/0/30132/coverbig.jpg?v=7dc9dd675062d05b934e369696810d87&imageMogr2/format/webp)
วันสิ้นโลกผ่านไป 40 ปี กับวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย แต่อยู่ดีๆวันหนึ่ง เขาก็ย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นของวันสิ้นโลกในตอนที่อายุ 5 ขวบ
1.อ้วงข้ามเวลา
“เป็นไปได้จริงๆ สินะ”
เด็กชายตัวน้อยยกมือเล็กป้อมขึ้นลูบหน้าตัวเองเบาๆ สายตาเหลือบมองเงาที่สะท้อนในกระจกบานเก่าๆ ทรงยาวขนาดใหญ่ที่พิงไว้ข้างผนังบ้าน ท่ามกลางเสียงกรีดร้องขวัญผวาของผู้คนบนท้องถนนหน้าบ้านที่ดังแว่วเข้ามาไม่ขาดสาย
“การจับเจ้านั่นส่งฉันมาที่นี่?”
เล้งกล่าวกับตัวเองด้วยอาการเหม่อลอย วันสิ้นโลกได้มาถึงแบบไม่ทันตั้งตัวจากแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงชนิดที่ทำให้ทวีปต่างๆ เกิดรอยแยกขึ้นมา ถึงแม้จะไม่มาก และไม่ถึงกับทำให้แผ่นทวีปแยกออกจากกันก็ตาม แต่รอยแยกนั้นกลับเกิดขึ้นเกือบทั่วทุกพื้นที่บนโลก มันปล่อยรังสีอันตรายบางอย่างซึ่งมาจากแกนโลก เป็นรังสีความร้อนภายใต้เปลือกปฐพีหลายหมื่นเมตรปะทุขึ้นสู่อากาศ กลิ่นของมันเหมือนกำมะถัน สิ่งมีชีวิตที่สัมผัสจะเกิดการกลายพันธุ์ เริ่มแรกเป็นมนุษย์ที่ป่วย ผู้เคราะห์ร้ายกลุ่มแรกๆ คือเด็กและผู้ใหญ่ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอกว่าคนปกติ คนป่วยด้วยโรคร้ายและคนชราจะเสียชีวิตทันที เชื้อแบคทีเรียบางอย่างที่มนุษย์ไม่มีการศึกษาค้นคว้าและไม่รู้จักเพราะมันมากับรังสีใต้โลกเข้าควบคุมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น ทำให้เกิดสภาวะสมองตาย ควบคุมกล้ามเนื้อ ระบบประสาท การตอบสนองและอวัยวะทั้งหมด คนๆ นั้นจะอยู่ในสภาพเหมือนกับผีดิบ ไร้สติ มีแต่สัญชาตญาณความดุร้ายและความกระหาย
ส่วนคนที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นมาหน่อยก็จะกลายพันธุ์ให้มีพละกำลังที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป มีสมาธิหรือพลังจิตที่ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาไปอีกขั้น
พวกเขาหรือเธอจะมีพลังอย่างใดอย่างหนึ่ง พละกำลังแข็งแกร่งป่นเหล็กให้บี้แบน พลังจิตในการควบคุมสัตว์ หรืออีกหลายๆ อย่าง แต่พลังที่ออกมาและที่เล้งเคยเห็นมีแค่พลังกายกับจิตเท่านั้น มีการทดลองและได้คำตอบว่ารังสีนี้จะไปกระตุ้นการทำงานของสมอง โดยปกติมนุษย์มีการใช้สมองในอัตราแค่ 10% จะถูกยกระดับอัพเกรดสมรรถนะให้ดีกว่าเก่าหลายร้อยเท่า
และกลุ่มสุดท้ายคือคนที่ไม่ได้โดนผลกระทบของรังสีเลย หรือก็คือคนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานรังสี ฟังเหมือนดี แต่ในวันสิ้นโลกที่ซอมบี้กากๆ ซึ่งเดินช้ากว่าเต่าไม่เท่าไหร่มีแรงนิ้วมากกว่าแขนข้างหนึ่งของคุณ ถึงมันจะวิ่งไล่คุณไม่ทันเพราะข้อต่อกระดูกและกล้ามเนื้อที่ฝืดเคืองผลจากร่างกายที่เน่าเปื่อยลงเรื่อยๆ แต่ถ้าสมมติว่าเราพลาดพลั้งโดนพวกมันจับได้เมื่อไหร่ หากไม่ยกปืนเป่าหัวให้ตายในตอนนั้น แม้แต่คนธรรมดาสามคนก็แกะมือมันจากเหยื่อไม่ออกแน่นอน
