ในที่สุดกล่องเมโลดี้ได้บรรเลงมาถึงตอนสุดท้ายของเรา ถึงเวลาที่ต้องปิดล็อกมันแล้วล่ะ … ใครว่ากันล่ะ! ผมไม่ยอมหรอกนะ แค่เพียงอย่างเดียวที่ผมจะหยุดตื้อเธอได้คือการที่หนูเอื้อยเลิกรักผมต่างหาก แต่ไม่มีวันนั้นหรอก ผมมั่นใจ สำหรับใครที่ชอบพระเอกไทป์ลูกหมาขี้หึงเชิญทางนี้ค่าา และแล้วเราก็เดินทางมาถึงเดือนแห่งความรักสักที! ก็ขอมอบความรักในแบบของพี่ทิมเป็นแบบอย่างของผู้ชายที่สาว ๆ หลายคนอยากได้มาเป็นแฟน! เรื่องราวความรักของ เอมิกา หรือ หนูเอื้อย นักศึกษาจบใหม่ที่ดันได้มาทำงานกับ ทิวากร หรือ พี่ทิม ประธานบริษัทเดอะเธียร์เคกรุป การกลับมาใกล้ชิดกันดันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่คิด เพราะเจ้าพ่อวางแผนอย่างทิวากรได้วางเกมไว้หมดแล้ว เขาไม่ยอมให้ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนต้องจบแบบไม่รู้สาเหตุเป็นแน่และไม่มีทางที่เขาจะยอมปล่อยเธอโดยง่ายหากเธอยังไม่เคยเอ่ยปากว่าหมดรัก เขาต้องรู้ให้ได้ว่าที่เธอบอกเลิกเขามันเพราะอะไรกันแน่ “ถ้าพี่ไปหนูก็ต้องไปค่ะ พี่จะพกหนูไปทุกที่เพราะหนูคือความสุขพกพาของพี่” “พี่ไม่ยอมหรอกค่ะ ไอ้หน้าจืดนั่นคิดจะแย่งหนูเอื้อยของพี่ ทำไมพี่จะดูไม่ออก” “ถ้าต้องจ่ายค่าความน่ารักของหนูเป็นเงิน พี่ต้องล้มละลายแน่ๆ เลยค่ะ” พี่ทิมคลั่งรักแฟน (เก่า) ขนาดนี้ เป็นใครก็คงต้องอิจฉาแน่ๆ! แต่เห็นพี่ทิมหนิม ๆ เหมือนลูกหมาแบบนี้ แต่เรื่องบนเตียงแอบกระซิบว่าทำเอาสาว ๆ ใบหน้าร้อนผ่าวกันแน่นอน!!! “อ้ะ.. พี่ทิม ถกขึ้นดูดดี ๆ สิคะ เปียกหมดแล้ว” “น้ำหวานของหนูยังเลอะกางเกงพี่เลย พี่แค่เริ่มเองนะคะ หนูก็อยากแล้วหรอหื้ม” ฟินไปพร้อมกันกับ Love Returns | หนูเอื้อยขา (20+)
“เป็นไงอีน้อง มีคนโทรมาบ้างมั้ย”
“ไม่เลยพี่อ้าย นี่เอื้อยจะมีงานแน่ ๆ ใช่มั้ย”
พี่สาวสุดที่รักของฉันเดินมาพร้อมกับใบแจ้งหนี้มากมายทั้งค่าไฟค่าเช่าบ้าน ฉันเองก็ได้แต่นั่งถอนหายใจพร้อมกับเอาหัวพิงไหล่ไม้ น้องชายวัยสี่ขวบที่กำลังดูการ์ตูนอยู่อย่างสนุกสนาน
“ได้สิวะ กูไปดูหมอดูมา แม่หมอบอกว่ายังไงมันก็ได้แน่นอน” แม่ของฉันที่กำลังป้อนข้าวไม้เอ่ยขึ้นพร้อมกับตบไปที่หน้าตักเพื่อคอนเฟิร์มในคำพูดของตัวเอง
“โอ๊ยคุณนายดาวเรืองขา เลิกเอาเงินไปลงกับอีแม่หมอได้เพี้ยนแล้วค่า ใคร ๆ ก็พูดได้ว่าจะได้งาน ถ้าสมมติว่ามีคนจ้างอีน้องมันไปล้างจานแค่วันเดียว เดี๋ยวแม่ก็มาตีโพยตีพายว่าแม่นว่าจริง” พี่อ้ายพูดขึ้น
จริง ๆ ฉันเองก็แอบเห็นด้วยนะ ถ้าแม่เก็บเงินส่วนนั้นไว้ทั้งหมดนะ ป่านนี้คงมีเงินจ่ายค่าเช่าบ้านที่ค้างมาสามเดือนแล้วแน่ ๆ อยากจะบ่นแต่ก็ไม่กล้า คงเป็นหน้าที่พี่อ้ายแหละดีที่สุดแล้ว
“แต่นี่มันก็เดือนกว่าแล้วนะคะที่เอื้อยจบมา ถ้าเกิดเอื้อยยังหางานไม่ได้อีกเดือน คงต้องแย่แน่ ค่าใช้จ่ายในบ้านเรามันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ”
