พระชายาสารพัดพิษ
ทันทีที่มู่หว่านซีกลับมาถึงจวน ก็เห็นชิงจู๋เดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าประตูอย่างกระวนกระวายใจ พอเห็นมู่หว่านซีกลับมาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นางรีบเดินเข้าไปหามู่หว่านซี “คุณหนู ท่านกลับมาได้เสียที เมื่อครู่ท่านเสนาบดีส่งคนมาบอกว่าหากท่านกลับมาแล้วให้ท่านไปพบที่ห้องโถงด้านหน้าทันทีเจ้าค่ะ”
“ท่านพ่อข้านั้นหรือ?” มู่หว่านซีขมวดคิ้วเล็กน้อย นางเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองยังมีท่านพ่ออยู่อีกคน หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อ ทั้งชีวิตของนางคงไม่น่าอเนถอนาถถึงเพียงนั้น และคงไม่ถูกท่านป้าซูกับมู่เสวี่ยโหรวร่วมมือกันทำร้ายนาง จากนั้นก็ถูกบีบให้เอาชีวิตไปทิ้งอย่างไร้ค่าเช่นนั้นหรอก!
ทุกครั้งที่มองมู่หว่านซีกำลังพูดถึงท่านเสนาบดี นางมักจะรู้สึกว่าคุณหนูทำตัวชอบกล คล้ายว่ากำลังเย้ยหยัน ประชดเสียดสีก็ไม่เชิง ทำให้นางไม่เข้าใจยิ่งนัก
“คุณหนู!” ซิ่วเหอมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ามู่หว่านซี “คุณหนู เหตุใดท่านถึงยังอยู่ที่นี่อีก ท่านเสนาบดีกำลังรอท่านอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้านะเจ้าคะ”
ซิ่วเหอว่าแล้วก็เอื้อมมือไปลากตัวมู่หว่านซี ทว่าทันใดนั้นเองมู่หว่านซีที่สีหน้าสงบนิ่งก็ยกมือขึ้นฟาดฝ่ามือตบหน้าซิ่วเหอเต็มแรง
“บังอาจ!”
ซิ่วเหอถูกตบหน้าไปฉาดหนึ่ง ก็ยืนนิ่งงงอยู่พักใหญ่กว่าจะตั้งสติได้ ครั้นพอตั้งสติได้ก็ตวาดลั่นด้วยความเดือดดาล “ท่านกล้าตบข้างั้นหรือ!”
“เด็ก ๆ ” มู่หว่านซีเรียกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“คุณหนูใหญ่”
“ลากตัวนังบ่าวที่ทำผิดนี่ไปลงโทษ โบยหนัก ๆ สามสิบไม้!” มู่หว่านซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ สีหน้านางสงบนิ่งและเยือกเย็น ไม่มีวี่แววจะใจอ่อนแต่อย่างใด
ซิ่วเหอพลันอึ้งไปกว่าจะได้สติก็ผ่านไปครู่ใหญ่ “คุณหนูโปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูโปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยเพียงเกรงว่าคุณหนูจะไปช้าแล้วถูกท่านเสนาบดีตำหนิเท่านั้น ด้วยอารมณ์ร้อนใจถึงได้เสียกิริยาเช่นนี้ ขอคุณหนูโปรดละเว้นข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
มู่หว่านซีมองซิ่วเหอด้วยสายตาเย็นชา เมื่อคิดถึงเรื่องที่นาง ลวี่อิน กับชุ่ยฟูร่วมมือกับมู่เสวี่ยโหรวทำร้ายนางแล้ว ความเคียดแค้นในใจก็ปะทุขึ้นมาเกินจะข่มไว้ได้ “มัวยืนอึ้งอันใดอยู่ ยังไม่ลากนางออกไปอีก?”