ลำดับต่อไปของการกลายพันธุ์คือสัตว์เลือดเย็น สัตว์เลือดอุ่น สัตว์ปีก สัตว์น้ำ แมลงและต้นไม้ สัตว์ต่างๆ บนบกรวมทั้งแมลงจะแสดงผลหลังจากมนุษย์เผชิญวิกฤตประมาณ 3-5 วัน พวกมันมีทั้งวิวัฒนาการ 2 แบบเช่นเดียวกับมนุษย์คือเปลี่ยนเป็นซากผีดิบเลยหรือไม่ก็เปลี่ยนรูปแบบเป็นสัตว์กลายพันธุ์
ต้นไม้เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีปฏิกิริยาต่อรังสีช้าที่สุดและอันตรายที่สุด มันมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะโครงสร้างเหนือสามัญสำนึกไปมากกว่าเดิมหลายเท่า อันตรายน้อยสุดคือหญ้าที่สามารถเจาะผิวหนังเหยื่อเพื่อดูดเลือดหล่อเลี้ยงตัวมันเอง ระดับกลางขึ้นไปหน่อยก็ต้นไม้ยืนนิ่งกับที่เพื่อดักจับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ผ่านทางมา มีประสาทสัมผัสดีเยี่ยมในการจับคลื่นการสั่นสะเทือนของเป้าหมาย อันตรายที่สุดคือพวกที่สามารถถอนตัวเองออกจากดินเพื่อเคลื่อนไหว และมีสติปัญญาในการคิดวิเคราะห์ มีระบบประสาท การได้ยิน การดมกลิ่น การมองเห็น มีระบบไหลเวียนเลือด และมีอารมณ์ความรู้สึก บางพันธ์เปลี่ยนแม้กระทั่งรูปลักษณ์ให้แตกต่างไปจากเดิม
แต่ไม่ใช่ต้นไม้ทุกต้นที่กลายเป็นแบบนั้น...
เล้งอยู่ในโลกของความโกลาหลมาร่วมเกือบ 40 ปีนับจากที่เขาตื่นในตอนนี้ ล้มลุกคลุกคลาน ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มากมายตั้งแต่อายุ 5 ขวบ จนถึง 40 ปี ในวันสุดท้ายของชีวิตเขาถูกพวกมีพลังลากไปเป็นเบ๊เก็บของ ล่าสัตว์กลายพันธุ์ระดับสูงตนหนึ่ง มีชื่อว่าผีเสื้อมายา ซึ่งเป็นแมลงผีเสื้อขนาดใหญ่กว่า 7 เมตรกะโดยสายตา พลังมายารบกวนประสาทชนิดร้ายแรง มีการเคลื่อนที่คล้ายกับการฉีกมิติไปโผล่อีกที่หนึ่งเป็นท่าไม้ตายก้นหีบไว้หนีเมื่อจวนตัว แต่ตอนนั้นที่ล่าเป็นราชินีของมัน หินวิวัฒน์ในร่างส่องแสงเปล่งประกาย เขามีหน้าที่เก็บของเหล่านั้น พอมือแตะไปที่หินสีสวย ทุกอย่างก็ระเบิดทำลายล้างไปรอบบริเวณในทันทีโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
และตื่นขึ้นมาในตอนนี้
ดูเหมือนเวลาแค่เกือบ 40 ปี สัตว์วิวัฒน์จะพัฒนาความสามารถตัวเองจนทำเรื่องเหนือสามัญสำนึกอย่างการส่งใครสักคนข้ามกาลเวลามาได้แล้วในบางสายพันธุ์ที่มีพลังเกี่ยวกับมิติ
...วันแรกของเหตุการณ์ความวุ่นวาย
ตอนที่เขาอายุ 5 ขวบปี แน่นอนถ้าเป็นเมื่ออดีตเขาจำช่วงเวลาตอนตัวเองอายุ 5 ขวบไม่ได้ จำไม่ได้แม้กระทั่งอ้อมกอดอุ่นสุดท้ายของพ่อกับแม่
ป้าที่รับเลี้ยงเขาในค่ายผู้อพยพเล่าให้ฟังตอนที่เขาอายุ 15 ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตจากภาวะขาดสารอาหารว่าพ่อของเขาช่วยล่อซอมบี้ไปอีกทางเพื่อให้แม่กับเขาปลอดภัย หลังจากนั้นแม่ของเขาซึ่งหน้าตาสระสวยก็ถูกผู้มีอิทธิพลภายในค่ายจับไปข่มขืนและไม่ได้เจอกันอีก ป้าซึ่งหนีไปพร้อมๆ กับครอบครัวของเขาในช่วงแรกนึกสงสารจึงรับไปดูแลต่อจนถึงวาระสุดท้ายในชีวิตเธอ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นพี่ ทำไมด้านนอกถึงวุ่นวายแบบนี้!?”