“กูล่ะอิจฉาไม้มันจริง ๆ ตื่นมาก็กิน เรียน ดูการ์ตูน นอน ไม่ต้องมามีเรื่องเครียดแบบกู ไม่ต้องมานั่งคิดแต่ละวันว่าจะเอาเงินจากไหนมาใช้จ่ายในบ้าน” พี่อ้ายพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
แต่ในความรู้สึกของฉันเองก็รู้ว่าพี่อ้ายเองก็เหนื่อยมาก ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานแบกของที่โกดังของกำนันแถวบ้าน ทั้งที่เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ถึงพี่อ้ายจะสูงกว่าฉันแต่พี่อ้ายเองก็ผ่ายผอมลงมาก เพราะต้องทำงานหนัก กินข้าวก็น้อย พอนึกดูแล้วฉันเองก็รู้สึกผิดมากที่ช่วยอะไรพี่อ้ายไม่ได้เลย พอจะขอไปทำด้วยก็โดนห้ามปรามไว้เพราะพี่อ้ายบอกว่าฉันเรียนจบมหาลัยคนเดียวในบ้าน ถ้าต้องไปทำงานแบบนั้น ครอบครัวต้องโดนนินทาหนักแน่ ๆ ซึ่งตัวฉันเองก็ไม่ได้สนใจหรอกนะ แต่ยังไงแม่กับพี่อ้ายเองก็คงจะอายไม่น้อยเพราะช่วงที่ฉันเรียนแม่กับพี่อ้ายก็โดนแซวกันถ้วนหน้า แถมแม่ฉันนะก็ขี้อวดขี้โม้ไปเรื่อย แม่นะแม่
“เด็กก็เหนื่อยเป็นนะฮะ” ไม้พูดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วกอดอกแน่น
“ไหน มันเหนื่อยอะไรนักวะไอไม้” พี่อ้ายเอื้อมมือไปยีหัวเด็กชายหน้าบึ้ง
“ก็ไปโรงเรียน ตู้เพลงไม่ยอมเล่นกับไม้เลย”
“แล้วไปทำอะไรให้เขาไม่เล่นด้วยล่ะ” พี่อ้ายเอ่ยถามขึ้นต่อ
“ไม้แค่ดึงเปียตู้เพลงเฉย ๆ เอง แต่ตู้เพลงโกรธไม้นานเกิน”
“ตู้เพลงมีสิทธิ์โกรธไม้นานเท่าไหร่ก็ได้ค่ะไม้ ถ้าไม้ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจตู้เพลง เพราะงั้นไม้ต้องเลิกแกล้งเพื่อนแบบนี้นะคะ มันไม่น่ารักเลยนะไม้” ฉันพูดขึ้นหลังจากที่นั่งฟังมานานพร้อมกับมองหน้าน้องชายที่กำลังขมวดคิ้ว
“ก็มีคนบอกไม้ว่าผู้ชายแกล้งแปลว่าผู้ชายรัก ทำไมตู้เพลงดูไม่ออก”
“ไม่จริงเลยไม้ ใครมันจะชอบโดนแกล้ง แม่นะแม่ สอนไอไม้มันยังไงทำไมมันถึงคิดแบบนี้” พี่อ้ายหันไปดุแม่
“มึงก็รู้ ไอไม้มันฟังกูที่ไหน ไม้มันคงไม่ได้ยินมาจากพวกแม่ค้าแถวตลาดพูด อะไรไม่ดีก็โทษกูหมดเลยนะ มึงเห็นกูเป็นทักษิณหรอ ที่อะไร ๆ ก็โทษเอา ๆ"
“ไม้ฟังเอื้อยนะ ต่อไปนี้ห้ามทำร้ายร่างกายหรือจิตใจใครเด็ดขาดเลย มันไม่ดี แล้วตู้เพลงก็จะไม่ชอบไม้ คนอื่น ๆ เองก็จะไม่ชอบไม้ด้วย”
“ไม้เข้าใจแล้ว” เด็กชายพยักหน้าพร้อมกับอ้าปากงับข้าวต้มกุ้งที่แม่ป้อน
“แล้วงานนี่จะเอายังไงต่อ วันนี้มึงจะออกไปหาอีกมั้ยอีน้อง”
“ถ้าไม่มีใครโทรมาอีกสักครึ่งชั่วโมงเอื้อยก็คงต้องไปอีกรอบแหละพี่อ้าย นั่งเฉยๆ คงไม่มีงานทำแน่”
“แล้วลูกเขยเก่ากูที่รวย ๆ ไม่มีงานให้มึงทำบ้างหรอวะ มึงลองขอให้เค้าช่วยสิวะ”
“แม่!!! จะพูดมาให้มันได้อะไร!” พี่อ้ายกระแทกเสียงขึ้นเมื่อแม่พูดถึงคนที่ฉันไม่อยากนึกถึง
แม่มองหน้าฉันอย่างรู้สึกผิดเพราะแม่เองก็รู้ว่าฉันเจ็บปวดกับเขามากแค่ไหนแต่แม่ก็คงลืมตัวเผลอพูดขึ้นมาโดยไม่ได้ผ่านความคิด
“อ..เออ กูขอโทษ กูปากพล่อยนี่หว่าพวกมึงก็รู้ อย่าโกรธกูกันสิวะ ยังไงกูก็แม่พวกมึงนะเว้ย”
“ไม่เป็นไรจ้ะแม่ เอื้อยไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” รึเปล่า...
