ยามใดที่ดวงอาทิตย์ตกดิน นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... ค่ำคืนนั้นเขาช่างเร่าร้อน ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราล้วนไม่ใช่เพราะความรัก... "ขึ้นชื่อว่าคนดูแลชั่วคราว เธอก็จะได้อยู่แค่ในสถานะนั้น อย่าใฝ่สูง" .......................................................................................... ฉันได้รับหน้าที่ให้ดูแล 'ผู้ชายคนหนึ่ง' ทว่าของแถมที่พ่วงติดมาด้วยนั้นคือเรื่องราวน่า 'ประหลาด' ซึ่งเป็นเหตุทำให้ชีวิตของฉันต้องพลิกผันไปตลอดกาล "คุณซานเป็นอะไรหรือเปล่าคะ" การเห็นเจ้านายแสดงท่าทีราวกับทุกข์ทรมานอยู่ตรงหน้า จึงไม่นิ่งนอนใจที่จะเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง พร้อมขยับก้าวเข้าไปเพื่อช่วยพยุง "ออกไป!" ทว่าร่างสูงตรงหน้ากลับตะคอกใส่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หนำซ้ำยังสะบัดตัวฉันออกจนเซถลาเกือบล้มลงกระแทกพื้น "ออกไปจากห้องฉัน...เดี๋ยวนี้!!" หากย้อนเวลากลับไปได้ คืนนั้นฉันจะเชื่อฟัง และยอมเดินออกไปจากห้องแต่โดยดี...
แค่เกิดมาแล้วมีต้นทุนชีวิตไม่เหมือนกับคนอื่น หนทางที่ก้าวเดินย่อมเต็มไปด้วยขวากหนามเป็นธรรมดา มันอยู่ที่ว่าเราจะสู้ หรือถอยตั้งแต่ยังไม่เริ่มออกเดินทาง...
แน่นอนว่าฉันเลือกจะทำอย่างแรก ด้วยความที่เป็นเสาหลักของครอบครัวคงเลือกอะไรนอกเหนือจากนี้ไม่ได้ แม้รู้อยู่แก่ใจว่าหนทางข้างหน้าต้องเจอกับบททดสอบต่างๆ ที่ล้วนทำให้เหน็ดเหนื่อยก็ตามแต่
“เลิกงานตรงเวลาจังเลยนะ” ขณะที่กำลังสแกนนิ้วออกเพื่อกลับบ้าน หลังจากการทำหน้าที่สิ้นสุดลง ประโยคทำนองค่อนแคะก็ลอยเข้ามากระแทกโสตประสาทเข้าอย่างจัง
“ทำครบชั่วโมงแล้วจะอยู่ทำไมล่ะ” ตอนเข้างานฉันก็เข้าก่อนเวลาด้วยซ้ำ แต่ทำไมไม่เห็นพูดอะไรบ้าง พอออกตรงเวลาเข้าหน่อยปากก็อยู่ไม่สุขทันทีเชียวนะ
“ปากดี” ‘เกล’ เพื่อนร่วมงานประสาทเสียก็ยังคงไม่หยุดพูดเหน็บแนม สายตายามที่มองมาเหมือนกับว่าโกรธแค้นฉันตั้งแต่ชาติปางก่อน
“ก็พอตัวแหละ” ฉันไหวไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน และเกรงกลัว “รีบกลับเข้าไปทำงานซะสิ มัวแต่ยืนแขวะคนอื่นอยู่ได้”
ฉันเดินเฉียดผ่านร่างบางที่ยืนขวางทางอยู่ เพื่อตรงเข้าไปยังตู้ล็อกเกอร์เก็บของ
อีกฝ่ายแสดงท่าทีฮึดฮัดไม่ชอบใจออกมาให้เห็นโดยไม่คิดจะปกปิด ก่อนจะเดินสะบัดตัวกลับเข้าไปทำงานต่อ
ก็เป็นแค่พนักงานเหมือนกัน แต่ติดตรงที่ว่าเกลมีแฟนเป็นถึงผู้จัดการร้าน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอหยิ่งผยองได้มากขนาดนี้ ยามใดที่เห็นแฟนหนุ่มของตัวเองไปยุ่งวุ่นวายกับพนักงานคนอื่นๆ ภายในร้าน ความหึงหวงก็ก่อเกิดจนหน้ามืดตามัว
ทั้งที่จริงแล้วเธอควรจัดการสั่งสอนแฟนตัวเองต่างหาก เจ้าชู้ขนาดนั้นถ้าไม่กำราบตัวต้นเหตุแล้วจะมีประโยชน์อะไร