ลินดาแง้มผ้าม่านหน้าต่างภายในบ้านเช่าที่เธอกับครอบครัวอาศัยอยู่ด้วยแววตากังวล ความวุ่นวายด้านนอกทำให้หญิงสาวขวัญผวา มีศพคนตายตัวม่วงช้ำเลือดช้ำหนองเดินโซเซไล่กัดคนไปทั่ว เสียงกรีดร้องแสดงถึงความหวาดกลัวและเจ็บปวด รถราชนกัน เสียงไซเรนของรถตำรวจและรถพยาบาลวุ่นวายเต็มท้องถนน
“พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
เอก สามีร่างสูงของลินดาตอบออกไปพร้อมกับดึงภรรยาออกมาจากหน้าต่างบานดังกล่าว เล้งมองสองผัวเมียซึ่งเป็นบิดามารดาบังเกิดเกล้าของตัวเอง พร้อมกับซึมซับอ้อมกอดของแม่ที่เข้ามาปลอบโยนเขาอยู่เงียบๆ
ลินดาเป็นหญิงสาวผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราเหมือนองค์หญิงในหนังสือนิทานขาดๆ เก่าๆ ที่ป้าเคยเก็บมาได้และเล่าให้ฟังก่อนนอน เธอทั้งบอบบาง นุ่มนิ่ม ตัวเล็ก ดูน่าถนุถนอมอ่อนโยนทุกองศาสายตาที่คนมอง ผิดกับพ่อของเขาอย่างเอก รายนี้ตัวโตล่ำสัน ผิวสีแทน หน้าตาคมดุ คิ้วพาดเฉียงเหมือนหงุดหงิดตลอดเวลา จมูกโด่งมีสันกรามชัดเจน นิยามตามความคิดทั่วไปก็หล่อเลว มีรอยสักที่แขนไล่จากไหล่ซ้ายจนถึงข้อมือ และที่ลำคอแกร่งใกล้ๆ กับกกหูด้านขวา ติ่งหูข้างขวาเจาะประดับจิววงกลมสีเงินสองเม็ด
นักเลงกับคุณหนูดีๆ นี่เอง
“เราหนีออกจากที่นี่เถอะพี่ หนูกลัว”
หญิงสาวตัวสั่นงันงก ยิ่งฟังเสียงเนื้อฉีกขาดจากข้างนอกเหมือนสติของเธอจะเตลิดมากกว่าเดิม ชายหนุ่มเข้าไปปลอบโยนกอดกระชับทั้งเมียและลูกชายปากกำลังจะอ้าตอบตกลงไปแล้ว ถ้าไม่มีเสียงเล็กๆ ของเล้งเอ่ยขัดเสียก่อน
“ไม่ไป”
“อยู่ที่นี่มันอันตรายนะลูก”
ลินดาก้มลงตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ โดยลืมคิดไปว่าเด็กชายในอ้อมแขนตามความจริงเธอไม่จำเป็นต้องต่อความยาวอะไรตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ทว่าเด็กน้อยกลับสายหน้า
“ไม่ไปฮับ ในนี้ปอดภัยน้า~”
ผีดิบวันแรกของเหตุการณ์โกลาหลไม่ได้น่ากลัวเมื่อเทียบกับอีกสองปีต่อมา แค่โดนช๊อตไฟฟ้าหรือโดนความเย็นก็น็อกไปแล้ว หรือถ้าให้ดีกว่านั้นเดินเอาปากกระบอกปืนจ่อหัวโต้งๆ แล้วลั่นไกใส่เปรี้ยงเดียวก็จบ เพราะอย่างไรมันก็เดินช้า การตอบสนองระยะแรกทื่อเสียน่าสมเพช เนื่องจากผีดิบคือศพคนที่ตายแล้ว เมื่อมันเย็นตัวลงข้อต่อต่างๆ ก็ฝือเคืองไปด้วย พวกมันจึงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เล้งหันใบหน้าไปมองพ่อ
“พ่อม่ายไปนะ แม่โหน่ย (เหนื่อย) ”
ไอ้ลิ้นชิบหาย!