เมื่อก่อนครอบครัวฉันเป็นครอบครัวที่ไม่ได้ถือว่ายากจน พอมีกินมีใช้อย่างไม่ขาด พ่อฉันขอให้แม่ออกจากงานแล้วมาเลี้ยงลูก ซึ่งนั่นก็คือฉันกับพี่อ้าย ทำให้แม่ฉันเองก็ไม่ได้ทำงานอะไรนอกจากเลี้ยงลูก จนเมื่อปลายปีก่อนพ่อของฉันเสียชีวิตไปด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ทำให้บ้านฉันเซล้มไม่เป็นท่า ถึงจะมีเงินประกันชีวิตแต่มันก็ช่วยชีวิตฉันกับอีกสามชีวิตได้ไม่นาน แม่ฉันเองก็แก่ลงเต็มทีแล้ว พยายามหาของมาขายแต่ก็ขาดทุนทุกทีจนต้องล้มเลิก พี่สาวฉันเองก็หาเช้ากินค่ำพยายามไปสมัครงานที่ต่าง ๆ แต่ก็ไม่มีที่ไหนรับเลย ที่ที่รับก็ไกลจนคำนวณจากความเหนื่อยก็ไม่คุ้มเลยที่จะไปทำ จริง ๆ พี่อ้ายเองตอนแรกก็จะเรียนมหาลัยต่อนะ แต่มีช่วงที่การเงินที่บ้านเริ่มไม่ดีและพี่อ้ายเองก็คิดว่าหัวตัวเองด้านการเรียนไม่ดีนัก พี่อ้ายเลยเสียสละให้คนที่ได้เรียนต่อคือฉัน คงมีแต่ฉันแล้วแหละ ที่พอจะเป็นความหวังของครอบครัวได้ แต่ในตอนนี้ฉันกลับแย่ เพราะหลังจากที่เรียนจบมาฉันก็ยังหางานทำไม่ได้ มีเพียงแค่ Part time ร้านกาแฟแถวบ้านเท่านั้นที่พอยังเลี้ยงปากท้องได้ในแต่ละวัน แต่มันก็คงดีกว่านี้ถ้าฉันมีงานประจำสักที ส่วนไม้ก็เป็นลูกของป้าฉันที่มาทิ้งไว้ให้แม่ฉันเลี้ยง แค่เพราะสามีต่างประเทศของแกไม่ปลื้มที่แกมีลูกติด แกเลยเอาไม้มาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านทั้ง ๆ ที่ยังไม่หย่านมแม่เลยด้วยซ้ำ ถ้าเกิดกลับมาละก็ แม่ พี่อ้าย และฉันคงไม่ยอมแน่
ทุกคนคงสงสัยว่าฉันที่แม่ฉันพูดถึงเค้าคือใครแล้วเค้าทำอะไรให้ฉันพี่อ้ายถึงตวาดแม่สุดเสียงขนาดนั้น ย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อนเค้าคือรักแรกของฉัน และเป็นอะไรหลาย ๆ อย่างของฉัน ทุกครั้งที่ฝนตก ฉันมักจะคิดถึงวันแรกที่เราเจอกันเสมอ...
“ฝนตกอีกแล้ว...”
หญิงสาวบ่นพึมพำหลังจากที่ยืนรอรถเมล์อยู่นาน จนตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว
แต่รถเมล์ที่ผ่านบ้านเธอเป็นประจำก็ไม่ขับผ่านสักที
“เหนื่อยจัง...”
วันนี้เป็นวันที่เธอเหนื่อยอีกวันจากการโดนแกล้งในชั้นเรียน เอมิกาเป็นเด็กที่เรียนดีและเป็นเด็กดี เป็นที่รักของครูมาโดยตลอด ซึ่งก็นั่นแหละคือเหตุผลที่ทำให้เธอโดนกลั่นแกล้งในชั้นเรียนมาตลอด ถึงแม้หลายคนอาจจะคิดว่าจริง ๆ แล้วเพียงแค่เธอเอ่ยปากบอกครูทุกอย่างก็น่าจะจบ แต่เธอดันเป็นคนยอมคน จนบางทีเวลากลับบ้าน อ้ายผู้เป็นพี่เห็นรอยช้ำตามร่างกายของน้องสาว เธอถึงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟจนไปบุกไปถึงห้องผู้อำนวยการอยู่หลายครั้ง แต่ยิ่งพี่สาวเธอเอาเรื่องบ่อยเท่าไหร่เธอกลับโดนรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
นั่งแท็กซี่กลับดีมั้ยนะ
สาวน้อยคิดในใจพร้อมกับหยิบเงินในกระเป๋าขึ้นมา แต่เธอกลับต้องถอนหายใจอีกครั้งเพราะเงินในกระเป๋าของเธอที่เหลือจากวันนี้เหลือเพียงแค่ 34 บาท ถ้ากลับช้ากว่านี้คงทำงานไม่ทันแน่ ๆ แต่ถ้าจะไปนั่งแล้วจ่ายปลายทางรถมิเตอร์ก็คงขึ้นสูง
หรือวิ่งกลับคือทางที่ดีที่สุดนะ ถ้าช้ากว่านี้ฝนคงตกหนักกว่านี้แน่
เธอตัดสินใจเอากระเป๋านักเรียนขึ้นมาบังหัวแล้ววิ่งผ่าฝนไปในทันที ....
