First ไดอารี(ที่)รัก

First ไดอารี(ที่)รัก

เมอร์รี่เมล

5.0
ความคิดเห็น
58
ชม
14
บท

"เอาแบบนี้นะ ถ้าตัวเล็กหยุดร้อง พี่สัญญาว่าครั้งหน้าถ้าเราได้เจอกัน หากหนูเจ็บหรือเสียใจพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ จนกว่าจะหายดี จากนั้นเราสองคนค่อยไปหาของอร่อยกินกัน ดีมั้ย^^" "ดีค่ะ พี่สัญญากับหนูแล้วนะ ห้ามผิดคำพูดนะคะ" "อื้ม สัญญาครับ" เราทั้งคู่เกี่ยวก้อยทำสัญญาด้วยรอยยิ้ม แต่คนให้คำมั่นหายไปไม่หวนกลับ นั่นเป็นครั้งแรก และครั้งเดียวที่เราได้เจอกัน เขาจะลืมฉันไปหรือยัง? เขาจะจำคำสัญญาของเราได้หรือเปล่า? เขาจะรู้บ้างไหมความอบอุ่นที่เขามอบให้ มันหยั่งลึกฝั่งแน่นในความทรงจำของเด็กคนนี้ ฉันยังหวัง... หวังว่าสักวัน เราจะได้พบกันอีกสักครั้ง

บทที่ 1 Diary 1: จุดเริ่มต้น

"คุณยังจำความรู้สึกใจเต้นแรง ตอนมองใครบางคนได้ไหม?"

"คุณเชื่อในเรื่องโชคชะตา ฟ้าลิขิตหรือเปล่า?"

"ส่วนฉันจำมันได้ดี และเชื่อมั่นจึงเฝ้ารอ"

"ให้ความรู้สึกนั้น เกิดขึ้นอีกครั้ง"

ท่ามกลางอากาศปลอดโปร่งโล่งสบายของช่วงฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ชูช่อผลิดอกออกใบงดงาม สายลมของช่วงตะวันใกล้ลาลับขอบฟ้าให้ความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลายยามพัดผ่านผิวกาย แต่นั่นกลับไม่ช่วยให้ความร้อนรนภายในใจ ลดน้อยลงได้เลย...

“พี่ชา! รอด้วย~” หนูร้องเรียกพี่ชายเสียงดัง ขณะกำลังปั่นจักรยานสีหวาน ไล่ตามเขาอยู่บนถนนของสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่ติดกับทะเล

คนถูกเรียกหันมายิ้มเยาะเมื่อเห็นว่าไม่สามารถตามเขาทัน นั่นทำให้ควันแทบออกหู เร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นด้วยกำลังทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน มันกลับเหมือนยิ่งไกลออกไปทุกที

ให้ตายสิ! ไม่คิดรอกันเลยสินะ

บางทีก็รู้สึกขัดใจกับขาสั้น ๆ ของตัวเองเหมือนกัน ทั้งที่พี่ชายขายาวขนาดนั้น แต่ตัวเองกลับมีเพียงเท่านี้

พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรม!

ตอนนี้พวกเราอยู่ในประเทศหนึ่งของแถบซีกโลกเหนือ ครอบครัวเราเดินทางมาถึงเมืองนี้ร่วมสองอาทิตย์แล้ว แม้จะเดินทางระหว่างประเทศบ่อยครั้ง แต่สถานที่นี้หนูเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก

เราไม่ได้มาเที่ยว แดดดี้บอกว่ามาเพื่อเจรจาธุรกิจกับพาร์ทเนอร์ หนูไม่รู้หรอกนะว่าธุรกิจที่ว่าคืออะไร แต่มันคงจะสำคัญมาก เพราะตั้งแต่มาถึงท่านทั้งสองก็ยุ่งหัวหมุน จนไม่มีเวลาพาเราสองพี่น้องออกไปไหน หนูจึงต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพี่ชายขี้แกล้งกันสองคน เหมือนอย่างในตอนนี้

ไม่ยอมแพ้คนแบบนั้นหรอก!

