ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของพระเจ้า คือการปล่อยให้มนุษย์จมอยู่กับโชคชะตาอันเลวร้าย จนกระทั่งมนุษย์ตัดสินใจยอมรับความรักจากปีศาจ
ช่วงยามบ่ายของฤดูหนาว บรรยากาศสลัวๆ เล็กน้อย ลมหนาวแผ่ปกคลุมทั่วทุกสารทิศ ภาพได้ตัดปรากฏไปที่เมืองใหญ่แห่งหนึ่งรายล้อมไปด้วยบ้านเรือนและสถานที่ต่างๆมากมาย มีผู้คนมากมายอยู่ทั้งสองข้างทางต่างทำกิจกรรมตามประสาสังคมคนในเมือง รวมไปถึงการจุดไฟให้ความอบอุ่นและให้แสงสว่างตามบ้านเรือนและสถานที่ต่างๆ
ท่ามกลางการสัญจรไปมาทั้งคนเดินเท้าและคนควบรถม้านั้น มีบาทหลวงเฒ่าหนวดเครายาวกำลังควบรถม้าวิ่งผ่านถนนในเมืองใหญ่ โดยมีรถลากจูงขนาดค่อนข้างใหญ่ต้องใช้ม้าลากถึงสามตัว ที่รถลากจูงมีช่องกรงระบายอากาศข้างละสองด้าน แต่ละด้านถูกปิดด้วยผ้าสีดำบางไว้ บาทหลวงเฒ่าควบรถม้าอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาทั้งสองข้างทาง เขาสนใจเพียงเรื่องเดียวว่า ณ ตอนนี้เขาต้องรีบไปให้ถึงจุดหมายปลายทางโดยเร็ว เมื่อเขาควบรถม้าใกล้จะถึงที่หมาย สุดปลายทางของถนนที่ยาวเป็นทางตรงได้ปรากฏภาพมหาวิหารสูงใหญ่ตระหง่านอยู่กลางเมือง ตัวมหาวิหารทั้งหลังมีสีและลายเหมือนปูนเปลือย มีอาคารสูงตั้งคู่อยู่ตรงด้านหน้า ตัวอาคารหลักมีชั้นซ้อนกันสามชั้น มีหน้าต่างและหอสังเกตการณ์ขนาดใหญ่อยู่รอบๆ ทั้งอาคารสูงและอาคารหลักของมหาวิหาร มีหอคอยยอดแหลมสูงเด่นเป็นสง่า มีอาคารรองหลายอาคารตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวอาคารหลัก บาทหลวงควบรถม้าจนมาถึงหน้ามหาวิหาร ทหารศาสนจักรสองนายที่ยืนถือหอกอารักขาอยู่บริเวณนั้นนามว่าบิลลี่กับโทมัสก็ได้วิ่งตรงเข้ามาที่เขาในท่าแบกอาวุธ พวกเขาสวมเสื้อคอปกแขนยาวกางเกงขายาว ทั้งชุดมีสีขาวสลับแดงเป็นลายทางแนวตั้ง เมื่อทหารสองนายเดินมาถึงก็เปลี่ยนท่าเป็นเรียบอาวุธตามด้วยการพูดคุยกับบาทหลวง
“มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่ขอรับท่านบาทหลวง” โทมัสถามกับบาทหลวง
“ข้ารู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ข้ารบกวนให้เจ้าช่วยบังคับรถม้าไปที่ลานคลังเก็บของแทนข้าได้หรือเปล่า”
“ได้ขอรับท่านบาทหลวง” พูดจบบาทหลวงก็เปลี่ยนมานั่งตรงที่นั่งด้านข้างแล้วให้โทมัสขึ้นที่นั่งคนขับแทน
“จริงสิ…ใกล้ครบเวลาเข้าเวรของพวกข้าแล้ว ให้เวรกะต่อไปเข้าแทนเลยไหม” บิลลี่ถามกับโทมัส
“ทราบแล้ว ตามนี้ก็แล้วกัน” บิลลี่รับอาวุธจากโทมัสแล้วก็เดินจากไป
หลังจากนั้นโทมัสก็ได้บังคับรถม้าไปยังคลังเก็บของ เมื่อมาถึงแล้วทั้งสองคนลงจากรถม้าและเปิดประตูของรถลากจูงเพื่อที่จะถ่ายของและสัมภาระต่างๆ เอาไปเก็บในคลังเก็บของ แต่เมื่อเปิดออกมาปรากฏว่าข้างในนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ของสัมภาระ แต่มีคนซ่อนอยู่ในนั้นด้วยถึงสองคน
“ถึงแล้วนะ พวกเจ้าปลอดภัยแล้ว ออกมาได้แล้วนะ” บาทหลวงเรียกให้คนที่อยู่ข้างในออกมาจากรถลากจูง
คนทั้งสองคนเดินออกมาจากในรถลากจูง คนแรกเป็นหญิงสาว และคนที่สองเป็นหญิงชราซึ่งเป็นยายของหญิงสาวที่ร่างกายยังดูแข็งแรงดี พวกเขาทั้งสองต่างเข้าสวมกอดกันและกันด้วยความสบายใจ จากนั้นหญิงสาวก็ได้หันไปพูดกับบาทหลวงพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ
“ขอบคุณท่านบาทหลวงมากเลยนะคะ ถ้าไม่รังเกียจช่วยบอกชื่อของท่านให้ข้าและคุณยายทราบด้วยได้หรือไม่”
“ได้สิ ข้าชื่อนิโคลัส ข้าเป็นคนของศาสนจักรเขตการปกครองฝั่งแมรี่เวสต์ ส่วนชายผู้นี้เป็นทหารศาสนจักร...”