ในขณะที่เอมิกาวิ่งตากฝนไปในหัวของเธอก็คอยทบทวนเรื่องต่าง ๆ วันนี้เธอโดนทั้งเพื่อนเอาชีทเรียนไปซ่อนไว้หลังชักโครก ทั้งเอาคัตเตอร์มากรีดกระเป๋าหนังและรองเท้าหนังนักเรียนของเธอ เอมิกาได้แต่เก็บความเจ็บปวดนั้นไว้เพราะอีกไม่ถึงเดือนเธอก็จะเรียนจบม.6แล้ว ทนอีกสักนิดคงจะไม่เป็นไร คงเพราะเธอเป็นคนพูดน้อย ไม่สู้คน ยอมคน เธอเลยโดนแกล้งมาเสมอ ในใจของเอมิกาอยากจะกรี๊ดออกมาด้วยซ้ำเมื่อรู้ว่ารองเท้ากับกระเป๋าเธอมีรอยกรีด เพราะเธอทำงานพิเศษเป็นหลายวันเพื่อซื้อมันมาโดยที่ไม่ต้องรบกวนเงินพ่อกับแม่ของเธอ
..หรือจริง ๆ แล้วการร้องไห้ในตอนที่ฝนตกมันจะดีที่สุดแล้วนะ เพราะมันคงไม่มีใครแยกออกอีกแล้วว่ามันคือน้ำตาหรือน้ำฝนกันแน่ที่อยู่บนใบหน้าของฉัน..
ผ่านไปไม่นานฝนกลับหยุดตกซะงั้น หญิงสาวชะลอฝีเท้าลงพร้อมกับเดินช้าลง รองเท้านักเรียนของเธอเริ่มค่อย ๆ กัดเท้า ความเจ็บปวดทั้งกายทั้งใจเธอเริ่มเพิ่มขึ้น เธอทำได้แต่โทษฟ้าฝนเสมอ ทำไมต้องเป็นเธอ ทำไมเธอถึงเป็นผู้ถูกเลือกให้ผิดหวังเสมอเลย น้ำตาของเธอค่อย ๆ ไหลรินออกมา ทั้งที่เธอพยายามอดกลั้นมาทั้งวันด้วยซ้ำ ทั้งหนาวทั้งเหนื่อย ทั้งหิว โทรศัพท์ของเธอเองก็แบตหมดติดต่อใครไม่ได้ เธอเดินไปกอดกระเป๋าไปเพราะด้วยที่เสื้อนักเรียนของเธอบางมากจนเห็นเสื้อชั้นในของเธอทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยสักนิด
การที่เป็นผู้หญิงในสังคมนี้นี่มันไม่ง่ายเลยนะ ...
หญิงสาวเดินไปเรื่อย ๆ จนใกล้ถึงป้ายรถเมล์อีกป้ายที่มีกลุ่มผู้ชายอยู่ 4 คนกำลังจ้องมองมาที่เธอ สายตานั้น... เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยแฮะ
“เดินคนเดียวแบบนี้ อันตรายนะครับคนสวย” หนึ่งในกลุ่มชายกลุ่มนั้นเอ่ยขึ้น ดูจากภายนอกแล้วเค้าก็ดูเป็นคนดีด้วยซ้ำแต่พอเอ่ยปากพูดขึ้นมาก็รู้สึกถึงความแย่และไม่ปลอดภัยแล้วสิ
“ให้พวกพี่เดินไปส่งดีมั้ยหื้ม? เดี๋...” อีกคนพูดขึ้นแต่ไม่ทันจะประโยคชายร่างสูงก็พูดขึ้นมา
“พวกมึงไม่ต้องยุ่ง คนนี้กูไปเอง” ชายร่างสูงเหลือบมามองฉันพร้อมกับรอยยิ้ม “ซ่อนรูปนี่หว่า ไหน ขอพี่ดูชัดๆ หน่อยดีกว่า”
“อย่านะ!!” หญิงสาวโวยขึ้นแต่ชายหนุ่มกลับไม่รับฟังแถมยังกระชากกระเป๋านักเรียนของหญิงสาวลงบนพื้นจนข้าวของกระจัดกระจาย
“ของดีจริงซะด้วย..”
“ออกไปนะ!! อย่ามายุ่งกับเรา!!” หญิงสาวตะคอกไปสุดเสียงพร้อมกับเอามือปิดบังช่วงอกที่ปิดคลุมด้วยเสื้อเปียกของเธอไว้ เอมิกากัดปากแน่นตัวสั่นด้วยความกลัวที่เกิดขึ้นภายในใจ
ใครก็ได้.. ช่วยพาฉันออกไปจากตรงนี้ที
เธอพยายามที่จะวิ่งผ่านกลุ่มชายเหล่านี้แต่ไม่ว่าเธอพยายามยังไงพวกมันก็ยังคงกระชากตัวเธอกลับมาในที่สุด เธอไม่ชอบที่ไอ้คนชั่วพวกนี้มาสัมผัสตัว จึงยอมจำนนยืนตัวสั่นอยู่ที่เดิม ชายร่างสูงกระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนจะโน้มตัวลงเล็กน้อยเอามือทั้งสองข้างวางที่ไหล่ของเธอและเชยคางเธอขึ้นให้มองหน้าของเขา
“มาสนุกกันดีกว่าน..”
ผั๊วะ!!