“นี่มัน...” บ่าวรับใช้ในจวนต่างพากันมองมู่หว่านซีด้วยความข้องใจ มู่หว่านซีผู้นี้แต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนอ่อนแอยอมให้ผู้อื่นรังแกได้ง่าย ๆ อีกทั้งที่ผ่านมาก็ยังถูกใจสาวใช้นางนี้นักหนา แล้วเหตุใดจู่ ๆ ถึงได้จะโบยนางเสียเล่า?
“ทำไม หรือว่าบ่าวในจวนเสนาบดีนี้ล้วนแต่กล้ารังแกนายกันทุกคน จะให้ข้าเรียนท่านพ่อให้ขายพวกเจ้าทิ้งไปให้หมดทุกคนเลยดีหรือไม่!” มู่หว่านซีตวาดเสียงลั่น ทุกคนในที่นั้นพากันสะดุ้งเฮือกกันอยู่ในใจ แล้วอดเหลือบมองมู่หว่านซีอีกครั้งไม่ได้ พวกเขาชักรู้สึกว่าคุณหนูใหญ่เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปเป็นคนน่ากลัวยิ่งนัก
“คุณหนู” พอลวี่อินเข้ามาเห็นว่าซิ่วเหอกำลังจะถูกโบยก็รีบคุกเข่าลงทันที “คุณหนู ไม่ทราบว่าซิ่วเหอทำความผิดอันใดหรือเจ้าคะถึงทำให้คุณหนูโกรธ?”
มู่หว่านซีเหลือบมองลวี่อินด้วยสายตาเย็นชา ทว่าเพียงการเหลือบมองแวบหนึ่งนั้นกลับทำให้ลวี่อินอดสั่นเทิ้มไปทั้งตัวไม่ได้ นั่นมันสายตาแบบไหนกัน เย็นเยียบเสียจนไม่เห็นเยื่อใยความรู้สึกใด ๆ ราวกับสายตาที่ใช้มองคนตายอย่างไรอย่างนั้น คำวิงวอนขอร้องของลวี่อินจึงติดอยู่แค่ในลำคอ ไม่กล้าจะเอ่ยออกไป
“ยังไม่ลากนางออกไปอีก” ชิงจู๋ขึ้นเสียงตะคอกทันที “ทำไม หรือพวกเจ้าก็เป็นบ่าวกำเริบเสิบสานกล้ารังแกนายด้วยเหมือนกัน?”
“พวกข้าน้อยมิกล้า”
“ลวี่อิน ลวี่อิน เจ้ารีบช่วยขอร้องแทนข้าที ลวี่อิน...” เมื่อซิ่วเหอเห็นว่ามู่หว่านซีจะโบยตัวเองเข้าจริง ๆ ก็พลันเริ่มลนลาน
ลวี่อินยืนอยู่ด้านหลังมู่หว่านซีอย่างเชื่อฟัง “ซิ่วเหอ เจ้าทำให้คุณหนูโกรธก็ควรจะขอร้องขอคุณหนูเอง ข้าก็เป็นเพียงบ่าวไพร่ของคุณหนูเท่านั้น ไม่ว่าเรื่องใดข้าก็ต้องฟังคำสั่งคุณหนู”
“โบย!” มู่หว่านซีไม่รอให้ซิ่วเหอได้ขอร้องก็สั่งการเสียงแข็ง
พวกบ่าวไพร่เองก็ไม่สนใจแล้วเช่นกัน ในเมื่อเป็นคำสั่งของเจ้านาย พวกเขาเพียงฟังคำสั่งของเจ้านายก็เป็นใช้ได้ แม้คุณหนูใหญ่จะไม่เป็นที่โปรดปรานนัก แต่ถึงอย่างไรมารดาของนางก็เป็นนายหญิงของจวน ส่วนนางเองก็เป็นคุณหนูเรือนใหญ่ของจวนเสนาบดีแห่งนี้!
“อ๊า คุณหนูไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยผิดไปแล้ว” ซิ่วเหอร้องขอไม่หยุด “คุณหนูได้โปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยยอมแล้วเจ้าค่ะ ไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ...”