บาทหลวงนิโคลัสพูดยังไม่ทันจบ ทั้งสองคนรีบถอยห่างจากโทมัสทันที จากเดิมที่รู้สึกไม่ไว้ใจตั้งแต่แรกเห็นอยู่แล้ว แต่โทมัสก็ได้พยายามบอกให้ใจเย็นไว้ก่อนเพื่อให้พวกเขาสบายใจ
“ใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำอะไรพวกเจ้าหรอก ข้าแค่มาช่วยขับรถม้าให้ท่านบาทหลวงเท่านั้นเอง” ทั้งสองคนได้ยินโทมัสพูดเช่นนั้นจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและความรู้สึกกลัวก็ค่อยๆ หายไป
“ท่านบาทหลวง คนที่ท่านพามาด้วยเนี่ยเป็นผู้วิเศษหรืออาชญากรผู้กระทำผิดกฎหมายล่ะขอรับ?” โทมัสหันไปถามนิโคลัส
“พวกเขาไม่ใช่อาชญากร แต่พวกเขาเป็นผู้วิเศษ เจ้าก็ต้องเข้าใจนะว่าปกติแล้วพวกผู้วิเศษจะไม่ค่อยวางใจพวกคนของทางการกับทหารศาสนจักรซะเท่าไหร่”
“เรื่องนี้ข้าก็ชินแล้วขอรับ ก็เข้าใจนะว่าทางการกับศาสนจักรที่ช่วยเหลือผู้วิเศษมีค่อนข้างน้อยมาก พวกเขาก็เลยมองคนของทางการกับทหารศาสนจักรเป็นเหมือนผู้คุกคามมากกว่า”
เมื่อทั้งสองคนได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวก็ทำท่ายกมือขึ้นเพื่อจะขอแทรกคำถามระหว่างที่นิโคลัสสนทนาพูดสนทนากับโทมัส
“ท่านบาทหลวง เมื่อกี้ท่านได้บอกว่าพวกเราปลอดภัยแล้วใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้วล่ะ พวกเจ้ากังวลเรื่องอะไรงั้นรึ” นิโคลัสหันมาถามหญิงสาวต่อ
“ถ้าที่แห่งนี้เป็นที่ของศาสนจักรจริงๆ ข้าเกรงว่าที่แห่งนี้จะเป็นอันตรายกับผู้วิเศษอย่างข้ากับคุณยายค่ะ” หญิงสาวตอบกลับนิโคลัสด้วยสีหน้าที่เริ่มวิตกกังวล
“อย่าได้กังวลไปเลยแม่หนู ถึงจะเป็นที่ของศาสนจักร แต่ถึงกระนั้นศาสนจักรแห่งนี้ก็เลือกที่จะช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์โดยไม่แบ่งแยกว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ไหน จะเป็นคนธรรมดาหรือเป็นผู้วิเศษก็ตาม เพราะสำหรับที่แห่งนี้ทุกชีวิตล้วนมีค่าและสมควรได้รับความรักความเมตตาทั้งสิ้น” นิโคลัสพูดตอบกลับหญิงสาว
“เอ่อ...ถ้าทำแบบนั้นแล้ว ศาสนจักรแห่งนี้จะไม่ถูกสงสัยโดยคนของทางการกับประชาชนในเมืองหรอกหรือ” หญิงชราถามคำถามต่อจากหญิงสาว
“ไม่หรอก นอกจากทางศาสนจักรแล้ว ทางการของแมรี่เวสต์ก็เป็นหัวเรือใหญ่ในการสนับสนุนเรื่องนี้ด้วย” นิโคลัสพูดตอบกลับหญิงชรา
“อีกอย่างนึงการทำงานใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนจักรมักเป็นความลับ ผู้คนส่วนมากจึงไม่ค่อยได้รับรู้ขอรับ เพราะฉะนั้นถ้าทางการและทางศาสนจักรไม่เผยแพร่ข้อมูลออกไปว่าใครเป็นผู้วิเศษบ้าง พวกผู้วิเศษก็สามารถใช้ชีวิตกลมกลืนไปกับคนทั่วไปได้ขอรับ” โทมัสพูดเสริมต่อจากนิโคลัส เพื่อช่วยตอบคำถามหญิงชราด้วย
หลังจากที่ทั้งสี่คนพูดคุยกันได้พอสมควรก็ได้ช่วยกันถ่ายของสัมภาระออกจากรถลากจูงเพื่อเอาไปเก็บตามจุดต่างๆ ของคลังเก็บของ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนิโคลัสจึงขอให้โทมัสจัดแจงรถม้าให้พร้อมเพื่อเตรียมที่จะใช้งานต่อในทันที
“เดี๋ยวข้าจะต้องไปสถานที่อีกที่หนึ่งก่อน ฝากเจ้าช่วยควบรถม้าไปส่งข้ากับทั้งสองคนนี้ด้วยก็แล้วกัน”
“ทราบแล้วขอรับ”
จากนั้นโทมัสก็ขึ้นที่นั่งคนขับและตรวจดูความเรียบร้อยทุกอย่าง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนิโคลัสก็ขึ้นไปตรงที่นั่งใกล้ๆ กับที่นั่งคนขับและเรียกให้หญิงสาวกับหญิงชราเข้าไปในตู้รถลากจูงเพื่อไปยังสถานที่ต่อไป
“เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งสองเข้าไปข้างในนี้เลย ข้าจะต้องพาไปที่สถานที่ที่หนึ่งก่อน” นิโคลัสบอกกับหญิงสาวและหญิงชรา แม้จะรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง แต่ทั้งสองคนก็ได้พยักหน้าตกลงแล้วทำตามที่นิโคลัสบอก