หนูตั้งหน้าตั้งตาออกแรงผ่านขาเล็ก ๆ ทั้งสองข้าง ความสนใจทั้งหมดถูกทุ่มให้คนตัวสูงที่เห็นหลังอยู่ไกล ๆ แต่สิ่งไม่คาดฝันดันเกิดขึ้น

“กรี๊ดดด” ดวงตาเบิกกว้าง กรีดร้องออกมาสุดเสียง มือกำเบรกแน่นด้วยความตระหนก ความเร็วทำให้ไม่สามารถหยุดรถได้ตามตั้งใจ

โครม!

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งคนทั้งรถแหกโค้งพุ่งลงบนพื้นหญ้าสีเขียวข้างทาง ความแรงทำให้ร่างกลิ้งไถลออกจากตัวรถมาไกลพอควร

หนูพยายามตั้งสติดันตัวลุกขึ้นนั่ง

“ฮึก แง~” พยายามจะไม่ร้องแล้วนะ แต่ความเจ็บที่ได้รับทำให้ไม่สามารถห้ามตัวเองได้ เสียงร้องนั้นดังจนคนมากมายที่อยู่รายล้อมหันมามองด้วยความตกอกตกใจ มีคนมองแต่ไม่มีใครเข้ามาช่วยสักคน

ตึก ตึก ตึก

เสียงฝีเท้าหนักวิ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า นั่นทำให้หนูต้องแหงนหน้าขึ้นมองว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้คำตอบยิ่งทำให้ต้องเบะปากคว่ำมากกว่าเดิม

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไปทำอีท่าไหนสภาพถึงเป็นแบบนี้ โคตรตลกเลยว่ะพริก”นึกว่าจะรีบเข้ามาช่วย ที่ไหนได้ ‘พี่ชานนท์’ กลับหยิบเศษดินเศษหญ้าจากเส้นผมขึ้นมาทำหน้าตาล้อเลียน แถมหัวเราะอย่างสะใจจนต้องยกมือขึ้นกุมหน้าท้อง ทั้งที่อายุห่างกันตั้งหลายปี แต่คนเป็นพี่กลับไม่เคยอ่อนโยนกับน้องคนนี้เลย!

หนูเลิกให้ค่าคนตรงหน้า หันมากวาดสายตาสำรวจร่องรอยบนร่างกาย “แสบจังเลย เจ็บด้วย” ไม่มีเลือดไหลก็จริง แต่บนหัวเข่าและข้อศอกด้านซ้าย มีรอยถลอกขนาดใหญ่นั่นทำให้รู้สึกเป็นกังวล มันจะมีแผลเป็นไหม? จะหมดสวยหรือเปล่า? แล้วจะเป็นนางแบบได้อยู่หรือไม่?

หนูได้แต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาภายในหัว

“ฮือ~” ไม่ว่าจะคิดมากแค่ไหนก็ไร้คำตอบ ทำให้น้ำตาที่เกือบเหือดแห้งไหลอาบแก้มอีกครั้ง

บ้าชะมัด เพราะไอ้พี่บ้าคนเดียวเลย!

ตึก ตึก ตึก

มีเสียงฝีเท้าวิ่งใกล้เข้ามาอีกครั้ง แต่รอบนี้มาจากทางด้านหลัง หนูยกมือปาดน้ำตาทิ้ง หันกลับไปมองตามทิศทางของเสียง คนที่วิ่งตรงเข้ามาหาเป็นผู้ชายท่าทางใจดี เขามีสีผมดำสนิท ผิวเข้มกว่าหนูเล็กน้อยแต่ทว่าสูงกว่ามาก

เขาวิ่งมาหยุดยืนอยู่ข้างกาย แล้วคุกเข่าลงข้าง ๆ

เราไม่รู้จักกัน แต่การกระทำคนมาใหม่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก สายตา ‘เขา’ ดูเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าพี่ชายในไส้ของหนูเองเสียอีก

“เจ็บมากมั้ยตัวเล็ก” คำพูดของเขาทำเอารู้สึกอุ่นวาบไปทั่วอก หนูสบตาเจ้าของเสียงอ่อนโยนโดยไร้การตอบกลับ

