เมื่อรักย่อมต้องเจ็บ
พอได้ยินสิ่งที่ฉันพูด ใบหน้าเล็ก ๆ ของ ลู่ชินหรานก็ชะงักไป ดวงตาสีดำของเธอมืดลง เธอมองกลับไปที่ฟู่เชิ่นเหยียนพลางดึงที่มุมเสื้อผ้าของเขาแล้วพูดเบา ๆ ว่า “พี่เชิ่นเหยียน เมื่อคืนฉันเอาแต่ใจตัวเองเกินไป มารบกวนพี่กับพี่เสิ่น พี่เรียกพี่เสิ่นทานอาหารเช้ากับเราได้ไหมคะ? ถือเป็นคำขอโทษของฉันนะคะ?”
ฉัน...
เฮอะ ๆ คนบางคนไม่จำเป็นต้องพยายามอะไรเลย พวกเธอแค่พูดจาอ้อน ๆ ให้ดูเหมือนอ่อนแอก็สามารถได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากคนอื่นแล้ว
ทีแรกฟู่เชิ่นเหยียนนั้นไม่สนใจฉันเลย แต่พอชินหรานออกปากมาแบบนี้แล้ว เขาก็หันกลับมามองฉันแล้วพูดว่า “ทานข้าวด้วยกัน!”
น้ำเสียงนั้นเย็นชา และแฝงไปด้วยคำสั่ง
มันเจ็บไหมน่ะเหรอ? ชินแล้วล่ะ
ฉันยกยิ้มขึ้นมาพลางพยักหน้า “ขอบคุณค่ะ!”
ฉันไม่สามารถปฏิเสธฟู่เชิ่นเหยียนได้อย่างเช่นเคย มันยากที่จะปล่อยวางคนที่ตัวเองรักทั้งหัวใจไปได้ง่าย ๆ
โชคดีจริง ๆ ที่ได้กินอาหารเช้าที่ฟู่เชิ่นเหยียนทำเป็นครั้งแรก ไข่ดาวกับโจ๊กถั่วเขียว มันดูธรรมดาแต่ก็ไม่ธรรมดา ฉันคิดมาตลอดว่าผู้ชายแบบฟู่เชิ่นเหยียนนั้นเป็นลูกรักของพระเจ้า มือของเขามีไว้สั่งอย่างเดียว
“พี่เสิ่นคะ ลองชิมไข่ดาวของพี่เชิ่นเหยียนดูสิคะ มันอร่อยมากเลยนะคะ ตอนที่เราคบกัน เขามักจะทอดให้ฉันกินอยู่บ่อย ๆ ” ลู่ชินหรานพูดพลางคีบไข่ใส่ชามของฉัน
จากนั้นก็คีบไข่อีกอันหนึ่งใส่ชามของฟู่เชิ่นเหยียนอย่างสนิทสนมพลางยิ้มตาหยี “พี่เชิ่นเหยียน วันนี้คุณสัญญาว่าจะพาฉันไปชมดอกไม้ที่หนานเจียง ห้ามเบี้ยวนัดนะคะ”
“อืม!” ฟู่เชิ่นเหยียนเอ่ยปาก และทานอาหารเช้าด้วยท่าทางองอาจ เขานั้นเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว แต่พออยู่กับลู่ชินหรานแล้ว เขาก็ดูเหมือนจะตอบทุกอย่าง
เฉิงจวิ้นยวี่นั้นดูเหมือนจะชินแล้ว เขาทานอาหารเช้าด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย และมองดูพวกเราราวกับเป็นคนนอก
ฉันลดสายตาลง และขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว วันนี้เป็นงานศพของคุณปู่ ถ้าฟู่เชิ่นเหยียนไปกับลู่ชินหรานแล้ว งั้นทางบ้านตระกูลฟู่...
อาหารเช้ามื้อนี้ เป็นใครก็คงไม่มีกะจิตกะใจกินแน่ ๆ หลังจากกินไปได้สองสามคำก็เห็นฟู่เชิ่นเหยียนขึ้นไปชั้นบนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากกินเสร็จ ฉันเลยวางชามและตะเกียบแล้วเดินตามไป
ที่ห้องนอน
พอฟู่เชิ่นเหยียนรู้ว่าฉันตามมาก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงเรียบว่า “มีอะไรรึป่าว?”
ตอนที่เขาพูดนั้น เขาก็ถอดเสื้อผ้าออกราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เผยให้เห็นรูปร่างที่ล่ำสันของเขาโดยไม่มีอะไรปิดกั้น ฉันหันหลังให้เขาตามสัญชาตญาณและพูดว่า “วันนี้เป็นงานศพของคุณปู่นะคะ!”
มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างหลังเล็กน้อย มีทั้งเสียงรูดซิป และใส่เข็มขัด จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า “เธอไปก็พอแล้ว”
ฉันขมวดคิ้ว “ฟู่เชิ่นเหยียน นี่คือปู่ของคุณนะ” เขาเป็นลูกหลานคนโตของตระกูลฟู่ ถ้าเวลานี้เขาไม่ไป แล้วคนอื่น ๆ ในบ้านจะคิดยังไง?
“เรื่องงานศพ ฉันให้เฉินอี้จัดการเรียบร้อยแล้ว ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมก็ไปคุยกับเฉินอี้ได้” เขาพูดเรียบ ๆ ราวกับว่าเขากำลังพูดเรื่องที่ไม่สำคัญอย่างไรอย่างนั้น
พอเห็นเขาเดินไปที่ห้องทำงาน ฉันก็ขึ้นเสียง และพูดออกมาอย่างไม่สบายใจว่า “ฟู่เชิ่นเหยียน สำหรับคุณแล้ว นอกจากลู่ชินหราน คนอื่นจะเป็นจะตายยังไงก็ช่างงั้นสินะ? สำหรับคุณ ครอบครัวไม่สำคัญเลยใช่ไหม?”
เขาหยุดเดิน และหันกลับมามองฉัน แววตาสีดำเข้มของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ท่าทางของเขาเย็นชาซะจนฉันอดที่จะสั่นขึ้นมาไม่ได้ “เรื่องของตระกูลฟู่นั้น เธอไม่มีสิทธิ์พูด”
หลังจากหยุดไป เขาก็ยกริมฝีปากบาง ๆ ขึ้น และพูดขึ้นมาอย่างประชดประชันว่า “เธอไม่คู่ควร!”
แค่คำพูดไม่กี่คำนั้นเหมือนกับมีน้ำเย็น ๆ สาดลงมาที่ตัวฉัน จนตัวนั้นรู้สึกเย็นวาบไปหมด
พอได้ยินเสียงเดินออกไป ฉันก็หัวเราะไม่ออก
ฉันไม่คู่ควรงั้นเหรอ!
เฮอะ ๆ !
สองปีมานี้ ฉันไม่สามารถทำให้คนเย็นชาเปลี่ยนใจได้จริง ๆ
“ทีแรกคิดว่าเธอแค่หน้าด้าน ไม่คิดเลยว่าจะชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นแบบนี้” มีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นมาจากข้าง ๆ
ฉันหันกลับไปก็เห็นว่าลู่ชินหรานที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นยืนกอดอกพิงกรอบประตูอยู่ ใบหน้าไร้เดียงสา และน่ารักนั้นหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงสีหน้าเย็นชา