รถม้าใช้เวลาได้ไม่นานก็ไปถึงชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิหารมากนัก ชุมชนแห่งนี้มีพื้นที่มากพอที่จะรับคนจำนวนมากได้ ที่ป้ายทางเข้ามีข้อความเขียนไว้ว่าศูนย์เปิดรับคนเข้าเมืองและผู้อพยพภายใต้อำนาจของศาสนจักรแห่งแมรี่เวสต์ เมื่อนำรถม้าไปที่ลานจอดรถม้าแล้วนิโคลัสจึงลงจากรถม้าแล้วไปเปิดตู้รถลากจูงให้หญิงสาวและหญิงชราได้เดินออกมาและบอกให้โทมัสไปเอาหญ้าที่อยู่ใกล้ๆ ลานจอดรถม้าให้ม้าได้กินและให้มันได้พักหลังจากที่ใช้งานมันอยู่พอสมควร โทมัสทยอยเอาหญ้าและน้ำให้ม้าได้กินจนเข้าใจว่าเพียงพอสำหรับม้าแล้วก็ขอตัวกลับไปพักผ่อน แต่ก่อนจะได้ไปนิโคลัสได้ยื่นถุงใบหนึ่งให้กับโทมัส
“รับเงินถุงนี้ไว้เถอะ ถือซะว่าเป็นค่าเหนื่อยที่เจ้าช่วยงานข้านะ” นิโคลัสยื่นเงินถุงให้โทมัสเพื่อเป็นการขอบคุณ
“ขอบคุณมากเลยขอรับท่านบาทหลวง เสร็จงานแล้วข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”
โทมัสรับเงินไว้ด้วยความขอบคุณและได้เดินจากไป การเดินจากชุมชนแห่งนี้ไปยังมหาวิหารก็เหมือนเป็นการออกกำลังกายเล็กน้อยสำหรับทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดีเช่นเขา
นิโคลัสไม่รอช้ารีบพาหญิงสาวกับหญิงชราไปที่ทางเข้าชุมชนทันที ทั้งสามคนเดินมาหยุดอยู่ตรงที่หน้าอาคารขนาดเล็กสองชั้นที่มีทหารศาสนจักรสองนายยืนเฝ้ายามอยู่ บาทหลวงเฒ่าบอกกับทหารนายนั้นว่ามาทำธุระเรื่องการรับคนต่างถิ่นเข้ามาในเมืองนี้ ทหารศาสนจักรที่ยืนเฝ้ายามเห็นว่าข้างในคิวว่างพอดีจึงให้นิโคลัสกับหญิงทั้งสองคนเข้าไปทำธุระได้ในทันที ข้างในอาคารมีบาทหลวงอยู่สองคนและเจ้าหน้าที่ของทางการอีกสองคนกำลังนั่งตรวจเอกสารอะไรบางอย่างที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ บาทหลวงหนุ่มที่นั่งทำงานอยู่ด้วยกันเขาหันไปเห็นนิโคลัสเดินเข้ามาพอดี เขาจึงกล่าวทักทักทายบาทหลวงสูงอายุด้วยความนอบน้อม
“ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ข้าช่วยหรือขอรับคุณนิโคลัส”
“ขอโทษด้วยนะที่ต้องรบกวนเจ้าในเวลานี้ พอดีข้าพาคนจากเขตการปกครองอื่นเข้ามาในแมรี่เวสต์ เลยอยากให้เจ้าช่วยทำธุรการเรื่องคนเข้าเมืองกับผู้อพยพหน่อย”
“อ๋อ ไม่มีปัญหา งั้นท่านช่วยพาทั้งสองคนนี้ไปที่ห้องซักประวัติด้วยนะขอรับ เดี๋ยวข้าจะรับผิดชอบงานซักประวัติเอง”
พูดจบบาทหลวงหนุ่มก็ลุกจากโต๊ะเอกสารและให้นิโคลัสกับหญิงสาวและหญิงชราเดินตามมาจนไปถึงห้องเล็กๆ ที่ข้างในมีเอกสารที่ถูกจัดเก็บไว้อย่างเรียบร้อย มีโต๊ะแถวยาวที่ใช้สอยได้สองคนพร้อมด้วยกระดาษ ปากกาและที่ใส่น้ำหมึกสำหรับเติม บาทหลวงหนุ่มนั่งลงตรงฟากหนึ่งของโต๊ะยาวและให้หญิงทั้งสองคนนั่งลงเพื่อเตรียมการซักประวัติ ส่วนนิโคลัสเขายืนประกบหญิงสาวกับหญิงชราเพื่อช่วยให้ข้อมูลในการซักประวัติ บาทหลวงหนุ่มเริ่มการซักประวัติโดยการถามชื่อ ถิ่นที่อยู่เดิม และสถานะตัวตนหญิงสาวกับหญิงชรา หญิงสาวมีชื่อว่าโซเฟีย ส่วนหญิงชรามีชื่อว่ามากาเร็ต ทั้งสองคนเดิมมีถิ่นที่อยู่ในเขตการปกครองฝั่งแมรี่นอร์ธ สถานะตัวตนของทั้งสองคนเป็นผู้วิเศษด้วยกันทั้งคู่ โซเฟียชำนาญการใช้เวทมนต์ควบคู่กับการปรุงยา ส่วนมากาเร็ตชำนาญการใช้เวทมนต์ควบคู่กับการเกษตร บาทหลวงหนุ่มเห็นมากาเร็ตดูแข็งแรงดีมากเมื่อเทียบกับหญิงชราคนอื่นๆ ที่วัยไล่เลี่ยกัน นางจึงบอกว่าตนเป็นคนที่ดูแลสุขภาพและส่วนหนึ่งก็เคยรับประทานยาที่โซเฟียช่วยปรุงให้ด้วย มากาเร็ตเล่าว่าหลานสาวของตนปรุงยาเก่งมากถึงขนาดที่ว่ายาของนางสามารถยื้อชีวิตให้ปลอดภัยหรือทำให้ถึงตายเลยก็ยังได้ บาทหลวงหนุ่มที่ซักประวัติอยู่ก็รู้สึกสนใจในสิ่งที่หญิงชราเล่าให้ฟัง เขาหันไปถามนิโคลัสเพื่อฟังข้อมูลเพิ่มเติมเผื่อว่าบาทหลวงเฒ่าผู้นี้อาจจะได้เห็นในสิ่งที่มากาเร็ตได้เล่าไว้
“คุณนิโคลัส ตอนที่คุณได้พบกับทั้งสองคนนี้ คุณได้เห็นในสิ่งที่หญิงชราผู้นี้ได้เล่าไว้หรือเปล่าขอรับ”