ฉันก็เป็นหนึ่งในพนักงานที่ถูก ‘บอล’ แฟนของเกลชอบเข้ามาวุ่นวาย และพูดจาแทะเล็ม แต่ไม่คิดว่าฉันจะเลือกบ้างเหรอ? ผู้ชายเจ้าชู้แบบนั้นปล่อยให้สูญพันธุ์ไปเลยดีกว่า อย่าได้เก็บมาไว้กับตัว รังแต่จะทำให้ชีวิตต้องพบเจอกับเรื่องชวนน่าปวดหัวไม่จบไม่สิ้น
“กลับบ้านแล้วเหรอดีใจ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง
ตายยากจริงๆ เลยเชียว แค่นึกถึงก็โผล่พรวดมาให้เห็นหน้า
“ค่ะ” ตอบรับเพียงสั้นๆ เท่านั้น มือข้างหนึ่งยกสายกระเป๋าขึ้นพาดไหล่ แล้วก้าวออกมาจากห้องเก็บตู้ล็อกเกอร์ที่คับแคบ
มันเป็นแค่ช่องทางเล็กๆ ที่มีตู้ตั้งชิดผนัง สามารถเข้าไปยืนได้แค่สองคนเท่านั้น หนำซ้ำยังไม่มีประตูแถมเดินออกไปแค่ทางเดียว และแน่นอนว่าตอนนี้ร่างสูงตรงหน้ากำลังยืนขวางทางฉันอยู่
“พี่ก็เลิกงานพอดีเลย ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย พี่เลี้ยง” มันจะมีผู้ชายสักกี่คนกันที่กล้าชวนผู้หญิงคนอื่นไปทานข้าวด้วย ทั้งที่แฟนตัวเองก็อยู่ไม่ไกลจากตรงบริเวณนี้
“เลิกงานแล้วก็นั่งรอแฟนพี่เถอะค่ะ ฉันหากินเองได้” รอยยิ้มระบายเต็มใบหน้าในยามที่เอื้อนเอ่ย แม้ลึกๆ จะไม่ชอบใจทว่าก็จำต้องข่มกลั้นอารมณ์นั้นไว้
หลังกล่าวจบฉันไม่รอให้อีกฝ่ายได้เปิดปากพูดอะไรออกมาอีก พยายามมองหาช่องทางเล็กๆ เพื่อเดินแทรกกายออกมา
ก็ยังดีที่พอถูกตอกกลับไปแบบนั้นแล้วไม่หน้าด้านรั้งฉันให้อยู่ต่อ
ระหว่างที่เดินไปยังป้ายรถเมล์ ฉันแวะซื้ออาหารที่ตั้งร้านขายอยู่ริมทางติดมือไปให้คนที่บ้านได้ทาน แม้จะดึกมากแล้วแต่แม่กับน้องก็ยังรอคอยเหมือนอย่างเช่นทุกวัน เว้นซะแต่ว่าวันไหนฉันกลับดึกมากจริงๆ คนที่บ้านถึงจะไม่อยู่รอทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา
แม้ไม่ได้มีเงินทองมากมายเหมือนคนอื่น แม้ต้องหาเช้ากินค่ำไปวันๆ ทว่าสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดก็คือความรักใคร่กลมเกลียวภายในครอบครัว
ฉันนั่งรอคอยรถโดยสารสาธารณะเกือบชั่วโมงกว่าจะได้เดินทางกลับบ้าน รองเท้าผ้าใบเก่าๆ เหยียบย่ำไปบนพื้นน้ำที่เจิ่งนอง-ภายในซอยที่คับแคบ และมืดสลัว
แม้ทางเข้าบ้านแลดูอันตรายทว่าพวกฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปหาที่ซุกหัวนอนใหม่ที่ไหนได้อีก ค่าเช่าบ้านในสลัมถูกสุดแล้วสำหรับฉัน แต่ก็ยังดีที่ทางไม่ได้ลึกมากมายอะไร
กระนั้นหากหาเงินได้มากกว่านี้ ฉันก็อยากพาครอบครัวหลุดพ้นออกไปจากที่แห่งนี้ เผื่อคุณภาพชีวิตจะได้ดีขึ้น ไม่ต้องเจอเรื่องชวนหน้าปวดหัว เดี๋ยวคนนั้นก็ทะเลาะกัน วันดีคืนดีก็เห็นตำรวจวิ่งไล่จับคนร้ายที่ลักลอบส่งยาภายในซอย
อันที่จริงทุกที่ก็มีทั้งคนดีและเลวปะปนกันไป เพียงแค่สถานที่ที่ฉันอาศัยอยู่นั้นดันมีคนเลวมากกว่าเป็นไหนๆ
