เมื่อรักย่อมต้องเจ็บ
ทางเดินไม่กว้างมากนัก พอเจอกันเขาก็ชะงักไปพักนึง ก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วพูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ผมมาดูอาการชินหรานครับ”
เฉิงจวิ้นยวี่เป็นเพื่อนตายของฟู่เชิ่นเหยียน มีคนบอกว่าการจะดูว่าผู้ชายคนหนึ่งรักคุณหรือไม่นั้น ให้ลองดูท่าทีที่เพื่อนของเขาปฏิบัติต่อคุณก็รู้แล้ว
ไม่จำเป็นต้องดูท่าที แค่ฟังจากชื่อที่เรียกก็รู้แล้ว เสิ่นชูนั้นมีชื่อเรียกแค่ชื่อเดียวคือคุณเสิ่น
ช่างเป็นชื่อเรียกที่สุภาพและห่างเหินมากทีเดียว!
คนเรานั้นอย่าไปคิดอะไรยิบย่อนนัก ไม่งั้นจะรู้สึกหดหู่ได้ ฉันเลยยิ้ม และหลีกทางให้เขา ก่อนจะพูดว่า “อืม เข้าไปเถอะค่ะ!”
บางครั้งฉันก็รู้สึกอิจฉาลู่ชินหรานมาก แค่เธอหลั่งน้ำตาไม่กี่หยดก็ได้รับความอบอุ่นที่ฉันพยายามมามากว่าครึ่งชีวิตได้แล้ว
พอกลับมาที่ห้องนอน ก็หาชุดที่ฟู่เชิ่นเหยียนไม่เคยใส่ ก่อนจะกอดมัน และลงไปที่ห้องนั่งเล่น
เฉิงจวิ้นยวี่รีบตรวจดูอาหารของลู่ชินหราน วัดอุณหภูมิ จ่ายยาลดไข้ และเตรียมตัวกลับ
พอเขาลงมาข้างล่างก็เห็นฉันยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น เขาก็ยิ้มออกมาอย่างสุภาพ “นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณเสิ่นยังไม่นอนอีกเหรอครับ?”
“ค่ะ เดี๋ยวก็นอนแล้วค่ะ!” ฉันยื่นเสื้อผ้าในมือให้เขาแล้วพูดว่า “เสื้อผ้าของคุณเปียกหมดแล้ว ข้างนอกฝนยังตกอยู่ เปลี่ยนชุดก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”
เขาอึ้งไปพักนึง คงจะเพราะว่าไม่คิดว่าฉันจะเอาเสื้อผ้ามาให้เขา ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มขึ้นมาพลางพูดว่า “ไม่ต้องหรอกครับ ผมแข็งแรงดี ไม่เป็นไรง่าย ๆ หรอก!”
ฉันยื่นเสื้อผ้าให้เขา และพูดว่า “ฟู่เชิ่นเหยียนไม่เคยใส่มาก่อน ป้ายราคายังติดอยู่เลยค่ะ พวกคุณตัวพอ ๆ กัน ฉันว่าน่าจะใส่ได้!”
พอพูดจบฉันก็ขึ้นไปชั้นบน และกลับไปที่ห้องนอน
ฉันไม่ได้หวังดีอะไรขนาดนั้น แต่ตอนที่คุณยายของฉันเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เฉิงจวิ้นยวี่เป็นหัวหน้าศัลยแพทย์ของที่นั้น เขาเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลฟู่ เขาคงไม่มีทางยอมผ่าตัดคุณยายของฉันแน่ ๆ เสื้อผ้านั้นถือว่าเป็นการขอบคุณละกัน
วันถัดมา
เช้าตรู่หลังจากคืนที่ฝนตกหนักนั้น แสงแดดมีกลิ่นอายของดินตลบอบอวลไปหมด ฉันตื่นเช้าจนชินแล้ว พอฉันอาบน้ำ และลงไปชั้นล่างก็เห็นฟู่เชิ่นเหยียนกับลู่ชินหรานอยู่ในครัว
ฟู่เชิ่นเหยียนสวมผ้ากันเปื้อนสีดำ รูปร่างสูงโปร่งยืนทอดไข่อยู่หน้าเตา ความเย็นชาในตัวเขาได้อันตรธานหายไป เผยให้เห็นว่าเขาก็ดูมีชีวิตชีวา
นัตย์ตาสีดำที่เป็นประกายระยิบระยับของลู่ชินหรานนั้นมองเขาไปมา ดูเหมือนว่าไข้เพิ่งจะลด ใบหน้าจิ้มลิ้มยังคงแดงนิด ๆ มันดูน่ารักและน่าหลงใหลมากทีเดียว
“พี่เชิ่นเหยียน ฉันอยากทานไข่ดาวเกรียม ๆ” ตอนที่พูดนั้น ลู่ชินหรานก็ยัดสตรอเบอร์รี่เข้าไปในปากของฟู่เชิ่นเหยียน และพูดต่อว่า “แต่อย่าเกรียมมากนักนะคะ ไม่งั้นมันจะขม”
ฟู่เชิ่นเหยียนเคี้ยวสตรอเบอร์รี่ และนัตย์ตาดำขลับคู่นั้นก็จับจ้องไปที่เธอ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่แค่มองก็รู้แล้วว่ามันเต็มไปด้วยความรัก
ผู้ชายหล่อกับผู้หญิงสวย พวกเขาเหมาะสมกันมากจริง ๆ !
บรรยากาศแบบนี้ ทั้งอบอุ่น และโรแมนติก ดูแล้วสวีทสุด ๆ
“พวกเขาเหมาะสมกันดีไม่ใช่รึไง?” มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างหลัง ฉันถึงกับชะงัก พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นเฉิงจวิ้นยวี่ ฉันลืมไปว่าเมื่อคืนนั้นฝนตกหนัก และลู่ชินหรานก็มีไข้สูง ฟู่เชิ่นเหยียนไม่มีทางให้เขากลับไปแน่
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ!” ฉันเอ่ยพลางยิ้มออกมา สายตาจับจ้องไปยังเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ ซึ่งเป็นชุดที่ฉันยื่นให้เขาเมื่อคืนนี้
พอสังเกตเห็นสายตาของฉัน เขาก็เลิกคิ้ว และยิ้ม “ชุดนี้ใส่ได้พอดีเลย ขอบคุณนะครับ”
ฉันส่ายหน้า “ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ!” ฉันซื้อชุดนี้ให้ฟู่เชิ่นเหยียน แต่เขาไม่เคยคิดจะแตะมันเลย
อาจจะเพราะว่าได้ยินเสียง ลู่ชินหรานก็หันมาเรียกเรา “พี่เสิ่น พี่จวิ้นยวี่ พวกคุณตื่นแล้วเหรอคะ พี่เชิ่นเหยียนทอดไข่ดาว มากินด้วยกันสิคะ!”
คำพูดแบบนี้ ราวกับว่าตัวเองเป็นคุณนายเจ้าของบ้านชัด ๆ
ฉันยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องหรอก เมื่อวานฉันซื้อขนมปังกับนมมาแล้วอยู่ในตู้เย็นน่ะ เธอเพิ่งจะหายดี กินเยอะ ๆ ล่ะ” เพราะนี่คือที่ ๆ ฉันอยู่มากว่าสองปีแล้ว โฉนดที่ดินนั้นก็เป็นชื่อของฉันกับฟู่เชิ่นเหยียน
ต่อให้ฉันจะอ่อนแอแค่ไหน ก็ไม่อยากให้คนอื่นมาบุกรุกถิ่นของตัวเองโดยไม่ได้รับอนุญาต