วิวาห์พรางรัก
ตอนที่ 2
แต่งงาน
เทรย์เวอร์จรดปากกาลงบนเอกสารที่เป็นเสมือนบ่วงผูกคอด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ต่างจากมารดาที่ยิ้มด้วยความพอใจ แม้ว่าสภาพร่างกายจะอ่อนแรงลงทุกทีก็ตาม
“ขอบใจมากนะตรัย ขอบใจที่ทำเพื่อแม่ แค่นี้แม่ก็สบายใจนอนตายตาหลับแล้ว แม่อยากให้มีคนมาดูแลลูก และแม่เชื่อว่าแม่หนูเฟื่องฟ้าจะทำหน้าที่นั้นได้ดี”
“แม่ครับ”
“แม่รู้ตัวดีว่าเวลาของแม่ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ตอนนี้แม่หมดห่วง แม่จะได้ไปเจอพ่อของลูกเสียที เขารอแม่นานมากแล้ว”
“แม่อย่าพูดอย่างนี้สิครับ” บุตรชายสวมกอดมารดาไว้แน่น
เขาทำทุกอย่างก็เพื่อให้คนที่รักที่สุดในชีวิตมีความสุข แม้ว่าตนเองจะไม่เห็นด้วยหรือรู้สึกอึดอัดมากแค่ไหน ขอเพียงแค่ให้แม่มีความสุขเท่านั้นก็พอ
วรวิทย์น้ำตาคลอเมื่อทราบข่าวที่ส่งมาจากสกอตแลนด์ พลางนึกย้อนเรื่องเมื่อวันวานที่ไม่เคยลืมเลือนเลยแม้แต่น้อย เขาและธัญญารักกันมาตั้งแต่เรียนมัธยม แต่ก็ต้องมีเหตุให้พลัดพรากจากกันเพราะผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย เธอถูกผู้ใหญ่จัดการให้แต่งงานกับมหาเศรษฐีชาวสกอตแลนด์
ส่วนเขาแต่งงานกับเฟื่องฝนมารดาของเฟื่องฟ้า และทำธุรกิจโรงเรียนเอกชนประสบความสำเร็จจนมีชื่อเสียง ถึงแม้ว่าจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม แต่ก็ไม่เคยลืมรักแรกซึ่งเป็นความทรงจำที่มีค่า ทั้งคู่เคยให้สัญญากันว่าหากมีลูก อยากจะให้ทั้งสองครอบครัวได้เกี่ยวดองกัน และมันก็เป็นเช่นนั้นในที่สุด
“พ่อเป็นอะไรไปคะ” เฟื่องฟ้าเดินผ่านมาเห็นสีหน้าบิดาไม่สู้ดีนักจึงเอ่ยถาม
“ธัญญาเสียแล้ว” คุณวรวิทย์ตอบเสียงแผ่ว
“ธัญญาไหนคะ” หญิงสาวย้อนถามด้วยความแปลกใจ ชื่อนี้ไม่คุ้นหูเสียเลย
“แม่สามีของแก เพื่อนที่แสนดีของฉัน” น้ำเสียงชายวัยกลางคนเครือเล็กน้อย เฟื่องฟ้ารู้ว่าบิดากำลังเสียใจจึงสงบปากสงบคำชั่วขณะ
“หนูรอเรื่องวีซ่าให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะออกเดินทางค่ะ” เฟื่องฟ้าเอ่ยหลังจากที่เงียบไปสักพัก
“ฉันรู้แล้ว เทรย์เวอร์ส่งเอกสารเรื่องการแต่งงานผ่านตัวแทนมาให้แกด้วย เพราะเขาไม่ว่างมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทีมทนายที่เขาส่งมาจะเป็นผู้จัดการ”
“อะไรนะคะ หนูจะไม่ได้เจอเขาจนกว่าจะเดินทางไปที่นั่น นี่มันอะไรกัน น่าเกลียดที่สุด” เฟื่องฟ้าพูดด้วยความโมโห อยากรู้นักเชียวว่าจะยุ่งอะไรนักหนา ถึงขนาดไม่มีเวลาจะมาจัดการเรื่องสำคัญด้วยตัวเอง
“ก็คนมันไม่ว่างนี่” คุณวรวิทย์แก้ตัวแทน