“อืม…ข้าเห็น ข้าเจอสองคนนี้ในหมู่บ้านที่ข้าไปช่วยพัฒนาชุมชนและคนในพื้นที่เล่าว่าช่วงที่หญิงสองคนนี้หลบหนีมาจากชานเมืองฝั่งแมรี่นอร์ธ พวกนางได้ช่วยงานในหมู่บ้านได้ดีมาก โดยเฉพาะโซเฟียที่เก่งเรื่องปรุงยาได้ช่วยเหลือคนเจ็บไข้ได้ป่วยจนอาการดีขึ้นและกลับมาแข็งแรงทุกราย นางยังใช้ความรู้สอนผู้วิเศษในหมู่บ้านในการปรุงยาให้ชำนาญขึ้นด้วย”
“น่าเสียดายจริงๆนะ เก่งและมีความรู้ขนาดนี้ยังต้องหลบหนีการถูกตามล่าเพียงเพราะเป็นผู้วิเศษนี่แหละ”
บาทหลวงหันมาถามโซเฟียกับมากาเร็ตเพื่อซักประวัติต่อ จึงได้ข้อมูลเพิ่มว่าที่หญิงสาวกับหญิงชราตัดสินใจเดินทางมากับนิโคลัสเพราะนิโคลัสเป็นคนเสนอเองว่าจะเขาจะให้ความช่วยเหลือพวกเขาทั้งสองและสัญญาว่าจะปิดบังตัวตนไว้โดยที่พวกนางไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตามไล่ล่า อีกประการคือหมู่บ้านที่นิโคลัสไปช่วยพัฒนานั้นมีพื้นที่ไม่ใหญ่มากนักและอยู่ไม่ไกลจากชานเมืองฝั่งแมรี่นอร์ธด้วย หากคนของทางการแมรี่นอร์ธเข้ามาสำรวจ หญิงทั้งสองคนนี้ที่ไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้มาแต่เดิมอาจถูกพบตัวและถูกจับตัวไปได้ หมายความว่าการที่หญิงทั้งสองคนนี้ร่วมเดินทางไปกับบาทหลวงเฒ่าจึงเป็นเพียงทางเดียวที่พวกนางจะปลอดภัยมากกว่าจะมีทางเลือกในการตัดสินใจ
บาทหลวงหนุ่มทำการซักประวัติของโซเฟียกับมากาเร็ตจนมาถึงคำถามสุดท้าย ซึ่งอาจเป็นข้อที่สำคัญกว่าทุกคำถามที่ได้ถามไป เขาหันมามองนิโคลัสในช่วงสั้นๆ บาทหลวงเฒ่าไม่ได้พูดอะไรนอกจากพยักหน้าตอบกลับไป บาทหลวงหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงหันสายตากลับมามองหน้าหญิงทั้งสองคนและเริ่มถามคำถามสุดท้าย
“คุณโซเฟีย คุณมากาเร็ต คุณทั้งสองนับถือเทพเจ้าหรือศาสนาอะไรขอรับ”
ทั้งคู่ได้ยินคำถามก็นิ่งไป แต่ด้วยความจำเป็นแก่การซักประวัติจึงต้องตอบคำถามแก่บาทหลวงหนุ่ม หญิงสาวตอบออกไปว่าตนกับหญิงชราต่างนับถือเทพเจ้าแห่งป่าไม้กับผืนดิน บาทหลวงหนุ่มจดบันทึกการซักประวัติเสร็จเขาก็หันสายตามาทางนิโคลัสอีกครั้งพร้อมพูดประโยคสั้นๆ ที่บาทหลวงเฒ่าได้ยินแล้วก็เข้าใจในทันที
“คุณนิโคลัส พวกเราเจอของร้อนอีกแล้วนะขอรับ”
“ใช่…ไฟย่อมเป็นอันตรายต่อป่าไม้เสมอ สองสิ่งนี้ไม่ควรมาบรรจบกัน”
โซเฟียกับมากาเร็ตเมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างก็ถอนหายใจเบาๆ และได้แต่นั่งก้มหน้าราวกับว่าทั้งสองคนต่างเข้าใจในสิ่งที่บาทหลวงได้พูดออกไป สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือหญิงสาวกับหญิงชรามีท่าทีกังวลมากกว่าบาทหลวงนัก นิโคลัสเห็นถึงความไม่สบายใจจึงเข้าไปปลอบทั้งสองคนแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พร้อมกับบอกว่าตอนนี้ทั้งคู่ปลอดภัยแล้ว ส่วนบาทหลวงหนุ่มที่เห็นเช่นนั้นเขาก็รีบเอ่ยคำขอโทษในทันทีพร้อมบอกว่าตนไม่ได้ตั้งใจพูดให้หญิงสาวกับหญิงชราเกิดความกังวลและไม่สบายใจ
การซักประวัติเสร็จสิ้นเรียบร้อย บาทหลวงหนุ่มใช้ปากกาลงลายเซ็นเพื่อให้เอกสารนั้นสมบูรณ์ เขาลุกจากที่นั่งพร้อมกับถือเอกสารแผ่นดังกล่าวเดินออกไปจากห้องซักประวัติ นิโคลัสเห็นว่าธุระตรงนี้เสร็จสิ้นแล้วจึงพาโซเฟียกับมากาเร็ตเดินตามออกไป เมื่อเดินออกมาจากห้องซักประวัติ นิโคลัสก็ได้สังเกตเห็นบาทหลวงหนุ่มยืนคุยกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่งอยู่ เขาทราบดีว่าชายคนนั้นเป็นใคร จึงได้เอ่ยเรียกชื่อของเขาไป
“ท่านบิชอปโจเซฟ…”
“อ้าว…นิโคลัส สบายดีไหม แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่รึ?”
“สบายดีขอรับ” นิโคลัสตอบกลับพร้อมกับแสดงความเคารพโดยการโค้งคำนับ “ข้าพาผู้วิเศษจากเขตการปกครองอื่นมาทำเรื่องขอเข้าเมืองที่นี่ขอรับ”
“พวกนางมาจากเขตการปกครองไหนรึ แล้วเจ้าเจอกับพวกนางได้อย่างไร?”