ชายหนุ่มคนด้านหลังล้มลงอย่างเสียท่า คนที่กำลังจับตัวเอมิกาอยู่ถึงกับต้องรีบหันกลับไปดูเพื่อนของตนอย่างไว คนที่โดนต่อยจนเซล้มเขากำหมัดแน่นปาดเลือดที่มุมปากออกก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นมองหน้าคนที่เข้ามาแส่
“ออกห่างจากผู้หญิงของกูถ้าพวกมึงไม่อยากเจ็บตัว”
ใครกันนะ...
ตาของเธอตอนนี้พร่ามัวมากมองเห็นเพียงแค่เงารางๆ เพราะตาของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความกลัวและความเหนื่อย ในหัวของเธอชาไปหมด จากที่ทุกอย่างมืดดำสนิทแต่จู่ ๆ เธอกลับได้รับแสงสว่างจากเขาคนนั้น
“ถ้าหวงก้างนักมึงไม่เดินตามมาแต่แรกวะไอ้หน้าหล่อ ไปเว้ย หมดอารมณ์!!” ชายร่างสูงคนนั้นเอ่ยขึ้นหลังจากที่ยืนเงียบไป
..สุดท้ายพวกมันก็แค่พวกนักเลงกระจอกเก่งแค่กับคนที่อ่อนแอกว่าก็เท่านั้น ทำมาเก่ง..
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” หนึ่งในกลุ่มชี้หน้าบุคคลปริศนาผู้นั้นก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับอีกสามคน
“ไม่เป็นไรแล้วนะค..” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแต่ไม่ทันจบประโยคเขาก็ต้องชะงักกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา ใจของเขาสนั่นหวั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอเป็นผู้หญิงที่ตัวเล็กมาก...เมื่อเทียบกับเขา ริมฝีปากสีชมพูอ่อน ขนตางอนยาวเรียงกันเป็นเส้นสวย ผิวขาวอมชมพูเหมือนไม่เคยตากแดดตากลมเลย แก้มของเธอที่ดูเผิน ๆ น่าบีบและน่าคลอเคลีย เว้นแต่.. แววตาของเธอดูเศร้า เธอเหมือนดั่งภาพวาดที่สวยที่สุดที่เขาเคยเห็น แต่ก็เป็นภาพวาดที่มีแววตาที่เศร้าที่สุดที่เขาเคยพบเช่นกัน
เชี่ย... น่ารักสัส คนหรือนางฟ้ากันแน่วะ อยากจะโอนค่าน่ารักเล่นๆ สักล้านสองล้าน หนูมีเลขบัญชีมั้ยคะ หรือพร้อมเพย์ดี
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยเอื้อย” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ร่างกายของเธอนั้นยังคงสั่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอปาดน้ำตาออกก่อนที่จะใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการก้มลงไปเก็บกระเป๋าและของที่กระจายอยู่ที่พื้น
“พี่ช่วยนะคะ” ชายหนุ่มสะบัดหัวเพื่อให้หลุดจากวังวนความคิดของเขาแล้วก้มลงเก็บของช่วยเธอด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ เอื้อยขอตัวกลับก่อน.. ไว้มีโอกาสเอื้อยจะเลี้ยงข้าวตอบแทนนะคะ”
“ให้พี่ไปส่งนะคะ” แหงล่ะ เขาจะปล่อยให้เธอกลับบ้านคนเดียวได้ยังไงในเมื่อเธออยู่ในสภาพที่ล่อแหลมและไม่ปลอดภัยแบบนี้ “พี่มีรถค่ะ หนูไม่ต้องกลัวว่าจะถึงบ้านช้า ถ้ากลับคนเดียว พี่ต้องไม่สบายใจแน่ ๆ”
เอมิกามองหน้าชายหนุ่มด้วยความชั่งใจ แต่ถ้าหากเธอเดินกลับไป คนพวกนั้นอาจจะดักรอเธอที่ไหนสักที่ก็เป็นได้ ถ้าถึงตอนนั้นเธออาจจะไม่ได้โชคดีแบบนี้อีกแล้ว เธอเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าตอบรับอย่างช้า ๆ
“ขอบคุณนะคะ พี่..” เอมิกาเอียงคอเหมือนจะชื่อด้วยความอยากรู้
“ทิมค่ะ พี่ชื่อทิม”