“ดูพ่อจะเข้าใจเขาทุกอย่างเลยนะคะ แต่ไม่เห็นจะเข้าใจหนูแบบนี้บ้าง เอาเถอะค่ะจะว่างหรือไม่ว่างก็ช่างเถอะ จัดการให้เรียบร้อยหนูจะได้ไปให้พ้นหูพ้นตาเสียที พ่อจะได้สบายใจดีไหมคะ”
“อย่ามาประชด ถ้าแกไม่ทำเรื่องงามหน้าไว้ ฉันก็ไม่ต้องทำแบบนี้”
“ถ้าพ่อเชื่อหนูสักนิด ไม่หูเบาฟังแต่เมียพ่อมากเกินไป พ่อจะไม่ทำกับหนูแบบนี้แน่” เฟื่องฟ้าย้อน
“นี่ใจคอแกกับฉันจะพูดกันดีๆ ไม่เกินสองประโยคใช่ไหม แกรู้ไว้นะ เรื่องแต่งงานฉันคิดวางแผนตั้งแต่แกเกิดมาเป็นลูกฉันแล้ว และฉันก็ไม่อยากเห็นแกควงคนโน้นทีคนนี้ทีให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน บังเอิญว่ามันได้จังหวะลงตัวพอดี ฉันก็เลยจัดการให้แกได้ลงเอยกับคนดีๆ ซะ” ชายวัยกลางคนอธิบายอย่างใจเย็น
“เอาเถอ พ่อก็มีเหตุผลของพ่อ หนูมีเหตุผลของหนู พอหนูแต่งงานออกไปจากบ้านนี้แล้ว พ่อจะได้ไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องหนูอีก ดีไหมคะ”
“แกคิดว่าแค่นี้เหรอ สิ่งที่ฉันจะห่วงต่อไปก็คือแกจะอยู่กับเขาได้นานแค่ไหน จะถูกเขี่ยทิ้งหรือเปล่าต่างหาก ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะว่าแต่งงานแล้วแกต้องทำตัวดีๆ เป็นแม่บ้านแม่เรือนบ้าง ไอ้เรื่องเที่ยวก็ให้มันน้อยๆ ลงหน่อย” ว่าไปคุณวรวิทย์ก็ยังเป็นห่วงชีวิตบุตรสาวอยู่ดี
“แหม พ่อคะ คนเราถ้ามันอยากจะเที่ยว ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้อยู่แล้ว พ่อคิดว่าส่งหนูไปไกลถึงสกอตแลนด์แล้ว หนูจะเลิกทำตัวแบบนี้เหรอคะ” เฟื่องฟ้าเริ่มยั่วโมโหอีกแล้ว
“อ่านเอกสารแล้วเซ็นชื่อซะ ระหว่างรอเดินทางก็ทำตัวดีๆ หัดเรียนรู้มารยาทการใช้ชีวิตของคนที่นั่นด้วย” คุณวรวิทย์ถอนหายใจเบาๆ คร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับลูกสาวช่างยั่วจึงลุกขึ้นเดินหนีออกไป ทิ้งให้เฟื่องฟ้านั่งมองกองเอกสารเหล่านั้นเพียงลำพังต่อไป
การแต่งงานผ่านตัวแทนเรียบร้อยดี ใช้เวลาเพียงไม่นานเฟื่องฟ้าก็กลายเป็นนางเฟื่องฟ้า แฮมมิลตัน ซึ่งอีกไม่นานคุณนายแฮมมิลตันก็จะเดินทางไปพบหน้าสามีเป็นครั้งแรก ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่รู้สึกรู้สาใดๆ กับสถานะใหม่นี้เลย
“ทุกอย่างราบรื่นจบลงด้วยดีแล้ว” คุณหมอรินรณีเอ่ยอย่างโล่งอก
“หรือว่าฟ้าจะเปิดทางให้แก เฟื่อง” พันภพออกความเห็นอีกคน
“นั่นสิ หรือว่าคนนี้คือคู่แท้ของแก” ปริญพูดต่อ
“ที่มันผ่านไปด้วยดีก็เพราะเอกสารต่างๆ ที่ทางโน้นเป็นคนจัดการต่างหาก พวกแกคิดไกลไปไหม” เฟื่องฟ้าเบรก
“แล้วแกจะเดินทางเมื่อไหร่” พันภพเอ่ยถาม
“เดือนหน้า”