“แมรี่นอร์ธขอรับ ข้าเจอโดยบังเอิญที่หมู่บ้านแถบนอกเมืองหลวง ตอนนั้นพวกนางหลบหนีและซ่อนตัวจากการถูกคนของทางการตามล่าขอรับ”
โจเซฟพยักหน้าเบาๆ ให้กับคำตอบของบาทหลวงเฒ่า จังหวะนั้นบาทหลวงหนุ่มยกมือขึ้นแทรกเพื่อที่จะพูดกับโจเซฟ
“เอ่อ...ท่านโจเซฟ ไหนๆ ท่านก็อยู่ที่นี่แล้ว ท่านช่วยเซ็นรับรองเอกสารธุรการกับใบซักประวัติของตรงนี้เลยได้ไหมขอรับ” บาทหลวงหนุ่มพูดขออนุญาตพร้อมยื่นเอกสารธุรการกับใบซักประวัติของหญิงทั้งสองคนให้กับโจเซฟ
“อ๋อ ได้สิ เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
โจเซฟรับเอกสารไว้และเซ็นรับรองจนครบถ้วน เขาหยิบสมุดบันทึกสีน้ำตาลออกมาจากย่ามและจดข้อมูลเท่าที่จำเป็นของโซเฟียกับมากาเร็ต โดยดูจากในเอกสารที่ได้เซ็นรับรองไว้ เมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อยเขาจึงหันไปพูดกับนิโคลัสต่อในทันที
“จริงด้วยสิ...ข้าจะกลับเข้าไปทำธุระต่อในศูนย์ ส่วนหญิงทั้งสองคนนี้ข้าจะพาพวกนางไปยังที่พักเอง เจ้าเองก็กลับไปพักผ่อนได้แล้วนิโคลัส”
“ทราบแล้วขอรับท่านโจเซฟ”
นิโคลัสหันหน้าไปยังโซเฟียกับมากาเร็ตพร้อมกับอวยพรขอให้ทั้งสองคนโชคดี หญิงทั้งสองกล่าวขอบคุณบาทหลวงเฒ่าที่ช่วยชีวิตพวกนางไว้ แล้วบาทหลวงเฒ่าก็ได้เดินจากไป
หลังจากกล่าวคำขอบคุณกันเสร็จเรียบร้อย โจเซฟก็บอกให้โซเฟียกับมากาเร็ตเดินตามเขาไป เพื่อที่จะได้พาไปส่ง ณ ที่พักภายในศูนย์ พร้อมกับชวนทั้งสองคนพูดคุยกันระหว่างที่เดินไปพลางๆ สองข้างทางที่พวกเขาเดินผ่านมีชุมชนเล็กๆ ตั้งอยู่มากมาย มีผู้คนมากหน้าหลายตาพักอาศัยและทำงานอยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วย
“จากที่ข้าดูข้อมูลในเอกสาร เจ้าถนัดเรื่องการปรุงยา ส่วนคุณยายของเจ้าถนัดเรื่องการปลูกผักผลไม้สินะ”
“ใช่ค่ะ จริงๆ แล้วคุณยายปรุงยาเก่งนะ และแกเป็นคนสอนศาสตร์ความรู้ด้านนี้ให้กับข้าด้วย”
“โอ้โห...เป็นความจริงรึคุณมากาเร็ต”
“ใช่แล้วล่ะท่าน แต่โซเฟียหลานข้าน่ะเป็นเด็กหัวดี นางเลยเป็นคนเก่งนะ แต่ถึงนางจะพูดแบบนั้นก็เถอะเรื่องนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับการสอนของแม่แกด้วยนะโซเฟีย ส่วนใหญ่ข้าจะสอนเจ้าเรื่องการปลูกพืชปลูกสมุนไพรมากกว่าน่ะ”
“นึกว่าวันนี้คุณยายจะไม่ค่อยพูดอะไรแล้วซะอีก แต่ก็นะ...พอคุณยายพูดถึงแม่แล้ว ข้าก็อดคิดถึงท่านไม่ได้จริงๆ”
โจเซฟได้ยินคำพูดของโซเฟียที่ได้พูดถึงแม่ จึงถามแทรกขึ้นมาด้วยความสงสัย
“แม่หนู....ที่บอกว่าคิดถึงแม่เนี่ย เกิดอะไรขึ้นกับแม่ของเจ้างั้นรึ?”
“ตอนที่คนของทางการแมรี่นอร์ธไล่ล่า พ่อกับแม่ข้ารู้ตัวว่าไม่มีทางหนีการตามล่าได้ทัน ท่านจึงได้พยายามถ่วงเวลาให้ข้ากับคุณยายหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ สุดท้ายแล้วพวกท่านก็.....”
“คงถูกคนพวกนั้นฆ่าแล้วสินะ....”
“อืม....ถึงตอนนั้นพวกข้าจะหนีไปได้ไกลแล้ว แต่ข้ากับคุณยายที่เป็นผู้วิเศษเหมือนกับแม่ก็สัมผัสถึงพลังชีวิตของแม่ไม่ได้อีกแล้ว” โซเฟียพูดกับโจเซฟพร้อมกับก้มหน้าเล็กน้อยและมีสีหน้าที่เหมือนพยายามเก็บความเศร้าอยู่
“ข้าเสียใจกับทั้งสองคนด้วยนะ แม่หนู...ข้าขอให้ดวงวิญญาณแม่กับพ่อของเจ้าไปสู่สุคติ”
โซเฟียได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวขอบคุณโจเซฟ มากาเร็ตที่เห็นว่าบทสนทนาตอนนี้เริ่มจะดูหม่นหมอง จึงได้เปลี่ยนเรื่องคุยกับโจเซฟและโซเฟียในทันที...
“ช่วงที่เราเดินไปพลางคุยไปพลาง ข้าเห็นชุมชนย่อมๆ ตั้งอยู่เยอะแยะเลย ช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิว่าที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง”
“อ๋อ...คืออย่างนี้นะคุณมากาเร็ต ที่ศูนย์แห่งนี้นอกจากจะเปิดรับผู้อพยพจากที่ต่างๆแล้ว ยังมีชุมชนเป็นทั้งที่พักและที่ทำงานของผู้คนแต่ละสายอาชีพตามความถนัดด้วย อย่างเช่นที่เราเห็นอยู่ตอนนี้เป็นชุมชนที่ทำงานต่างๆ เกี่ยวกับปศุสัตว์ อีกฟากหนึ่งก็เป็นชุมชนที่ทำข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ รวมถึงอุปกรณ์การเกษตรด้วย”
“อืม…ข้าคิดว่ามันดูเป็นระเบียบเรียบร้อยและทัศนียภาพก็สวยงามดีนะ”