พี่ชายใจดีเปลี่ยนเป็นนั่งลงเต็มตัว “ไหนดูหน่อยสิ” เขายกขาเปรอะเปื้อนขึ้นพาดบนตักอย่างไม่รังเกียจ

อายจังเลย วันนี้ใส่กระโปรงมาด้วยสิ

“แสบมากมั้ย” พี่เขาละสายตาจากบาดแผล มาจ้องหน้าหาคำตอบด้วยรอยยิ้ม

“...” หนูไม่พูดได้แต่พยักหน้า

พี่ชายหน้าหล่อแถมใจดี หยิบผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มออกมาจากกระเป๋ากางเกง เทน้ำจากขวดในมือใส่จนเปียกชุ่มแล้วบิดจนหมาด

“ทนหน่อยนะ แค่แป๊บเดียว” เขาบรรจงเช็ดบริเวณหัวเข่าและข้อศอกให้อย่างเบามือจนสะอาด หยิบปลาสเตอร์ยาลายการ์ตูนที่ไม่รู้มาจากไหนแปะให้อย่างดี

“เสร็จแล้ว^^” รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้า ทำให้ไม่สามารถละสายตาไปมองอะไรได้อีกนอกจากเขา เหมือนทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่งจนเผลอกลั้นลมหายใจ มือกำชายกระโปรงแน่นด้วยความประหม่า

มันช่างสว่างไสวเหมือนมีสปอร์ตไลท์ฉายใส่หน้า

“ไม่เจ็บนะเดี๋ยวก็หาย เพี้ยง” เขาเป่าลมใส่ร่องรอยแผลที่ปกปิดไว้เรียบร้อยแล้ว ลมอุ่น ๆ ทำให้ผิวกายรู้สึกร้อนวูบวาบ และลมนั่นมันคงจะแรงมากไปหน่อย เพราะความร้อนมันลามขึ้นมาถึงใบหน้าเชียวล่ะ

“หนูจะเป็นแผลเป็นมั้ยคะ?” หนูกัดปากช้อนสายตาเอ่อน้ำขึ้นมอง กลั้นใจถามสิ่งค้างคาใจเสียงสั่น น้ำตาพานจะไหลทุกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

คนตรงหน้าส่งยิ้มจางๆ ยกมือขึ้นวางบนศีรษะที่ถูกถักเปียไว้สองข้างแล้วลูบเบา ๆ

รู้สึกดีจัง~

“ไม่เป็นหรอก แค่รอยถลอกเองไม่กี่วันก็หายเป็นปกติแล้วล่ะ”

“จริงเหรอคะ พี่ไม่ได้โกหกหนูใช่มั้ย?”

“จริงสิ พี่จะโกหกหนูทำไม”

“แล้วทำไมมันถึงเจ็บจังล่ะคะ ฮึก~” น้ำตาจะไหลอีกแล้ว

“โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะ” พี่เขาพูดปลอบพร้อมเป่าลมร้อนลงมาอีกหลายครั้ง มือยังวางที่เดิมไม่ได้ขยับหนีไปไหน

หนูรู้สึกดีมาก แต่ไม่รู้ว่าทำไมยิ่งพี่เขาทำแบบนี้ มันกลับอยากร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม สงสัยที่พี่ชานนท์ชอบล้อว่าขี้แยคงจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้วสิ

“เอาแบบนี้นะ ถ้าตัวเล็กหยุดร้อง พี่สัญญาว่าครั้งหน้าถ้าเราได้เจอกัน หากหนูเจ็บหรือเสียใจพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ จนกว่าจะหายดี จากนั้นเราสองคนค่อยไปหาของอร่อยกินกัน ดีมั้ย^^”

“ดีค่ะ พี่สัญญากับหนูแล้วนะ ห้ามผิดคำพูดนะคะ” ตอนนี้ชักอยากได้พี่เขามาอยู่ด้วย แทนคนที่เอาแต่ยืนมองด้วยสายตาประหลาดเสียแล้วสิ

“อื้ม สัญญาครับ” เราสองคนเกี่ยวก้อยทำสัญญา ส่งยิ้มหวานจนตาหยีให้กันและกัน

“แต่ตอนนี้หนูก็เจ็บนะคะ”

“ฮ่า~ พี่ก็อยู่ข้าง ๆ นี่ไงครับ” เสียงหัวเราะเบา ๆ รอยยิ้มบาง ๆ ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามผิดจังหวะ มันแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากอกจนต้องยกมือขึ้นมากุม

ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน...