“งั้นก็เหลือเวลาอีกแค่สองอาทิตย์สิ”
“ใช่”
“ตื่นเต้นแทนสามีของแกจัง” ปริญทำหน้าพาฟัน
“ตื่นเต้นแทนสามีไอ้เฟื่องเนี่ยนะ ฉันว่าพวกแกน่าจะตื่นเต้นแทนเพื่อนของเราจะดีกว่า” คุณหมอสาวพูดบ้าง
“จะไปตื่นเต้นแทนมันทำไม ดูท่ามันสิ ทำเหมือนไม่มีอะไรต้องคิดเลย” พันภพแสนจะหมั่นไส้เพื่อนรักที่ดูไม่ออกว่าคิดอะไรกับงานแต่งงานครั้งนี้บ้างหรือไม่ ใจคอไอ้เฟื่องไม่คิดจะกลัวอะไรเลยหรือไง
ไวน์สีกุหลาบลาเกรนโรซาโตชื่อดังของอิตาลีอยู่ในแก้วสุดหรูนั้นถูกกลืนลงคอรวดเดียวจนหมด โดยไม่มีการดมและค่อยๆ ลิ้มรสมันเหมือนกับทุกครั้ง สีหน้าเขาดูเรียบเฉยมีเพียงแววตาเท่านั้นที่เผยความกังวลออกมาให้เห็น
“ส่งค่าเดินทางไปให้แล้วใช่ไหม” เสียงห้าวถามออกมาเมื่อเห็นเลขาคนสนิทเดินเข้ามาในห้อง
“ครับท่าน แต่ทางนั้นแจ้งว่าไม่ต้องการและส่งกลับมาครับ” ฌอน เลขาคนสนิทรูปร่างผอมสูงรายงาน
“หยิ่งเสียด้วย” เทรย์เวอร์ยิ้มเยาะที่มุมปากเล็กน้อย
“คุณผู้หญิงแจ้งว่า เธอจะเดินทางมาที่นี่ในอีกสองอาทิตย์ครับ”
“ก็ดี” น้ำเสียงเทรย์เวอร์เหมือนไม่ใส่ใจคนที่ถูกพูดถึงเลยสักนิด
ทำให้ฌอนรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีแปลกไปของเจ้านาย เขามีเรื่องมากมายที่สงสัยและอยากถาม โดยเฉพาะเรื่องการแต่งงานแสนแปลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็ไม่กล้าถามเพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของนาย
“นายมีอะไรสงสัยหรืออยากจะพูดกับฉันหรือเปล่า” เทรย์เวอร์สบตาลูกน้องคนสนิท เขาเดาใจฌอนได้ว่าต้องมีคำถามที่สงสัยมากมายแน่
“เรื่องส่วนตัวของท่าน ผมเกรงว่าจะไม่เหมาะครับ” ฌอนเอ่ยอย่างนอบน้อม
“นายคงสงสัยใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงยอมแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ทั้งๆ ที่ฉันควรจะมองใครที่เพียบพร้อมกว่านี้” เทรย์เวอร์พูดอย่างตรงไปตรงมา ยิ่งเห็นเลขาคนสนิทก้มหน้าก็รู้แล้วว่าสิ่งที่สงสัยคือเรื่องนี้แน่
“มันเป็นคำขอครั้งสุดท้ายของแม่” ชายหนุ่มเฉลย
“ผมคิดว่าถ้าท่านไม่เต็มใจหรือไม่มีความสุข ก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของนายหญิงก็ได้ เพราะเวลานี้ท่านได้จากไปแล้ว” ฌอนเอ่ยตรงไปตรงมา
“นายจะให้ฉันไม่รักษาสัญญากับแม่งั้นหรือ” เทรย์เวอร์ย้อนถาม ไม่ได้นึกโกรธแต่เข้าใจความคิดของลูกน้องดี ฌอนมักถือเขาเป็นที่ตั้งมากกว่าอื่นใดในโลก