หญิงสาวและหญิงชราเดินไปพลาง มองดูสิ่งต่างๆ ระหว่างทางด้วยความเพลิดเพลิน โจเชฟเห็นทั้งสองคนแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าบรรยากาศเหมือนผู้ใหญ่กำลังนำทางเด็กน้อยไปยังบ้านหลังใหม่ ผู้คนในชุมชนเมื่อเห็นโจเซฟเดินผ่านมาต่างก็โค้งคำนับแสดงความเคารพบิชอปผู้นี้ พร้อมกับโบกมือทักทายโซเฟียกับมากาเร็ต ราวกับเป็นการต้อนรับเพื่อนบ้านคนใหม่ที่จะเข้ามาอยู่ในชุมชนแห่งนี้ด้วย
“เอ่อ…ท่านโจเซฟ งั้นที่นี่ก็คงมีชุมชนอาชีพเกษตรกรกับอาชีพปรุงยาด้วยใช่ไหมคะ?” โซเฟียถามโจเซฟ
“ใช่แล้วล่ะแม่หนู”
“คือว่าพวกเราเดินมาได้สักพักแล้ว ทางก็เริ่มไกลจากทางเข้าชุมชนแล้วด้วย”
“สบายใจได้เลย อีกแป๊บเดียวก็ถึงแล้วแหละ”
หลังจบการสนทนาและเดินต่อไปได้อีกไม่ไกลเท่าไหร่ ทั้งสามคนก็มาถึงชุมชนที่อยู่ท้ายสุดภายในศูนย์ คือชุมชนของอาชีพเกษตรกรและอาชีพปรุงยา พื้นที่ของชุมชนแห่งนี้มีพื้นที่และแหล่งน้ำที่กว้างกว่าและอุดมสมบูรณ์กว่าชุมชนอื่นๆ และมีความหลากหลายทางพืชพรรณชีวภาพด้วย โซเฟียกับมากาเร็ตเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็เกิดความตื่นเต้นและหายเหนื่อยในทันที ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ช่วยให้พวกเขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง
โจเซฟพาโซเฟียกับมากาเร็ตมาส่งยังที่พัก สักพักก็มีผู้หญิงผิวสีแทน ร่างบาง ผมหยักศก เดินเข้ามาทำความเคารพโจเซฟและหญิงทั้งสองคนอย่างเป็นมิตร
“ท่านโจเซฟ ไม่ทราบว่าสาวน้อยผมแดงกับคุณยายคนนี้เขาเป็นใครเหรอ…”
“สองคนนี้เป็นผู้วิเศษที่ลี้ภัยมาจากแมรี่นอร์ธน่ะ แม่หนูผมแดงคนนี้ชื่อโซเฟีย นับแต่วันนี้เป็นต้นไปนางจะเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะนักปรุงยา ฝากดูแลเขาด้วยล่ะ”
“โถ่พระเจ้าช่วย เสื้อผ้าเนื้อตัวมอมแมมเชียว ข้าชื่อเยเรน่า ข้าก็เป็นผู้วิเศษเหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะโซเฟีย”
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักเช่นกันค่ะ” โซเฟียตอบกลับเยเรน่าพร้อมด้วยสีหน้ายิ้มอ่อน เยเรน่าก็กุมมือทั้งสองข้างของโซเฟียแล้วเขย่าเบาๆ อันเป็นการแสดงความเป็นมิตร
“อยู่กับข้าเจ้าคิดซะว่าข้าคือพี่สาวใจดีก็แล้วกันเนอะ คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นเหมือนครอบครัวและเพื่อนบ้านที่อบอุ่นนี่แหละ เอาล่ะ เดี๋ยวข้าพาเจ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ที่นี่มีเสื้อผ้าและของใช้พร้อมสำหรับรับผู้อพยพที่เข้ามาใหม่เสมอ”
โซเฟียพยักหน้าตอบรับคำพูดของเยเรน่า แต่ก่อนจะเข้าที่พักเขาได้ถามกับโจเซฟว่ามากาเร็ตคุณยายของเขาจะไปเข้าพักที่ไหน โจเซฟตอบกลับว่าชุมชนเกษตรกรรมกับชุมชนอาชีพปรุงยาอยู่ใกล้กันมาก ทั้งสองคนสามารถไปเยี่ยมเยียนกันได้ทุกเมื่อ บางช่วงในเวลาทำงานก็ทำงานร่วมกันด้วย ทั้งคู่เข้ากอดกันก่อนที่โจเซฟจะพามากาเร็ตไปส่งยังที่พัก หญิงชราหันมามองหน้าหลานสาวแล้วพูดว่า…..
“ถ้าเจ้าคิดถึงข้าเมื่อไหร่ ก็มาเยี่ยมได้เสมอนะหลานรัก” มากาเร็ตบอกกับโซเฟียพร้อมกับทำหน้ายิ้มกวนๆ เล็กน้อย
“เข้าใจแล้วๆ คุณยายเนี่ยยังยิ้มไม่เก่งเท่าคุณแม่นะคะ”
ทั้งสองคนต่างหัวเราะให้กันเล็กน้อย แล้วจากนั้นโซเฟียก็เข้าที่พักไปพร้อมกับเยเรน่า ส่วนโจเซฟพามากาเร็ตไปส่งยังที่พักที่อยู่ไม่ใกล้กัน เมื่อโจเซฟทำหน้าที่ตรงนี้เสร็จแล้วเขาจึงเดินกลับไปยังหน้าทางเข้าศูนย์เพื่อหารถม้าเดินทางกลับไปยังมหาวิหาร ขณะที่กำลังเดินกลับเขาได้สังเกตเห็นทหารศาสนจักรนายหนึ่งควบม้าตรงมาหาเขา ทั้งที่ๆ ภายในศูนย์ไม่ได้มีเส้นทางที่ไกลเกินไปจนต้องใช้ม้าเดินทางเข้ามา เห็นดังนั้นบิชอปผู้นี้จึงรู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องเร่งด่วนหรือข่าวสารที่สำคัญแน่ๆ จากนั้นทหารศาสนจักรก็รีบลงจากหลังม้าแล้วทำความเคารพโจเซฟ พร้อมกับแจ้งข่าวสำคัญให้ทราบ
“ท่านโจเซฟ...มีข่าวสำคัญจากทางศาสนจักร ท่านอาร์ชบิชอปต้องการให้ท่านเข้าพบเป็นการเร่งด่วนขอรับ”
“คงเป็นเรื่องนั้นสินะ…”
“ใช่แล้วขอรับ ขอแสดงความยินดีด้วยท่านโจเซฟ”
“ขอบใจมาก งั้นเจ้ารีบพาข้าไปส่งยังที่พักของบิชอปก่อน ข้าจะไปเตรียมตัวให้พร้อม แล้วรีบเข้าพบท่านอาร์ชบิชอปเลย”
“ทราบแล้วขอรับ ท่านขึ้นหลังม้าได้เลย ข้าจะรีบพาไปส่งขอรับ” จากนั้นทหารศาสนจักรก็รีบควบม้าวิ่งออกจากศูนย์ไปอย่างรวดร็ว
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ณ ห้องทำงานของอาร์ชบิชอปในมหาวิหาร บิชอปผู้หนึ่งกำลังพูดคุยกับชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า เขาคืออาร์ชบิชอปผู้มีอาวุโสสูงสุดในศาสนจักรฝั่งแมรี่เวสต์นามว่าปีเตอร์
