เมื่อรักย่อมต้องเจ็บ
ฉันรู้ดีว่าต่อให้อยากจะรั้งเขาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่เรื่องบางเรื่องนั้นต้องลองดู ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา และพูดออกมาว่า “ฉันตกลงที่จะหย่า แต่ฉันมีเงื่อนไขคืนนี้คุณต้องอยู่กับฉัน และไปงานศพคุณปู่กับฉัน หลังจากจบงานศพ ฉันจะรีบเซ็นชื่อให้ทันที”
เขาหรี่ตาลง มีรอยยิ้มเย้ยหยันในดวงตาสีเข้ม มุมปากขยับเล็กน้อย “เอาใจฉันสิ” เขาปล่อยมือ หรี่ตาลงแล้วโน้มตัวมาใกล้หูของฉัน “เสิ่นชู เรื่องทุกเรื่องนั้นต้องอาศัยความสามารถของตัวเอง แค่พูดเฉย ๆ นั้นไม่มีประโยชน์หรอก”
น้ำเสียงของเขาเย็นชา แต่ฟังดูยั่วยวน ฉันรู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร ฉันยกแขนไปโอบเอวเขา และเงยหน้าขึ้นพยายามที่จะเข้าใกล้เขา ความสูงของคนสองคนนั่นต่างกันมาก ท่าทางแบบนี้มันเลยทำให้ฉันดูตลก
ในใจก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกยังไง ใช้วิธีนี้เพื่อดึงคนที่ตัวเองชอบไว้ มัน...น่าสมเพชจริง ๆ
ฉันอยากจะขยับมือไปตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกมือของเขากดไว้ ฉันลืมตาขึ้น และเห็นว่าดวงตาสีดำขับของเขานั้นดูยั่วยวน “พอได้แล้ว!”
ฉันอึ้งไปทันทีที่ได้ยินคำพูดที่เฉยเมย และเย็นชานั้น ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร พลางเห็นเขาดึงเอาชุดนอนสีเทาที่วางอยู่บนเตียงมาสวมใส่
ตอนนั้นฉันชะงักไปชั่วครู่ แล้วจึงได้สติกลับมา เขา... ไม่ออกไปแล้วเหรอ?
ยังไม่ทันได้มีความสุข ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังแว่วมาท่ามกลางสายฝนนอกหน้าต่าง “พี่เชิ่น...”
ฉันชะงักไป แต่ไม่เร็วเเท่าฟู่เชิ่นเหยียน และก็เห็นเขาเดินไปที่ระเบียง จากนั้นเขาก็ดึงเสื้อโค้ท และออกจากห้องนอนไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
นอกระเบียง ลู่ชินหรานยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก เธอสวมชุดเดรสบาง ๆ ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน คนสวยที่แต่เดิมนั้นป่วย และแลดูบอบบาง ตอนนี้พออยู่ท่ามกลางสายฝนก็แลดูน่าสงสารมากขึ้น
ฟู่เชิ่นเหยียนเอาเสื้อโค้ทคลุมตัวให้เธอ ยังไม่ทันที่จะดุเธอ ลู่ชินหรานก็กอดเขาไว้แน่นพลางสะอื้นเบา ๆ
พอเห็นภาพนี้แล้ว จู่ ๆ ฉันก็เข้าใจขึ้นมาว่าทำไมฉันอยู่กับฟู่เชิ่นเหยียนมาสองปีถึงเทียบกับโทรศัพท์สายหนึ่งของลู่ชินหรานไม่ได้
ฟู่เชิ่นเหยียนกอดลู่ชินหรานเข้ามาในวิลล่า และพาเธอขึ้นมาชั้นบน ฉันยืนอยู่ที่บันได มองคนสองคนที่เปียกโชกไปด้วยน้ำฝน พลางขวางทางพวกเขาไว้
“หลีกไป!” ฟู่เชิ่นเหยียนพูด น้ำเสียงของเขาเย็นชา และเคร่งขรึม เขามองมาที่ฉันด้วยความรังเกียจ
เสียใจงั้นเหรอ?
ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่เจ็บกว่าคือการที่เห็นคนที่ตัวเองรักดูแลคนอื่น และเหยียบย้ำตัวเองแบบนี้
“ฟู่เชิ่นเหยียน ตอนที่แต่งงานกันคุณสัญญากับคุณปู่ว่าถ้าฉันเสิ่นชูอยู่ที่นี่ คุณจะไม่พาเธอเข้ามาที่นี่” นี่เป็นที่ ๆ ฉันกับฟู่เชิ่นเหยียนอาศัยอยู่ด้วยกัน ฉันให้เขาไปอยู่กับลู่ชินหรานมาหลายต่อหลายคืนแล้ว ทำไมถึงต้องมาเหยียบย่ำกันถึงในถิ่นของฉันด้วย
“เฮอะ!” จู่ ๆ ฟู่เชิ่นเหยียนก็ยิ้มเยาะขึ้นมา ดึงฉันออกไป และพูดอย่างเย็นชาว่า “เสิ่นชู เธอสำคัญตัวเองไป”
ช่างเป็นประโยคที่น่าขันจริง ๆ และก็เห็นเขาพาลู่ชินหรานเข้าไปในห้องรับแขก สุดท้ายฉันก็ได้แต่ยืนมองเหมือนเป็นคนนอก
คืนนี้ไม่สงบแน่ ๆ
ลู่ชินหรานเปียกฝนมา แต่เดิมเธอนั้นอ่อนแออยู่แล้ว แต่ฝนตกหนักทำให้เธอมีไข้สูง ฟู่เชิ่นเหยียนดูแลเธอ พลางเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ และใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัวให้ไข้ของเธอลดลง
บางทีเขาอาจจะรู้สึกขวางหูขวางตาที่ฉันอยู่ข้าง ๆ เลยมองฉันอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “กลับบ้านตระกูลฟู่ไปซะ! ชินหรานเป็นแบบนี้ คืนนี้กลับไปไม่ได้แล้ว”
ให้ฉันกลับไปที่บ้านตระกูลฟู่ตอนนี้เนี่ยนะ? เฮอะ ๆ ...
ฉันขวางหูขวางตางั้นสินะ
ฉันมองฟู่เชิ่นเหยียนอยู่นาน แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรเพื่อเตือนเขาว่าบ้านตระกูลฟู่อยู่ห่างจากที่นี่มากแค่ไหน ตอนนี้ดึกแค่ไหนแล้ว ฉันเป็นผู้หญิง ไปที่นั่นคนเดียวมันไม่ปลอดภัยมากขนาดไหน
แต่เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย สิ่งที่เขาสนใจคือการที่เธออยู่ที่นี่นั้นจะเป็นการรบกวนการพักผ่อนของลู่ชินหราน
ฉันระงับความเจ็บปวดในใจ ก่อนก็พูดขึ้นมาเรียบ ๆ ว่า “ฉันจะกลับไปที่ห้องนอน ตอนนี้ไปที่บ้าน... คงจะไม่เหมาะสม!”
เขาไม่ใส่ใจฉัน ฉันเองก็ไม่สามารถให้เขามาเหยียบย่ำฉันได้ตามอำเภอใจเช่นกัน
พอออกมาจากห้องรับแขก ก็เจอเฉิงจวิ้นยวี่ที่เดินเข้ามาอย่างรีบร้อนตรงทางเดิน เห็นเขาที่รูปร่างสูงโปร่งสวมชุดนอนสีดำ คงจะรีบมาก ไม่ได้เปลี่ยนแม้กระทั่งรองเท้า และชุดก็เปียกไปกว่าครึ่ง