“ผมรู้ว่าท่านเป็นคนรักษาคำพูดมากแค่ไหน แต่เรื่องการแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต ท่านน่าจะมีโอกาสได้เลือกหรือพิจารณาคนที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตด้วยตนเอง กว่าที่ผมจะแต่งงานกับภรรยานั้น เราใช้เวลาดูใจกันนานเกือบสิบปีเลยนะครับ”
“ฉันตัดสินใจทำเพื่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย อีกอย่างก็ลองดูสักตั้งถ้าไปด้วยกันไม่ได้ก็แค่ส่งเธอกลับไป ต่างคนต่างจบฉันไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว” เทรย์เวอร์คิดเช่นนี้จริงๆ เขาทำเพื่อให้แม่สบายใจ ส่วนผู้หญิงคนนั้นถ้าดีก็รับไว้ แต่ถ้าไม่ก็แค่หาทางจบโดยเร็วเท่านั้นเอง
“เอ่อ ท่านครับ ช่วงที่คุณผู้หญิงเดินทางมา ท่านต้องไปประชุมที่แคนาดานะครับ ไม่ทราบว่าท่านจะ...” เลขาหนุ่มนึกได้ว่ามีประชุมสำคัญในช่วงเวลานั้นพอดี
“ก็หาใครไปดูแลแล้วกัน สตีเฟ่นเป็นไง ให้เขาไปรับเธอที่สนามบินและพาไปส่งที่บ้าน จากนั้นสตีเฟ่นค่อยตามไปแคนาดา”
“แล้วมันจะดีหรือครับ ที่ให้เธออยู่ที่นี่คนเดียว” ฌอนเริ่มกังวล
“ไม่หรอก เธอไม่ได้อยู่คนเดียว คนที่บ้านมีตั้งหลายคน” เทรย์เวอร์ยักไหล่เบาๆ
“แต่”
“ถือว่าเป็นการรับน้องไง ในเมื่อเป็นภรรยาฉันก็ต้องรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าทนกับเรื่องแค่นี้ไม่ได้ก็ส่งกลับไปเท่านั้นเอง”
“ครับ”
ฌอนรับคำสั้นๆ แล้วไม่พูดอะไรต่อ เพราะเจ้านายสุดหล่อของตนดูจะไม่สนใจว่าที่ภรรยาเลยว่าจะรู้สึกเช่นไร เมื่อมาถึงบ้านที่ไม่มีสามีอยู่ต้อนรับ
วรวิทย์รู้สึกใจหายเมื่อเห็นบุตรสาวเก็บของลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เฟื่องฟ้าเหลือบตาขึ้นมามองบิดาเล็กน้อยแล้วจึงก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อไป
“แกเก็บของใกล้เสร็จหรือยัง” ชายวัยกลางคนเอ่ยถาม
“ใกล้แล้วค่ะ พ่อจะมาดูความเรียบร้อยหรือคะ” เฟื่องฟ้าไม่วายที่จะประชด
“ใช่ และฉันมีเรื่องที่อยากจะพูดด้วย”
“เรื่องอะไรคะ หรือพ่อจะมาบอกว่าดีใจที่หนูจะไปให้พ้นหูพ้นตาเสียที”
“แกอย่าเพิ่งขัดได้ไหม ฉันไม่อยากจะทะเลาะกับแกแล้ว” วรวิทย์ดุเสียงเข้ม ซึ่งมันทำให้เฟื่องฟ้าสงบลง
“ฉันดีใจที่เห็นแกเป็นฝั่งเป็นฝา ฉันรู้ว่าตั้งแต่ที่มีคุณรินเข้ามา ฉันอาจจะสนใจแกน้อยลง และมันอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แกทำตัวแบบนี้ แต่ฉันอยากจะเตือนว่าไปอยู่ที่นั่นแล้ว แกต้องปรับปรุงตัวเองใหม่ ทำตัวให้ดีกว่านี้เข้าใจไหม สามีของแกเป็นคนมีชื่อเสียงในวงสังคม แกแต่งงานกับเขาก็ต้องรู้จักรักษาหน้าและเกียรติของสามีเอาไว้ อย่าสร้างปัญหาอะไรทั้งสิ้น เพราะฉันไม่อยากให้ใครมาด่าว่าเป็นพ่อที่ไม่สั่งสอนลูก”