“นี่คือเอกสารผลคะแนนเลือกตั้งอย่างเป็นทางการขอรับท่านอาร์ชบิชอป” ปีเตอร์รับเอกสารไว้ เขาเปิดดูเนื้อหาในเอกสารคร่าวๆ และเซ็นรับรองเอกสารฉบับนั้น
“อืม…เห็นชื่อของอันดับหนึ่งแล้ว ข้าไม่แปลกใจเลยที่เขาได้รับคะแนนเลือกตั้งที่สูงขนาดนี้ แล้วเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าคิดเห็นเหมือนท่านขอรับ หลายครั้งที่งานต่างๆ ของมือขวาคนก่อนสำเร็จไปได้ด้วยดีเพราะมีเขาคนนั้นคอยช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระด้วยขอรับ”
“ใช่…ตั้งแต่มือขวาคนก่อนสุขภาพย่ำแย่ลงจนถึงคราวเสียชีวิต เขาผู้นั้นก็ช่วยบริหารงานของศาสนจักรเป็นอย่างดีและดูแลเอาใจใส่ผู้คนมาโดยตลอด แถมมือขวาคนก่อนทั้งชื่นชมและภูมิใจในตัวเขาด้วย ข้าคิดว่าเหมาะสมแล้วที่จะได้รับตำแหน่งมือขวาคนต่อไป”
“แต่จะว่าไปนะท่านอาร์ชบิชอป ทุกวันนี้ข้ายังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมมือขวาคนก่อนถึงหันมาใช้สมุนไพรหอมชนิดอื่น ทั้งๆ ที่มันมีฤทธิ์ที่รุนแรงและทำให้เสพติดง่าย จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเสียชีวิตเพราะใช้สมุนไพรหอมชนิดนั้นเกินขนาดด้วย”
“ข้าเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น รู้แค่ว่าเจ้าสมุนไพรชนิดนี้มีทั้งกลิ่นที่หอมกว่าและช่วยบรรเทาความเครียดพร้อมกับทำให้ร่างกายสดชื่นได้ดีด้วย แต่ในเมื่อผลข้างเคียงเป็นอันตรายขนาดนี้ ข้าก็ได้สั่งให้ยกเลิกการใช้สมุนไพรหอมตัวนี้แล้วล่ะ และฝากโจเซฟกำชับพวกอาชีพปรุงยาแล้วด้วยว่าให้ใช้มันเพื่อศึกษาความรู้ก็พอ”
ระหว่างที่ทั้งสองคนพี่พูดคุยกันอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะการสนทนา อาร์ชบิชอปอนุญาตให้เข้ามาได้ ซึ่งคนที่เปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานนั้นคือทหารศาสนจักรนายเดียวกับคนที่ควบม้าไปหาโจเซฟที่ศูนย์ เขาได้รับมอบหมายให้ไปสอบถามข้อมูลว่าตอนนี้โจเซฟอยู่ที่ไหน เพราะอีกไม่นานโจเซฟจะต้องมาเข้าพบอาร์ชบิชอปแล้ว
“ขออภัยที่เสียมารยาทขอรับ ข้าทราบแล้วว่าตอนนี้ท่านโจเซฟทำธุระอยู่ที่ศูนย์เปิดรับคนเข้าเมืองและผู้อพยพขอรับ”
“ดีมาก เจ้าจงรีบควบม้านำข่าวไปบอกโจเซฟ แล้วพาเขากลับมายังศาสนจักรเพื่อเตรียมตัวเข้าพบท่านอาร์ชบิชอปได้เลย”
“รับทราบแล้วขอรับ” ทหารศาสนจักรรับคำสั่งแล้วรีบไปทำหน้าที่ทันที
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตัดมายังปัจจุบัน โจเซฟเดินเข้ามาในวิหารเพื่อเข้าพบอาร์ชบิชอปปีเตอร์ เขาแต่งตัวด้วยชุดบิชอปที่สง่างามแต่ยังไม่เต็มยศ ใบหน้าสะอาดสะอ้าน เผ้าผมและหนวดเคราถูกจัดทรงมาอย่างเรียบร้อย ผิดกับตอนแรกที่เสื้อผ้าหน้าผมดูเรียบง่ายธรรมดาๆ คล้ายกับบาทหลวงทั่วๆ ไป เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องประชุมก็เห็นอาร์ชบิชอปนั่งรอเขาอยู่ตรงที่นั่งหัวโต๊ะแล้ว โจเซฟโค้งคำนับทำความเคารพอาร์ชบิชอปปีเตอร์ อาร์ชบิชอปยืนขึ้นรับการเคารพจากโจเซฟแล้วจากนั้นเขาก็หยิบม้วนกระดาษแข็งแผ่นหนึ่งเดินตรงไปที่ไม้กางเขนแกะสลักขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนฐานสูงซึ่งอยู่ใกล้กับที่นั่งหัวโต๊ะของห้องประชุม เขาเรียกให้โจเซฟเดินมายังจุดเดียวกันกับที่เขายืนอยู่ อาร์ชบิชอปปีเตอร์คลายม้วนกระดาษแข็งออก เผยให้เห็นเป็นหนังสือรับรองที่อาร์ชบิชอปลงลายเซ็นและประทับตราของศาสนจักรด้วยหมึกเรืองแสงพิเศษ โดยที่ยังมีช่องว่างอยู่หนึ่งช่อง คือช่องลงลายเซ็นของโจเซฟนั่นเอง
“โจเซฟ เจ้าจะรับตำแหน่งมือขวาของศาสนจักรแห่งแมรี่เวสต์หรือไม่”
“ข้าขอรับตำแหน่งนี้ไว้ขอรับ”
“งั้นเจ้าถือกระดาษแผ่นนี้ไว้ก่อน ข้าจะไปเอาของสิ่งหนึ่งมาให้เจ้า”
อาร์ชบิชอปปีเตอร์เดินไปที่ด้านข้างของฐานไม้กางเขน แล้วใช้มือกดไปที่ฐานหิน มันคือสวิชต์ที่ถูกตั้งกลไกไว้ จากนั้นสวิทช์หินที่ถูกกดลงไปก็เลื่อนกลับออกมานอกฐานหิน ข้างในเป็นลิ้นชักหินที่เก็บขวดใส่น้ำหมึกเรืองแสงพิเศษ และจอกหนึ่งอันที่มีลวดลายสวยงาม เขาหยิบของสองสิ่งนี้ออกมาตั้งบนโต๊ะหน้าฐานหินพร้อมกับบอกวิธีใช้งานของมัน
“ก่อนที่เจ้าจะได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ เจ้าต้องใช้ของสิ่งนี้ก่อน”
“น้ำหมึกเรืองแสงนั่นคืออะไรงั้นเหรอขอรับ?”