“พี่ดีใจกลับมาแล้ว!” ยังไม่ทันที่ฉันจะล้วงหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตู ‘ที่รัก’ ผู้ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ของฉันก็เปิดประตูพรวดพราดออกมาหา “หนูกะแล้วว่าต้องเป็นเสียงรองเท้าพี่”
ใบหน้าละม้ายคล้ายกันเผยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้ฉันเดินก้าวเข้าไปด้านใน บ้านหลังนี้ที่เราอาศัยอยู่เป็นบ้านไม้สองชั้น ขนาดปานกลางไม่ได้คับแคบจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายมากมายนัก วันดีคืนดีฝนตกหนักหลังคาบ้านก็รั่ว ต้องหยิบกะละมังมารองหยดน้ำฝนกันจ้าละหวั่น
“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะที่รัก ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่หวังดีจะทำยังไง” อดไม่ได้ที่จะพูดเอ็ดน้องสาวด้วยความหวังดี
ที่รักเพิ่งขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองเมื่อไม่นานมานี้ เริ่มแตกเนื้อสาวมากขึ้นทุกวัน หนำซ้ำนิสัยของน้องยังหัวอ่อนกว่าฉันมาก กลัวเหลือเกินว่าจะถูกใครมารังแกได้โดยง่าย
“ดุน้องอีกแล้ว” ใบหน้าเนียนใสเกลี้ยงเกลาเริ่มงอง้ำ กระนั้นก็ดูออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้งอนเป็นจริงเป็นจัง
“เพราะพี่เป็นห่วงหรอกถึงพูดแบบนี้” ริมฝีปากบางขยับพูดอธิบาย ขณะที่สายตาก็กวาดมองหาใครอีกคน “แม่ล่ะ”
“เข้านอนแล้ว”
“แม่ไม่สบายเหรอ” ปกติแม่จะรอฉันกลับมาแทบทุกครั้งทว่าวันนี้กลับผิดแผกไป ฉันเอ่ยถามตามที่คาดเดา และการที่น้องสาวพยักหน้ารับหงึกหงักถือว่าเป็นคำตอบที่ชัดเจน
“เดี๋ยวหนูเอาไปแกะให้” มือบางยื่นมาคว้าถุงหิ้วที่ฉันถืออยู่ ปล่อยให้น้องจัดการ ส่วนตัวเองก็เดินขึ้นไปยังห้องนอนของผู้เป็นแม่
ผลักบานประตูให้เปิดแง้มแผ่วเบา แล้วแทรกกายเข้าไปยืนภายในห้องที่มืดสนิท แสงไฟจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาเพียงเล็กน้อย กระนั้นก็ทำให้เห็นว่าผู้เป็นแม่นอนอยู่ตรงไหน ฉันทรุดตัวนั่งลงที่ข้างฟูกนอน มือเอื้อมไปแตะผิวกายของร่างผอมบางที่นอนอยู่อย่างเบามือ
“กลับมาแล้วเหรอดีใจ” เสียงแหบแห้งเอ่ยทัก พานทำให้ฉันชะงักมือ
ตัวของแม่ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ จึงยากที่จะคาดเดาว่าแม่เป็นอะไรกันแน่
“ไปหาหมอมั้ยแม่” ทางเดียวที่จะช่วยยืนยันอาการได้แน่ชัดก็คือไปให้คุณหมอตรวจร่างกายอย่างละเอียด
ฉันไม่ได้วิตกกังวลไปเอง แต่แค่อยากมั่นใจเท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแม่และน้องสาว ต่อให้เป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ฉันก็ล้วนใส่ใจทั้งนั้น
“แม่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ปวดหัวเฉยๆ” น้ำเสียงของแม่ดูอ่อนแรงเสียเหลือเกิน จะให้ฉันเชื่อจริงๆ เหรอว่าไม่เป็นอะไรมาก “แล้วนี่หนูกินข้าวหรือยัง”
“เดี๋ยวหนูลงไปกินกับน้อง แม่ล่ะกินข้าวกินยาหรือยัง”