แม้คำพูดของบิดาที่ยืดยาวจะบั่นทอนความรู้สึกของเฟื่องฟ้าลงไปอีก แต่อย่างน้อยมันก็เป็นคำเตือนที่จะให้เธอระลึกไว้ว่าควรทำตัวอย่างไร
“พ่อคิดจะไปส่งหนูไหมคะ” เฟื่องฟ้าถามด้วยความอยากรู้ อย่างน้อยถ้าพ่อไปก็อุ่นใจว่าไม่ต้องไปเพียงลำพัง
“ไม่”
คำตอบสั้นๆ ห้วนๆ ทำให้เฟื่องฟ้าแทบน้ำตาตก แต่ความรู้สึกเสียใจหรือผิดหวังนี้เธอจะไม่แสดงออกมาให้ใครเห็นเด็ดขาด หัวใจเฟื่องฟ้ารู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยวขึ้นมาทันที เมื่อรู้ว่าทันทีที่ก้าวออกจากบ้านหลังนี้ เธอจะอยู่ลำพังบนเส้นทางชีวิตไปอีกนานแสนนาน
“ค่ะ สรุปคือหนูไปคนเดียว” เฟื่องฟ้าพยายามเรียกกำลังใจตัวเองกลับมา
“ใช่ แกเดินทางคนเดียวได้ ฉันจึงไม่ต้องไปส่ง”
“ไม่ใช่หนูเดินทางคนเดียวได้หรอกค่ะ แต่เพราะพ่อมีโครงการจะพาเมียกับลูกใหม่ไปเที่ยวอเมริกาต่างหาก” หญิงสาวพูดอย่างรู้ทัน
“แกอย่ามาทำเป็นรู้ดี” คุณวรวิทย์กลบเกลื่อนสายตาที่จ้องมา
“แหม พ่อไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ หนูรู้ดีว่าไม่ได้อยู่ในความสนใจของพ่อมานานแล้ว หนูไปคนเดียวได้ถึงจะไม่เคยไป แต่หนูก็จะไปให้ได้” ใบหน้าหวานเชิดขึ้นแม้หัวใจจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ไม่แสดงออกมา
“แกมันไปไหนได้ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำอยู่แล้ว แต่น้องแกเพิ่งจะเคยไปไกลเป็นครั้งแรก ฉันก็ต้องไปคอยดูก่อน”
“ค่ะ” เฟื่องฟ้ารับคำเสียงกระแทก
“มีอีกเรื่องที่ฉันอยากให้แกรู้ไว้” คุณวรวิทย์นึกอะไรขึ้นมาได้
“อะไรอีกคะพ่อ” หญิงสาวเอ่ยด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
“ถ้าแกทำตัวมีปัญหา เขาอาจจะเลิกกับแกตอนไหนก็ได้”
“แล้วไงคะ พ่อกำลังจะบอกว่าถ้าหนูต้องเลิกกับเขา พ่อจะขายหน้ามากใช่ไหม” เฟื่องฟ้าอยากจะกรีดร้องเหลือเกินที่บิดาเห็นแก่ชื่อเสียงมากกว่าความรู้สึกของตน
“รู้ก็ดีแล้วและควรทำตัวให้ดีเพื่อไม่ให้มีปัญหา แกจงจำไว้ว่าถ้าแกถูกเขี่ยทิ้งละก็ นั่นคือการตอกย้ำความเหลวแหลกในชีวิตของแก”
“คิดว่าหนูสนใจหรือไงคะ” นางสาวเฟื่องฟ้าตอบกลับทันควัน
“แกไม่สนแต่ฉันสน ที่ฉันทำไปก็เพื่อให้แกมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น ไม่ตกเป็นขี้ปากใครทั้งนั้น ดังนั้นแกควรทำให้ชีวิตคู่ของแกอยู่รอดให้ได้”
“นี่พ่ออวยพรหนูใช่ไหมคะ” ใบหน้าหวานยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ขอบคุณค่ะพ่อ หนูจะพยายามทำให้ชีวิตแต่งงานของหนูไปรอดตลอดรอดฝั่งแล้วกันค่ะ” เฟื่องฟ้าส่งยิ้มหวานให้ ในขณะที่คุณวรวิทย์ได้แต่แอบถอนหายใจกับความดื้อดึงของลูกสาว