ซ่อนอยู่ในนั้นเป็นอย่างดี “แม่นางโปรดรอสักครู่”
มู่หว่านซีพยักหน้าแล้วนั่งดื่มชารอในร้านอย่างเงียบ ๆ แม่นางจิ่นเป็นช่างเย็บปักในเรือนเย็บปักหนีฉางแห่งนี้ และนับว่าเป็นช่างเย็บปักที่มีฝีมือล้ำเลิศ นางจะต้องสนใจวิธีปักผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นแน่!
เพียงไม่นานเถ้าแก่ก็กลับออกมา โดยมีสตรีนางหนึ่งเดินตามหลังมาด้วย สตรีนางนั้นยังอ่อนวัยยิ่งนัก ไม่เหมือนกับที่มู่หว่านซีคิดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย “แม่นาง ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ ท่านเป็นคนปักเองหรือ?”
มู่หว่านซีพยักหน้า “ข้าเป็นคนปักเอง”
แม่นางจิ่นยิ้มบาง ๆ “แม่นาง มิสู้เราเข้าไปคุยกันข้างในเถิด”
“ขอบใจ”
เมื่อเข้าไปถึงด้านในเรือนเย็บปัก แม่นางจิ่นก็รินชาให้มู่หว่านซีถ้วยหนึ่ง มู่หว่านซีดื่มเข้าไปแล้วสายตาก็ฉายแววประหลาดใจ นางเคยดื่มชาชนิดนี้มาก่อน ตอนนั้นซ่งอิงเจี๋ยชนะศึกกลับมา ฝ่าบาทจึงพระราชทานใบชาแบบเดียวกันนี้มาห่อหนึ่ง นางดื่มไปได้แค่ครั้งเดียวก็ถูกมู่เสวี่ยโหรวขอไปเสียก่อน
“เกลียวหมอกควันสีเขียวดุจหยกงาม จับตัวเป็นระลอกกลั่นตัวราวมรกต ไม่เสียชื่อชาปี้เยียนชุ่ย ชาชั้นดี”
สายตาของแม่นางจิ่นพลันฉายแววประหลาดใจ “นึกไม่ถึงว่าแม่นางจะเป็นคนที่ชอบดื่มชาด้วยเช่นกัน”
“ไม่ถึงกับชอบหรอก แค่มีวาสนาเคยได้ดื่มก็เท่านั้นเอง” มู่หว่านซีเองก็ไม่อยากอ้อมค้อม นางจึงหยิบด้ายไหมที่มู่เสวี่ยโหรวมอบให้นางออกมา “ที่ข้ามาในครั้งนี้ก็มีเรื่องจะขอคำชี้แนะจากแม่นางจิ่น แม่นางเป็นช่างเย็บปักที่ฝีมือล้ำเลิศที่สุดในแคว้นตงสวิน จะต้องเคยเห็นด้ายไหมล้ำค้ามามากมายนับไม่ถ้วนเป็นแน่ ไม่ทราบว่าแม่นางเคยเห็นด้ายไหมนี้หรือไม่?”
แม่นางจิ่นรับด้ายไหมจากมู่หว่านซีมาพลิกดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะสั่งให้คนเอาตะเกียงน้ำมันมา แล้วส่องดูใกล้ ๆ ตะเกียง จากนั้นนัยน์ตาก็ฉายแววเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาในทันที “ด้ายไหมนี้เรียกว่าไหมนกเยวียนยาง เมื่อส่องดูใกล้ ๆ ไฟตะเกียงจะเปลี่ยนเป็นสีสันหลากสีอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นของหายากยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่ถูกทำลายไปเสียแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ด้ายไหมนี้ถูกแช่น้ำยา แม้ส่องดูใต้ไฟตะเกียงแล้วจะยังเปลี่ยนสีเหมือนเดิม แต่ไม่ถึงเจ็ดวันพอมาส่องดูอีกครั้งจะเห็นว่ามันกลายเป็นด้ายสกปรกโสโครก แม่นางไปซื้อด้ายไหมไม่ได้คุณภาพเช่นนี้มาจากที่ใดกัน? คนผู้นั้นคิดร้ายกับผู้อื่นชัด ๆ !” แม่นางจิ่นถามด้วยความสงสัย
มู่หว่านซีหัวเราะเฝื่อน ๆ “ข้าย่อมรู้ว่านางคิดจะทำร้ายข้า แต่ข้าจำต้องใช้ด้ายไหมนี้ แม่นางจิ่นพอจะช่วยข้าได้หรือไม่?”
แม่นางจิ่นมองมู่หว่านซีผู้นี้อยู่เนิ่นนานก่อนจะพยักหน้า “ได้ แต่ภายหน้าหากเป็นเรื่องที่ท่านสามารถทำได้ ท่านต้องทำเรื่องเรื่องหนึ่งให้ข้าเป็นการตอบแทน”
มู่หว่านซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า “ตกลง”
แม่นางจิ่นหยิบด้ายไหมนั้นไป “วันพรุ่ง ท่านค่อยมารับด้ายไหมที่นี่”
“ขอบใจท่านมาก”
“เถ้าแก่ ช่วยส่งแม่นางท่านนี้แทนข้าที” แม่นางจิ่นให้คนส่งมู่หว่านซีกลับไป ทว่าหลังจากนางจากไปแล้ว เงาร่างของคน ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในห้อง
“นายท่าน”
บุรุษผู้นั้นถือถ้วยชาไว้ในมือพลางอมยิ้มลุ่มลึก “ชาปี้เยียนชุ่ยนี้เป็นชาบรรณาการจากพ่อค้าชาวตะวันตก ใต้หล้านี้มีเพียงสองคนเท่านั้นที่มีมัน หนึ่งคนคือฝ่าบาท อีกหนึ่งคนคือข้า แต่นางกลับบอกว่านางเคยดื่มชานี้มาก่อน ช่างน่าสนใจยิ่งนัก”
“นายท่านมิใช่ควรบอกว่า ลายปักมิตินี้น่าสนใจหรอกหรือเจ้าคะ?” แม่นางจิ่นโบกผ้าเช็ดหน้าลายปักในมือไปมา บุรุษผู้นั้นรับไปแล้วพินิจมองลายดอกบัวบนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น เมื่อพิจมองจากคนละมุม ดอกบัวบนนั้นก็จะแย้มบานในลักษณะที่แตกต่างกัน ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริง ๆ
“เจ้าคิดว่าฝีมือเย็บปักของนางเป็นเช่นไร?”
“ข้าน้อยละอายใจนักที่ไม่อาจเทียบนางได้”
“ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน ข้าต้องการรู้เรื่องเกี่ยวกับนางทั้งหมด”
“เจ้าค่ะ”