“ที่รักหาให้แม่กินตั้งแต่หัวค่ำแล้ว หนูลงไปกินข้าวเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ถ้าปวดหัวหนักมากก็เรียกหนูนะ” ไม่วายพูดทิ้งท้ายด้วยความเป็นห่วง
เมื่อเห็นว่าแม่พยักหน้าตอบรับฉันจึงหยัดตัวลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกมาจากห้องโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูไว้ให้ด้วย
“เดี๋ยวนี้แม่ปวดหัวค่อนข้างบ่อย” ประโยคบอกเล่าจากปากผู้เป็นน้องส่งผลให้หัวคิ้วของฉันขมวดเข้าหากัน
ด้วยความที่ไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่กับแม่แบบใกล้ชิดจึงไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แถมที่รักยังไม่เคยพูดให้ฉันฟัง คงถูกแม่สั่งห้ามอีกตามเคย
“แม่ไปหาหมอบ้างหรือยัง” สิ่งที่ได้รับรู้พานทำให้ฉันเกิดความรู้สึกไม่อยากอาหาร แม้ว่าช่องท้องจะประท้วงด้วยการปวดเป็นพักๆ
ปกติแล้วฉันมักจะทานข้าวไม่ตรงเวลา เนื่องจากมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากมาย สิ่งที่เป็นตอนนี้คงไม่แคล้วอาการของโรคกระเพาะ ขนาดอาหารถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าแท้ๆ แต่ใจก็ไม่อยากลงมือทาน
“พี่ก็รู้ว่าต่อให้พูดหว่านล้อมยังไงแม่ก็ไม่ยอมไป” จริงอย่างที่น้องพูดมา แม่ฉันน่ะดื้อจะตายไป ห่วงแต่กลัวว่าลูกจะเสียเงินค่ารักษาพยาบาลไม่เป็นห่วงตัวเองบ้างเลย
“เดี๋ยววันหยุดพี่จะพาแม่ไปเอง ทานข้าวเถอะ” ฉันสรุปเสร็จสรรพ ที่รักคงหิ้วท้องรอนานมากแล้ว ต่อให้ไม่คิดอยากก็ไม่ควรที่จะทำให้น้องต้องเครียดตามไปด้วย...
แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาผ่านทางช่องหน้าต่าง กระทบลงเปลือกตาที่กำลังหลับพริ้ม ทันทีที่เสียงนาฬิกาปลุกดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท ฉันจึงค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นนั่ง พร้อมขยับตัวบิดไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ
มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ เพื่อกดปิดเสียงแจ้งเตือนที่ดังกังวานไปทั่วทั้งห้อง แม้เมื่อคืนนี้จะนั่งทำงานที่อาจารย์มอบหมายจนดึกดื่น ทว่าหากมีเรียนตอนช่วงเช้ายังไงฉันก็ต้องตื่นให้ทันอยู่ดี
ขาดไม่ได้หรอก ฉันเพิ่งยื่นเรื่องขอทุนการศึกษาไป ดังนั้นควรประพฤติตัวให้ดี
ทันทีที่ทำอะไรเรียบร้อย สองเท้าจึงค่อยๆ ย่างก้าวลงบันไดไปยังด้านล่าง แล้วพบว่าน้องสาวกำลังเตรียมตัวไปเรียนเหมือนกัน
“พี่ดีใจ หนูขอเงินไปโรงเรียนหน่อย” มือเล็กง้างแบอยู่ตรงหน้า ฉันล้วงหยิบแบงก์ร้อยออกมาจากกระเป๋า และวางลงบนใจกลางฝ่ามือของผู้เป็นน้อง
“เลิกแล้วรีบกลับมาดูแม่ด้วยนะ”
“รับทราบค่ะ” คนตัวเล็กรับคำเสียงใส ฉันจึงยื่นมือไปขยี้ผมน้องเบาๆ
“พี่ไปเรียนก่อนนะ” ล่ำลาที่รักเพียงไม่กี่ประโยค ก่อนจะเดินออกมาจากบ้าน...