เอกลังเล เขาซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวตัดสินใจไม่ถูกกับสถานการณ์นี้
“ข้างนอกอันตาลายน้า”
เสียงฟันน้ำนมเล็กๆ ของบุตรชายกลับเรียกสติได้เป็นอย่างดี แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบรับชายหนุ่มรู้สึกเสียดแทงจากด้านในอกก่อนจะล้มลงไปอย่างกะทันหันเรียกเสียงกรีดร้องจากผู้เป็นภรรยาดังลั่น
“แม่ชู่! ชู่ๆๆ อย่าล้องนะ เด่วตัวน่ากัวข้างนอกเข้ามานะ!”
เล้งมองพ่อที่ล้มลงไปตัวสั่นสะท้านพร้อมกับเหงื่อมากมายไหลชโลมกายอย่างฉับพลัน พร้อมกับทำท่าจุปากพยายามปลอบให้มารดาเงียบเสียง ศพพวกนั้นเคลื่อนไหวช้าแต่ไวต่อเสียง ถึงมันจะซึมกะทื่อไปบ้าง เล้งรับรองสำหรับคนที่ไม่เคยพบเห็นมันคงไม่มีกะจิตกะใจจะหันไปต่อกรด้วย บางทีอาจไม่หนีด้วยซ้ำเพราะความหวาดกลัวฉุดรั้งสติ
การกลายพันธุ์... ไม่แปลกใจว่าทำไมพ่อถึงไม่รอดกลับมาหาเขากับแม่ในชาติที่แล้ว เพราะคนที่กลายพันธุ์ช่วงแรกไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย เผลอๆ เขาอาจล่อซอมบี้ไปทางอื่นแล้วเกิดกลายพันธุ์ระหว่างทาง หมดสติล้มลงตรงนั้นแล้วถูกฝูงศพเดินได้รุมกินโต๊ะตายทั้งเป็น จบชีวิตแบบยังไม่ทันได้พยายามในการมีชีวิตเลยด้วยซ้ำ
“แม่ขอผ้าใหญ่ๆ”
“ฮึกๆ ลูกจะเอาไปทำอะไร แม่ขอดูพ่อก่อน”
“จาเอามาลากพ่อ!”
ในสถานการณ์นี้ลินดาไม่ได้เอะใจกับพฤติกรรมแปลกๆ ของลูกชาย เธอเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่เท่าตัวสามีมายื่นให้เด็กน้อย เล้งนำผ้ามาปูไว้กับพื้น
“เอาพ่อวางตงนี้ เล็วๆ แม่เล็วๆ!!”
หญิงสาวไม่มีทางเลือกมากนักจากสถานการณ์ที่บีบคั้นนี้ เธอพยายามใช้แรงพลิกตัวสามีร่างใหญ่กว่าตัวเองหลายเท่าไว้บนผ้าที่ปูไว้ และโดนลูกชายสั่งให้จับปลายผ้านั้นลากเข้าไปในห้องนอน
พ่อเขาตัวโตอย่างกับหมี แรงเด็กกับผู้หญิงจะเคลื่อนย้ายได้ยังไงตามลำพัง แค่ช่วยแม่ดันผ้าห่มเล้งก็รู้สึกเหมือนกำลังกลิ้นก้อนหินยักษ์ที่ไม่มีวันขยับอย่างไรอย่างนั้น....
ถึงจะลำบากไปบ้างแต่ในที่สุดก็ลากเข้ามาจนได้ลินดาหาผ้ามาเช็ดตัวสามีที่หมดสติด้วยมือที่สั่นเทา เสาหลักของบ้านคือพี่เอก ถ้าพี่เอกเป็นอะไรไปจะทำยังไง!?