ทิม หรือ ทิวากร ที่แปลว่าพระอาทิตย์ เป็นลูกชายคนกลางของคุณ ปราการ รัตนวรางกุล และคุณหญิงเกวลิน รัตนวรางกุล ผู้เป็นเจ้าของอสังหาฯรายใหญ่ในประเทศ และยังเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า NBC ห้างชื่อดังที่มีทั้งหมด 47 สาขาที่ประเทศไทย และอีก 24 สาขาที่ต่างประเทศอีกด้วย ไม่เพียงแต่ครอบครัวเขาเท่านั้น ทิวากรเองก็ถือหุ้น เธียร์เคกรุปจำกัดที่เป็นบริษัท Jewelry ที่ร่วมกับประเทศเกาหลีใต้ถึง 40% เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่รวยระดับต้นๆ ของประเทศเลยก็ว่าได้
“หนาวมั้ยคะ พี่ผ่อนแอร์ให้มั้ย” ทิวากรถามขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวใช้มือถูแขนทั้งสองข้างเธอไปมา เธอได้แต่เม้มปากเน้นไม่กล้าตอบกลับเพราะรู้สึกเกรงใจถ้าหากพูดว่าหนาวออกไป แต่ถ้าบอกว่าไม่หนาวเขาเองก็คงจะดูออกว่าเธอโกหก ทิวากรไม่พูดอะไรแล้วเอื้อมมือไปปรับแอร์ในทันทีเพราะคิดว่าเธอคงไม่กล้าพูดหรือขอให้เขาผ่อนแน่ ๆ
“ขอบคุณนะคะ” เอมิกายกมือไหว้ขอบคุณทิวากรอย่างตั้งใจ
“พี่ดูแก่เลยนะคะ ไม่เอาสิ หนูขอบคุณพี่หลายครั้งแล้วนะ” ทิวากรหันไปมองหญิงสาวด้วยความเอ็นดูก่อนที่จะกลับไปมองทางข้างหน้าอีกครั้ง
“พี่ทิมช่วยเอื้อย เอื้อยก็ต้องขอบคุณสิคะ”
“พี่เต็มใจค่ะ ด้านหลังมีฮู้ด หนูหยิบมาให้หน่อยได้มั้ยคะ พี่หยิบไม่ถนัดเลย”
“ได้ค่ะ” เอมิกาเอี้ยวตัวหันหลังกลับไปหยิบเสื้อฮู้ดตัวใหญ่จากเบาะหลัง “นี่ค่ะ ใช่ตัวนี้รึเปล่าคะ” เอมิกาเงยหน้าถามชายร่างสูงที่นั่งข้าง ๆ
“ใช่ค่ะ หนูใส่ไว้นะคะ จะได้ไม่หนาว”
“เอื้อย.. ใส่ไม่ได้หรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะคะ ตัวใหญ่สิคะดี จะได้เหมือนกอดหนูไว้”
“เปล่าค่ะ แค่คิดว่า..” เธอมองเสื้อด้วยความชั่งใจ ถึงเธอจะไม่รู้เรื่องแบรนด์เนมต่าง ๆ แต่เธอก็พอดูออกว่าเสื้อตัวนี้ราคาไม่ใช่เล่นแน่ๆ เพียงแค่เธอเห็นคำว่า Gucci เธอก็ไม่กล้าจับมันแล้ว
“ใส่เถอะนะคะ พี่ไม่อยากให้หนูหนาว หรือจะให้พี่จอดรถแล้วใส่ให้หนู”
“ม..ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวเอื้อยเอาเสื้อมาห่ม ๆ ก็ได้ค่ะ เอื้อยกลัวทำเสื้อของพี่เลอะไปมากกว่านี้”
‘โอ๊ย คนอะไรน่ารักเป็นบ้า เธอเอาเสื้อผมไปห่มตัวแล้วเหมือนตัวเธอขดในเสื้อเป็นลูกแมวน้อยน่ารักเลยแฮะ อ้ากกก น่ารักเป็นบ้า ผมสามารถโอนค่าน่ารักให้เธอได้ที่บัญชีไหนได้บ้าง’
“เป็นเด็กดีจังเลยนะคะ”
หญิงสาวไม่พูดอะไรตอบกลับแต่ใบหน้าของเธอนั้นแดงก่ำไม่รู้เป็นเพราะเธอตากฝนมาหรือเธอเขินกับคำชมของทิวากรกันแน่ กลิ่นหอมจางๆ จากเสื้อฮู้ดนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้ๆ กับตัวเขา ความอุ่นของเสื้อฮู้ดทำให้เธอรู้สึกว่าได้รับอ้อมกอดจากเขาเข้าไปอีก แปลกมาก.. ที่ทั้ง ๆ ที่เขาสองคนพึ่งเจอกันแท้ ๆ แต่เธอกลับรู้สึกไว้ใจเขามาก มากเสียจนไม่รู้จะบรรยายยังไง
ถ้าทำขาดหรือทำเลอะฉันต้องเอาเงินที่พ่อเก็บไว้ส่งให้ฉันไว้เข้ามหาลัยปีหนึ่งมาใช้เค้าแน่ๆ เลย จับเบาๆ นะ สัมผัสเบาๆ นะเอื้อย ฮืออ
“หนูว่า.. เมื่อกี้พี่เท่มั้ย” ทิวากรถามขึ้นหลังจากเห็นว่าเอมิกาได้เงียบไป
“ค..คะ” เอมิกาชะงักกับคำถามเมื่อครู่ เธอเองก็ไม่เคยเห็นใครมาถามคำถามในเชิงถามชื่นชมตัวเองแบบนี้เลย “เท่.. ค่ะ” เอมิกายิ้มขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันหล่อเหลาของอีกฝ่าย