“พอ! แยก ๆ มึงอย่ามาโปรยเสน่ห์ใส่น้องกู น้องกูเพิ่งจะเก้าขวบ”

พี่ชานนท์คนใจดำเดินมาแยกพวกเราออกจากกันแต่เมื่อกี้เขาเรียกพี่ชายใจดีว่ามึงเหรอ? ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันใช่มั้ย? ถ้าเป็นอย่างนั้นปีนี้พี่เขาก็อายุสิบเจ็ดแล้วน่ะสิ

ว้าว~ ถึงว่าทำไมตัวสูงจัง

“โปรยเสน่ห์ห่าอะไรของมึง กูมาช่วย! ไม่เห็นเหรอว่าน้องบาดเจ็บ แทนที่มึงจะรีบเข้ามาดู กลับเอาแต่ยืนมองแล้วหัวเราะ มีน้องผู้หญิงแทนที่จะดูแลปกป้องให้ดี มีพี่แบบนี้กูว่าไม่มียังดีกว่า” คนฝั่งขวาพูดยาวเหยียด แม้น้ำเสียงติดไม่พอใจแต่กลับน่าฟังไม่เบื่อ หนูอยากให้พี่เขาพูดอีก และพูดอีก

“อยากได้?”

“ให้กูก็เอา บ้านกูอยากมีลูกสาวมึงก็รู้”

“ไม่ให้โว้ย!” พี่ชายใจดีจับข้อมือหนูดึงเข้าหาตัว พี่ชานนท์เองก็ไม่ยอมแพ้ดึงอีกฝั่งกลับด้วยสีหน้าบึ้งตึง

ถ้าเป็นไปได้ก็อยากไปนะ ต่างกันซะขนาดนี้

“ถ้าไปอยู่กับมึงคงไร้ภูมิคุ้มกันตายห่า แค่ล้มบนหญ้าจะอะไรนักหนา โตมามีเรื่องให้เจ็บมากกว่านี้อีกเยอะ” ส่วนคนนี้หนูอยากให้หยุดพูดไปซะ! แต่ละคำน่าฟังที่ไหน

ขอเปลี่ยนพี่ชายตอนนี้เลยได้ไหม?

“แต่ตอนนี้ตัวเล็กยังเด็กเกินไป”

“ตัวเล็ก? น้องกูชื่อ ‘พริกแกง’ ไม่ใช่ตัวเล็กเรียกให้มันถูก”

“กูพอใจจะเรียกแบบนี้” เท่านั้นแหละทั้งสองเปิดศึกข้ามหัวหนูไปมา ทั้งเตี้ยทั้งขาสั้นเสียเปรียบชะมัด หัวเปียกหมดแล้วมั้งเถียงกันหนักขนาดนี้ เรื่องแค่นี้ไม่รู้จะเถียงกันทำไม โตไปต้องเป็นแบบนี้ไหมเนี่ย?

เถียงกันอยู่สักพักพี่ชานนท์เป็นฝ่ายยอมแพ้ขอแยกตัวออกไป เขายกโทรศัพท์กดหาใครสักคน ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นแดดดี้หรือไม่ก็แม่ที่กำลังคุยงานอยู่ร้านอาหารไม่ห่างจากจุดนี้

วางสายไม่ถึงยี่สิบนาทีผู้ชายร่างใหญ่สวมชุดดำก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเดินตรงมาทางเราสามคนด้วยความเร่งรีบ