ฉันยังคงเลือกใช้รถเมล์สาธารณะในการเดินทางไปเรียน แม้ว่าแถวมหา’ลัยจะมีสถานีรถไฟฟ้า ทว่าก็ไม่อยากเสียเงินไปกับค่าโดยสารที่นับวันยิ่งแพงมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยความที่มาเร็วกว่าเพื่อนสนิทอย่าง ‘เรย์วี่’ ฉันจึงต้องเดินเข้าไปในห้องเพื่อจับจองหาที่นั่งระหว่างรอเธอมา ผ่านไปไม่นานนักศึกษาคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยเดินเข้าห้องมาเรื่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่เรย์วี่เอง ร่างบางส่งยิ้มกว้างแต่ไกล ก่อนจะเดินมาทรุดกายนั่งลงยังเก้าอี้ด้านข้าง
“ดีใจ คือฉันมีเรื่องอยากจะให้เธอช่วยหน่อยน่ะ”
“ได้สิ ว่ามาเลย” ฉันตอบรับทันที แม้ยังไม่รู้รายละเอียดเรื่องที่เพื่อนจะไหว้วานก็ตามแต่
“เพื่อนอาเจย์รถคว่ำ ตอนนี้เขาพักฟื้นอยู่ที่บ้านแล้ว ดีใจช่วยไปดูแลให้หน่อยได้มั้ย”
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ฉันคิดว่า...ไม่สะดวกเท่าไหร่ เพราะฉันต้องไปทำงานพาร์ทไทม์” สารภาพตามตรงเลยว่าเวลานี้ฉันกำลังลำบากใจเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่านี่คือเรื่องที่เพื่อนอยากไหว้วาน “แต่ถ้าให้ดูแลไม่กี่ชั่วโมงก็ได้อยู่นะ”
นึกๆ ดูแล้วกว่าจะได้เวลาเข้างานที่ร้านอาหาร ฉันพอมีชั่วโมงเหลืออยู่บ้างนิดหน่อย
“ลาออกจากที่นั่นและมาดูแลเพื่อนอาเจย์อย่างเดียวได้หรือเปล่า ฉันคุยเรื่องค่าจ้างให้แล้ว ได้เดือนละสามหมื่นเลยนะ”
“สามหมื่น!!” รีบตะครุบปากตัวเองอย่างไว เมื่อเผลอพูดเสียงดังออกไปแบบนั้น จนเป็นเหตุทำให้นักศึกษาร่วมคลาสหันมามอง “สะ...สามหมื่นเลยเหรอ”
ตั้งแต่ทำงานมาฉันยังไม่เคยจับเงินมากกว่าหมื่นห้าเลยด้วยซ้ำ แถมเหนื่อยจนแทบรากเลือดกว่าจะได้แต่ละบาท
“ใช่ ถ้าดีใจตกลงปิดเทอมนี้ก็ไปทำได้เลย”
อันที่จริงอีกไม่กี่วันจะสอบไฟนอลแล้ว หลังจากนั้นฉันก็ปิดเทอมยาวๆ นี่ถือว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะหารายได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลังกับเรื่องเรียน
“แล้วต้องดูแลเขากี่เดือนเหรอ”
“จนกว่าอาซานจะหายดี ฉันคิดว่าคงเดือนนิดๆ ถ้าจบงานนี้เดี๋ยวฉันหางานอื่นเตรียมไว้ให้ ดีใจจะได้ไม่ต้องกลับไปทำที่ร้านอาหารนั่นอีก” เรย์วี่อธิบายออกมายาวเหยียด พร้อมตบท้ายด้วยการหยิบยื่นโอกาสดีๆ ให้แก่ฉัน
“ขอบคุณมากนะเรย์วี่” มือบางวางทาบทับลงบนหลังมือของร่างบางข้างกายด้วยความซาบซึ้งใจ ทั้งชีวิตไม่เคยมีใครหยิบยื่นโอกาสดีๆ ให้แก่ฉัน ที่ผ่านมาทุกอย่างล้วนไขว่คว้าด้วยตัวเองทั้งนั้น “ฉันตกลงที่จะทำ”
หารู้ไม่ว่า การที่ยอมตกปากรับคำทำงานนี้ จะทำให้ชีวิตของฉันเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล และไม่คาดคิดด้วยซ้ำว่ากำลังจุดชนวนแผดเผาหัวใจตนเองให้มอดไหม้กับมือ
มันค่อยๆ แหลกสลายทีละนิดกระทั่งเหลือเพียงแค่ฝุ่นธุลีโดยไม่รู้ตัว ‘ปากบอกว่าอย่าเล่นกับไฟ แต่ใจก็ดันริอาจฝ่าฝืน’...