ใช่ ทิวากรเป็นคนที่มีหน้าตาฟ้าประทานมาก ตาเฉี่ยวคมแต่ก็ยังมีความเป็นหนุ่มหน้าหวานบ้าง แต่บางมุมก็มีความคม ดูยากมากเลยว่าเขาคือคนหน้าตาประเภทไหน แต่ถ้าถามล่ะก็ คงจะเป็นประเภทหล่อ!! หล่อแบบตะโกน หล่อแบบตะคอก ไม่สิ หล่อแบบตวาดเลยแหละ โดยเฉพาะความสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนของเขายิ่งประดับบุญบารมีใบหน้าขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าครบเครื่องจริง ๆ หล่อแบบไม่มีที่ติ เหมือนเอาทุกอย่างที่เพอร์เฟคบนโลกใบนี้มีประดับที่ใบหน้าของเขากันเลยทีเดียว พระเจ้านี่ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ
“ตอนที่พี่ทิมกระทืบคนนั้นพี่ทิมดูเท่มาก ๆ เลยค่ะ” เอมิกาพูดเพื่อให้ทิวากรรู้สึกดี แต่จริง ๆ แล้วเธอเองไม่เห็นอะไรเลยด้วยซ้ำเพราะน้ำตาที่เอ่อคลอท่วมตาไปหมด
“โกหกเป็นเด็กไม่ดีนะคะ” ทิวากรทำหน้าเซ็งขึ้น เอมิการีบก้มหน้าหลบสายตาเพราะรู้สึกได้ว่าเหมือนคนตัวสูงจะจับเธอได้เสียแล้ว “พี่แค่ต่อยค่ะ กระทืบที่ไหนกันพี่ไม่ใช่คนโหดร้ายขนาดนั้นนะคะ ปกติพี่แก้ไขปัญหาด้วยเงิน แต่คนแบบนี้ไม่สมควรได้รับเงินที่เคยเป็นของพี่ แต่หมัดหนักเอาเรื่องแฮะ สงสัยพี่ต้องไปโม้ให้คนที่บ้านฟังสักหน่อย”
จากที่ทิวากรเซ็งเล็กน้อยแต่ก็ดึงความรู้สึกกลับมาได้เขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเรื่องตลก เขาพูดไปยิ้มไปอย่างมีความสุขและตลกขบขำ แต่เอมิกาได้แต่เงียบไปตัวเธอเองรู้สึกผิดเล็ก ๆ เพราะเธอนั้นไม่รู้ว่าจะตอบยังไงให้ถูกใจอีกฝ่ายดี หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าสำนึกผิดอย่างยอมแพ้
‘ถ้าเธอจะเป็นคนเหี้ยนะก็คงเป็นคนที่น่ารักเหี้ย ๆ เลยแหละ โอ๊ยใจ หน้าของหนูเอื้อยตอนหงอยยังน่ารักขนาดนี้ ถ้าตอนอ้อนจะน่ารักแค่ไหนกันนะ’
“อย่าหงอยสิคะ พี่พูดเล่นค่ะ พี่รู้ว่าหนูอยากตอบให้พี่รู้สึกดี ถึงแม้จะไม่เห็นก็ตาม จริงมั้ยคะ” ทิวากรยิ้มก่อนที่จะเอามือไปยีหัวอีกคน แต่ไม่ทันได้วางมือลงบนหัวของคนตัวเล็ก ก็ต้องชะงักมือไปก่อน เอมิกาเงยหน้าขึ้นมองมือสลับกับใบหน้าของทิวากรไปมา
“สัมผัส.. ได้มั้ยคะ” ทิวากรพูดขึ้นเพราะเขาเองไม่อยากเป็นคนมือไวกับคนตัวเล็กเพราะเธอน่าถนุถนอมมากจนเค้าอยากจะถนุถนอมและขออนุญาตเธอก่อนเพื่อให้เธอสบายใจและเต็มใจ
คนตัวเล็กไม่พูดอะไรแต่ตอบกลับด้วยการกระทำด้วยการยืดตัวขึ้นให้หัวของเธอแตะกับมือของชายหนุ่มใบหน้าของเธอแดงขึ้นมาทันที ทิวากรมองยิ้มด้วยความเอ็นดูและยีหัวคนตัวเล็กเบา ๆ ก่อนจะเอามือมาจับที่พวงมาลัยอีกครั้ง
อ้ากกกก ตาย ตายแน่ ๆ สาบานได้เลยว่าจะไม่ล้างมือสิบวัน!!
หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำของเธอทำให้ใจเขาสั่นไหวมากแค่ไหน ใช่ เขารู้สึกสนใจเธอเข้าแล้วถึงตัวเขาเองจะไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนและไม่เคยมีความกล้าในการพูดอ่อนหวานกับเพศตรงข้ามมาก่อน เว้นแต่แม่ของเขา ทำยังไงดีนะ ถึงจะได้ครอบครองรอยยิ้มของเธอ
“เป็นไงอีน้อง มีคนโทรมาบ้างมั้ย”
“ไม่เลยพี่อ้าย นี่เอื้อยจะมีงานแน่ ๆ ใช่มั้ย”
พี่สาวสุดที่รักของฉันเดินมาพร้อมกับใบแจ้งหนี้มากมายทั้งค่าไฟค่าเช่าบ้าน ฉันเองก็ได้แต่นั่งถอนหายใจพร้อมกับเอาหัวพิงไหล่ไม้ น้องชายวัยสี่ขวบที่กำลังดูการ์ตูนอยู่อย่างสนุกสนาน
“ได้สิวะ กูไปดูหมอดูมา แม่หมอบอกว่ายังไงมันก็ได้แน่นอน” แม่ของฉันที่กำลังป้อนข้าวไม้เอ่ยขึ้นพร้อมกับตบไปที่หน้าตักเพื่อคอนเฟิร์มในคำพูดของตัวเอง