“น้าทอย” หนูวิ่งแจ้นไปหาคนหน้าดุ ทว่าสุดแสนจะใจดีที่เห็นมาตั้งแต่เกิด

“เป็นอะไรมากมั้ยครับคุณหนู” น้าทอยคุกเข่าลงตรงหน้า จับไหล่ทั้งสองข้างแล้วหมุนไปหมุนมาหลายรอบเพื่อสำรวจความเสียหาย เมื่อมั่นใจว่าไม่มีอะไรมากกว่าร่องรอยที่เห็น น้าทอยถึงยืนขึ้นแล้วหันไปคุยกับพี่ชานนท์อย่างนอบน้อม

“คุณชาครับ ผมพาคุณหนูกลับไปรอที่โรงแรมก่อนนะครับ”

“อืม” คนขี้เก๊กเต๊ะท่าตอบ

ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย น้าทอยอายุห่างกับเขาตั้งเกือบยี่สิบปี แต่พี่ชายตัวดีกลับตอบเสียงห้วนสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกอะไร

กับลูกน้องคนสนิทของพ่อยังทำเฉยชาขนาดนี้ กับคนอื่นไม่ต้องพูดถึง นอกจากหนูก็เพิ่งจะเห็นมีเพื่อนคนนี้นี่แหละที่พี่พูดคุยด้วยท่าทีสนิทสนม

น้าทอยก้มหัวให้ทั้งสองคนเล็กน้อย ก่อนจะจูงมือหนูเดินออกมา

จากมาเพียงไม่กี่ก้าว หนูนึกขึ้นได้ว่าลืมสิ่งสำคัญ จึงหันกลับไปหาคนทั้งสอง

แต่ไม่ทัน...

ทั้งคู่เดินห่างไปไกลแล้ว มัวแต่ตกใจจนลืมถามชื่อ และขอบคุณพี่ชายคนนั้นเลย จะไปถามพี่ชานนท์คนแบบเขาไม่มีทางบอกหรอก เฮ้อ...

พอถึงโรงแรม หนูรีบวิ่งเข้าห้องส่วนตัวเพื่อมาทำสิ่งสำคัญ

ไดอารี่เล่มใหม่เอี่ยมที่แวะซื้อระหว่างทางกลับถูกวางลงบนโต๊ะ ทุกเหตุการณ์ ทุกประโยคถูกบรรจงเขียนลงในสมุดเล่มหนาสีเดียวกับผ้าผืนนั้นอย่างละเอียด ด้วยความตั้งอกตั้งใจ

หนูเงยหน้าขึ้นมองวิวทิวทัศน์ยามท้องฟ้าทอสีส้มทอง ผ่านหน้าต่างบานใส ด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก จึงก้มลงเขียนต่อ

Puppy Love ของหนู

หนูจะไม่มีวันลืมเรื่องราวระหว่างเราเด็ดขาด ต่อไปนี้หนูจะเขียนเหตุการณ์ในชีวิตลงบันทึกทุก ๆ วัน จะเขียนไปจนกว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง หนูอยากให้พี่รู้ว่ากว่าเราจะเจอกัน ระหว่างทางมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

หรือถ้าหากไม่มีโอกาสนั้น หนูก็จะเขียนไปจนกว่าจะได้เจอคนที่เหมือนกับพี่ใจดีในวันนี้