ปังๆๆ
“ใครอยู่ข้างในช่วยด้วย!” “เปิดประตูที!ขอร้องละ!” “ประตูเปิดหน่อย อ้ากกๆๆ!!!” “ปล่อยกูไอ้สัส!” “อย่า! อ้ากกก!!!” “กรี้ด!! ไม่นะ ม่ายย!!”
ลินดาหยัดกายตัวเองลุกขึ้นกำลังจะวิ่งไปเปิดประตูบ้านเพื่อช่วยคนเหล่านั้นแต่โดนลูกชายจับขืนชายกระโปรงเธอเอาไว้เธอเสียแน่นหนา
“เล้งลูกทำอะไรน่ะ!? ปล่อยแม่ก่อนแม่จะไปเปิดประตูช่วยเขา”
ไม่ได้!!!
“ตัวปะหลาดอยู่นอก ไม่ไป แม่ไม่ไป”
เด็กชายกอดขาแม่แน่นสายหน้าหวือ เขาไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เธอเข้าใจ ลิ้นก็แข็ง ตัวก็เล็ก แถมกลมเหมือนหมูอีก เขาตอนเด็กถูกเลี้ยงดีเกินไปแล้ว!
“เช็ดตัวพ่อ! เล้งกัว แม่ไม่ไป”
ลินดาลังเล สุดท้ายสะดุ้งเพราะเสียงคำรามครืดคราดประหลาดในคอของศพเดินได้หน้าประตูบ้าน เธอจึงตัดสินใจกัดฟันเมินเสียงขอความช่วยเหล่านั้นยอมกลับมานั่งอย่างเดิมด้วยสีหน้าซีดเซียว
ภายในใจมีอารมณ์มากมายตีรวนกันไปหมดจนรู้สึกเหมือนจะอาเจียนอยู่รอมร่อ หญิงสาวพยายามฝืนตัวเองเอาไว้อย่างยากลำบากก่อนจะหันกายไปเช็ดตัวสามีซึ่งนอนหมดสติอยู่บนพื้นห้อง เด็กชายก้าวออกจากห้องนอนไปอย่างเงียบๆ หลังดูว่าแม่ไม่คิดผลีผลามไปไหนอีก
อย่างน้อยก็ให้เธอมีสมาธิในการดูแลพ่อไปก่อน....
“ลูกจะไปไหน?”
คนเป็นแม่นอกจากสามีแล้วสายตาไม่มีวันละจากลูกเล็กอย่างแน่นอน ลินดาเป็นห่วงสามีและกำลังต่อสู้กับศีลธรรมและความกังวลในใจ นั่นไม่ได้หมายความว่าลูกชายจะสามารถละสายตาจากเธอได้ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้
“เล้งไปชี่ (ฉี่) ”
ตอบแม่ไปก็อดจะกรอกตาในใจไม่ได้ ชีวิตวัยเด็กของเขานี่มันน่ารันทดชะมัด เตี้ยม่อต่อไม่พอ แขนขายังอ้วนเป็นปล้องอ้อย ลิ้นก็แข็ง พูดทีน้ำลายแทบย้อยลงตรงมุมปาก
วัยเด็กที่เฮงซวย!
------------------------
บทที่ 1 1.อ้วงข้ามเวลา
21/11/2025
บทที่ 2 2.จะเจาะคอให้ตายเยย!
21/11/2025
บทที่ 3 3.แอร์และกระเป๋าเคลื่อนที่
21/11/2025
บทที่ 4 4.หนมปังนี้กิงดั้ยไหมอ่า
22/11/2025
บทที่ 5 5.นอกบ้าน
23/11/2025
บทที่ 6 6.มันคนนั้น
24/11/2025
บทที่ 7 7.คลื่นเสียง
25/11/2025
บทที่ 8 8.เป็ดโปรสีม่วง
26/11/2025
บทที่ 9 9.สมาชิกใหม่
27/11/2025
บทที่ 10 10.สาวข้างห้อง
05/12/2025
บทที่ 11 11.วันที่แท้จริง
06/12/2025
บทที่ 12 12.กาแฟตราแรมโบ้
07/12/2025
บทที่ 13 13.กองกำลัง
08/12/2025
บทที่ 14 14.หลานจอมพล
09/12/2025
บทที่ 15 15.ซ้าง
10/12/2025
บทที่ 16 16.อนาคตผีดิบระดับสี่
11/12/2025
บทที่ 17 17.หญิงแพะ
วันนี้10:04