บทที่ 1 บทนำ
03/09/2023
บทที่ 2 แกล้ง (1)
03/09/2023
บทที่ 3 แกล้ง (2)
03/09/2023
บทที่ 4 หน้าที่ใหม่ (1)
03/09/2023
บทที่ 5 หน้าที่ใหม่ (2)
03/09/2023
บทที่ 6 คำเตือน (1)
03/09/2023
บทที่ 7 คำเตือน (2)
03/09/2023
บทที่ 8 รักแรกพบ (1)
03/09/2023
บทที่ 9 รักแรกพบ (2)
03/09/2023
บทที่ 10 เปียกปอน (1)
03/09/2023
บทที่ 11 เปียกปอน (2)
03/09/2023
บทที่ 12 ได้เลือด (1)
03/09/2023
บทที่ 13 ได้เลือด (2)
03/09/2023
บทที่ 14 เด็กชายจ๊อด (1)
03/09/2023
บทที่ 15 เด็กชายจ๊อด (2)
03/09/2023
บทที่ 16 ซอยเก่งมาก (1)
03/09/2023
บทที่ 17 ซอยเก่งมาก (2)
03/09/2023
บทที่ 18 สำคัญ (1)
03/09/2023
บทที่ 19 สำคัญ (2)
03/09/2023
บทที่ 20 กล้ามเนื้อแน่นๆ (1)
03/09/2023
บทที่ 21 กล้ามเนื้อแน่นๆ (2)
03/09/2023
บทที่ 22 พิษไข้ (1)
03/09/2023
บทที่ 23 พิษไข้ (2)
03/09/2023
บทที่ 24 แปลกไป (1)
03/09/2023
บทที่ 25 แปลกไป (2)
03/09/2023
บทที่ 26 คิดยังไง (1)
03/09/2023
บทที่ 27 คิดยังไง (2)
03/09/2023
บทที่ 28 ตามติด (1)
03/09/2023
บทที่ 29 ตามติด (2)
03/09/2023
บทที่ 30 นอนด้วยกันมั้ย (1)
03/09/2023
บทที่ 31 นอนด้วยกันมั้ย (2)
03/09/2023
บทที่ 32 อย่าโทษตัวเอง (1)
03/09/2023
บทที่ 33 อย่าโทษตัวเอง (2)
03/09/2023
บทที่ 34 พี่เขย (1)
03/09/2023
บทที่ 35 พี่เขย (2)
03/09/2023
บทที่ 36 ขอจูบหน่อย (1)
03/09/2023
บทที่ 37 ขอจูบหน่อย (2)
03/09/2023
บทที่ 38 ขอเรียกว่าแม่ (1)
03/09/2023
บทที่ 39 ขอเรียกว่าแม่ (2)
03/09/2023
บทที่ 40 พ่อแม่ลูก (1)
03/09/2023
หนังสืออื่นๆ ของ JAMBENZ
ข้อมูลเพิ่มเติม