****************************************************

หนูอยากแต่งงานกับผู้ชายที่เหมือนกับพี่ค่ะ >///<

Phikkaeng

29 มีนาคม 20XX

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ เมอร์รี่เมล

ข้อมูลเพิ่มเติม

หนังสือที่คุณอาจชอบ

ฮูหยินของข้า แซ่บไม่เบา

ฮูหยินของข้า แซ่บไม่เบา

Burke Gee
5.0

ทุกคนรู้ดีว่า บุตรีคนโตที่ไม่เป็นที่โปรดปรานในจวนโหวอันติ้งแห่งเมืองหลวง ทำให้แม่แท้ๆ ของตนต้องเสียชีวิต เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวโชคร้าย ก่อนแต่งงานก็ทำให้แม่เลี้ยงฝันร้ายอยู่หลายวัน ออกเดินทางไปทำบุญนอกเมืองก็ถูกโจรจับตัวไป แต่ใครจะคิดว่าโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี นางเปลี่ยนนิสัยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ยอมให้ใครมารังแกอีกต่อไปที่แท้ซูชิงซวู่ ผู้สุดยอดสายลับที่ทะลุมิติมาเผชิญกับพ่อที่เย็นชา แม่เลี้ยงที่ชั่วร้าย คู่หมั้นที่นอกใจน้องสาวต่างแม่ แต่ไม่เป็นไร คอยดูว่าเธอจะจัดการพวกชั่วช้า และเอาคืนทุกอย่าง ทว่าทำไมท่านอ๋องผู้นั้นถึงมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ นั่นล่ะเผ่ยเสวียนจู: บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ นอกจากเอาตัวไปแลก

หย่าปุ๊บ แต่งงานใหม่ปั๊บ

หย่าปุ๊บ แต่งงานใหม่ปั๊บ

Crimson Syntax
5.0

ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจียงว่านหนิงรักเย่เชินมานานหลายปี เธอที่มักจะว่านอนสอนง่ายและน่ารักเสมอ ได้สักลายเพื่อเขาและยอมทนอยู่ใต้อำนาจผู้อื่น เมื่อเธอถูกทุกคนใส่ร้ายจนโดนตำหนิ เขากลับนิ่งเฉยและยังถึงขั้นให้เธอคุกเข่าให้แฟนเก่าของเขาอีกด้วย เธอที่รู้สึกอับอาย ในที่สุดก็หมดหวัง หลังจากยกเลิกการหมั้น เธอก็หันไปแต่งงานกับทายาทพันล้านทันที คืนนั้นเอง ใบทะเบียนสมรสของทั้งคู่ก็กลายเป็นข่าวฮิตบนโลกออนไลน์ เย่เชินที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุดก็เริ่มวิตกและพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "อย่าเพ้อฝันไปเลย นายคิดว่าเธอรักนายจริงๆ งั้นเหรอ เธอแค่ต้องการใช้พลังอำนาจของตระกูลฟู่เพื่อแก้แค้นฉันเท่านั้นเอง" ฟู่จิงเซินจูบหญิงสาวในอ้อมกอดและตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า "แล้วจะเป็นไรไปล่ะ ก็พอดีว่าฉันมีทั้งเงินและอำนาจนี่"

ทะลุมิติมาเป็นภรรยาตัวน้อยของสามีพิการ

ทะลุมิติมาเป็นภรรยาตัวน้อยของสามีพิการ

มาชาวีร์
4.8

เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที

การแต่งงานที่ไม่คาดคิดของฉันกับ CEO

การแต่งงานที่ไม่คาดคิดของฉันกับ CEO

Pumpkin Witch
4.9

เสิ่นหยวูแต่งงานกับเหอซวี่ที่เป็นสูติแพทย์ตอนอายุยี่สิบสี่ปี สองปีต่อมา เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว เหอซวี่ก็วางแผนแท้งลูกเธอด้วยมือตัวเอง และหย่าร้างกับเธอ ระหว่างช่วงเวลาที่มืดมนเหล่านี้ ตู้หยวุนปรากฏตัวเข้าในชีวิตของเสิ่นหยวู เขาทำดีต่อเธออย่างอ่อนโยน และให้ความอบอุ่นแก่เธออย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ทำให้เธอต้องเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน สุดท้าย เสิ่นหยวูจึงเข้มแข็งขึ้นหลังผ่านพ้นไปกับทุกอย่างแล้ว แต่เมื่อความจริงก็ถูกเปิดเผยในที่สุด เธอจะยอมรับและอดทนได้ไหม? อยู่เบื้องหลังตู้หยวุนผู้ที่หล่อเหลาดูมีเสน่ห์นั้นเป็นใคร?และเมื่อพบคำตอบแล้ว เสิ่นหยวูจะรับมือยังไง ?

คุณสามีเป็นผู้พิการ

คุณสามีเป็นผู้พิการ

Devocean
4.9

"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"

คุณนายยอมหย่าแล้ว

คุณนายยอมหย่าแล้ว

Calv Momose
4.9

หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