“เจ้านี่คือน้ำหมึกพิเศษ สกัดจากสารที่กินได้และมีส่วนผสมของวัตถุดิบที่ไม่อาจทราบได้ว่ามันหาได้จากที่ไหน เอาล่ะ…เจ้าต้องใช้น้ำหมึกตัวนี้เซ็นหนังสือรับรองและก็หยดน้ำหมึกลงไปในจอกได้เลย”
“เข้าใจแล้วขอรับ” โจเชฟนำปากกาจุ่มน้ำหมึกเรืองแสงแล้วก็ทำการเซ็นหนังสือรับรอง จากนั้นก็หยดน้ำหมึกลงไปในจอกเล็กน้อยเพียงไม่กี่หยด อาร์ชบิชอปปีเตอร์หยิบไวน์เทลงในจอกจนหมดแก้วโดยที่จอกมีน้ำหมึกเรืองแสงอยู่พร้อมกับยื่นขนมปังชิ้นเล็กให้กับโจเซฟ
“เอาล่ะโจเซฟ เจ้าจงกินขนมปังชิ้นนี้ เคี้ยวเสร็จก็ดื่มไวท์จากจอกนี้ แล้วกลืนพร้อมกับขนมปังเลย”
“อืม ถึงจะบอกว่าน้ำหมึกนี้มันพิเศษตรงที่กินได้ แต่ข้าก็รู้สึกแปลกๆ ที่ต้องดื่มไวน์ผสมหยดน้ำหมึกจริงๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก ก่อนที่จะเป็นอาร์ชบิชอปข้าก็เคยดื่มเจ้านี่มาเหมือนกัน อย่าได้กังวลไปเลย”
โจเซฟนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหยิบขนมปังหยิบใส่ปากแล้วเคี้ยว ตามด้วยดื่มไวน์จากจอกแล้วค่อยๆ กลืนลงไป เมื่อได้กินขนมปังกับไวน์จนหมดแล้ว จู่ๆ ก็มีบางอย่าเกิดขึ้น โจเซฟเริ่มเหม่อลอย ดวงตากลายเป็นสีฟ้าเรืองแสง มือถือจอกไว้แน่น จากนั้นก็มีแสงสีฟ้าเรืองออกมาจากลวดลายของจอกและลายเซ็นที่โจเซฟได้เซ็นลงในหนังสือรับรอง ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบเพียงชั่วพริบตา รอบตัวของโจเซฟมีแต่ฉากสีขาวว่างเปล่า เขายังคงเหม่อลอยและยืนอยู่ท่าเดิมไม่ไหวติงราวกับว่าร่างกายได้ถูกสะกดไว้เป็นหินแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีแสงสว่างสีขาวลอยลงมาตรงหน้าโจเซฟ แสงสีขาวนั้นได้เปลี่ยนสภาพจนมีลักษณะลางๆ เป็นเหมือนชายที่มีร่างผอมและสูงใหญ่ สวมเสื้อผ้าแขนขายาวพลิ้วไสว ทรงผมเห็นได้ไม่แน่ชัดน่าจะเป็นผมยาวตรงจรดประมาณหัวไหล่ ใบหน้าค่อนข้างจางๆ เห็นได้ไม่ชัดเจน มีปีกสองคู่แลดูขาวสว่างยิ่งนัก ร่างนั้นได้ลอยเข้าใกล้และได้ใช้นิ้วชี้ข้างหนึ่งวางลงตรงหน้าผากของโจเซฟ ตรงหน้าผากก็มีสัญลักษณ์กางเขนเรืองแสงปรากฏออกมา จากนั้นร่างนั้นได้ลอยออกห่างจากตัวโจเซฟพร้อมกับสลายหายไปเป็นละอองระยิบระยับ
โจเซฟได้สติคืนกลับมาหลังจากที่อยู่ในนิมิตชั่วขณะหนึ่ง แต่นิมิตนั้นหาใช่เพียงความฝันไม่ หน้าผากของเขายังมีสัญลักษณ์กางเขนเรืองแสงอยู่ อาร์ชบิชอปเมื่อได้เห็นสัญลักษณ์กางเขนนั้นจึงรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับโจเซฟ
“ดูเหมือนว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ยอมรับในตัวเจ้าแล้วนะโจเซฟ”
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ข้าเองก็คิดเหมือนท่านว่ามันคงเป็นเช่นนั้น”
“สัญลักษณ์กางเขนตรงหน้าผากนั่น ไม่ได้หมายถึงการยอมรับจากพระเป็นเจ้าเท่านั้น ว่ากันว่ามันมีพลังอำนาจแฝงอยู่ด้วย”
“พลังที่ว่ามันคืออะไรงั้นรึ?”
“เมื่อใดที่มีความจำเป็นต้องวิงวอนพระผู้เป็นเจ้า ถ้าได้สวดภาวนาต่อพระองค์แล้ว พระองค์จะส่งเทวทูตหรือเทพเจ้าลงมาให้ความช่วยเหลือและชี้ทางสว่างให้กับเจ้า”
“แล้ว...ตั้งแต่ท่านได้รับตำแหน่งอาร์ชบิชอป เคยมีเหตุจำเป็นต้องสวดวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่ขอรับ”
“ยังไม่เคยหรอก อันที่จริงข้ามีเหตุผลที่จะไม่ทำแบบนั้นด้วย”
“เรื่องที่ว่า ท่านพอจะเล่าให้ข้าฟังได้ไหม”
“ข้าจะเล่าให้ฟังก็ได้ แต่เจ้าต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครเด็ดขาด แม้จะเป็นคนที่เจ้ารักและเคารพมากที่สุดก็ตาม”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าทำงานร่วมกับท่านมานาน ความคิดเห็นของท่านข้ารับฟังเสมอท่านอาร์ชบิชอป”
ด้วยความเชื่อใจที่มีต่อโจเซฟ อาร์ชบิชอปปีเตอร์จึงตัดสินใจเล่าเรื่องบางอย่างให้ฟัง