“โอ๊ยคุณนายดาวเรืองขา เลิกเอาเงินไปลงกับอีแม่หมอได้เพี้ยนแล้วค่า ใคร ๆ ก็พูดได้ว่าจะได้งาน ถ้าสมมติว่ามีคนจ้างอีน้องมันไปล้างจานแค่วันเดียว เดี๋ยวแม่ก็มาตีโพยตีพายว่าแม่นว่าจริง” พี่อ้ายพูดขึ้น
จริง ๆ ฉันเองก็แอบเห็นด้วยนะ ถ้าแม่เก็บเงินส่วนนั้นไว้ทั้งหมดนะ ป่านนี้คงมีเงินจ่ายค่าเช่าบ้านที่ค้างมาสามเดือนแล้วแน่ ๆ อยากจะบ่นแต่ก็ไม่กล้า คงเป็นหน้าที่พี่อ้ายแหละดีที่สุดแล้ว
“แต่นี่มันก็เดือนกว่าแล้วนะคะที่เอื้อยจบมา ถ้าเกิดเอื้อยยังหางานไม่ได้อีกเดือน คงต้องแย่แน่ ค่าใช้จ่ายในบ้านเรามันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ”
“กูล่ะอิจฉาไม้มันจริง ๆ ตื่นมาก็กิน เรียน ดูการ์ตูน นอน ไม่ต้องมามีเรื่องเครียดแบบกู ไม่ต้องมานั่งคิดแต่ละวันว่าจะเอาเงินจากไหนมาใช้จ่ายในบ้าน” พี่อ้ายพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
แต่ในความรู้สึกของฉันเองก็รู้ว่าพี่อ้ายเองก็เหนื่อยมาก ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานแบกของที่โกดังของกำนันแถวบ้าน ทั้งที่เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ถึงพี่อ้ายจะสูงกว่าฉันแต่พี่อ้ายเองก็ผ่ายผอมลงมาก เพราะต้องทำงานหนัก กินข้าวก็น้อย พอนึกดูแล้วฉันเองก็รู้สึกผิดมากที่ช่วยอะไรพี่อ้ายไม่ได้เลย พอจะขอไปทำด้วยก็โดนห้ามปรามไว้เพราะพี่อ้ายบอกว่าฉันเรียนจบมหาลัยคนเดียวในบ้าน ถ้าต้องไปทำงานแบบนั้น ครอบครัวต้องโดนนินทาหนักแน่ ๆ ซึ่งตัวฉันเองก็ไม่ได้สนใจหรอกนะ แต่ยังไงแม่กับพี่อ้ายเองก็คงจะอายไม่น้อยเพราะช่วงที่ฉันเรียนแม่กับพี่อ้ายก็โดนแซวกันถ้วนหน้า แถมแม่ฉันนะก็ขี้อวดขี้โม้ไปเรื่อย แม่นะแม่
“เด็กก็เหนื่อยเป็นนะฮะ” ไม้พูดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วกอดอกแน่น
“ไหน มันเหนื่อยอะไรนักวะไอไม้” พี่อ้ายเอื้อมมือไปยีหัวเด็กชายหน้าบึ้ง
“ก็ไปโรงเรียน ตู้เพลงไม่ยอมเล่นกับไม้เลย”
“แล้วไปทำอะไรให้เขาไม่เล่นด้วยล่ะ” พี่อ้ายเอ่ยถามขึ้นต่อ
“ไม้แค่ดึงเปียตู้เพลงเฉย ๆ เอง แต่ตู้เพลงโกรธไม้นานเกิน”
“ตู้เพลงมีสิทธิ์โกรธไม้นานเท่าไหร่ก็ได้ค่ะไม้ ถ้าไม้ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจตู้เพลง เพราะงั้นไม้ต้องเลิกแกล้งเพื่อนแบบนี้นะคะ มันไม่น่ารักเลยนะไม้” ฉันพูดขึ้นหลังจากที่นั่งฟังมานานพร้อมกับมองหน้าน้องชายที่กำลังขมวดคิ้ว
“ก็มีคนบอกไม้ว่าผู้ชายแกล้งแปลว่าผู้ชายรัก ทำไมตู้เพลงดูไม่ออก”
“ไม่จริงเลยไม้ ใครมันจะชอบโดนแกล้ง แม่นะแม่ สอนไอไม้มันยังไงทำไมมันถึงคิดแบบนี้” พี่อ้ายหันไปดุแม่
“มึงก็รู้ ไอไม้มันฟังกูที่ไหน ไม้มันคงไม่ได้ยินมาจากพวกแม่ค้าแถวตลาดพูด อะไรไม่ดีก็โทษกูหมดเลยนะ มึงเห็นกูเป็นทักษิณหรอ ที่อะไร ๆ ก็โทษเอา ๆ"
“ไม้ฟังเอื้อยนะ ต่อไปนี้ห้ามทำร้ายร่างกายหรือจิตใจใครเด็ดขาดเลย มันไม่ดี แล้วตู้เพลงก็จะไม่ชอบไม้ คนอื่น ๆ เองก็จะไม่ชอบไม้ด้วย”
“ไม้เข้าใจแล้ว” เด็กชายพยักหน้าพร้อมกับอ้าปากงับข้าวต้มกุ้งที่แม่ป้อน
“แล้วงานนี่จะเอายังไงต่อ วันนี้มึงจะออกไปหาอีกมั้ยอีน้อง”
“ถ้าไม่มีใครโทรมาอีกสักครึ่งชั่วโมงเอื้อยก็คงต้องไปอีกรอบแหละพี่อ้าย นั่งเฉยๆ คงไม่มีงานทำแน่”
“แล้วลูกเขยเก่ากูที่รวย ๆ ไม่มีงานให้มึงทำบ้างหรอวะ มึงลองขอให้เค้าช่วยสิวะ”
“แม่!!! จะพูดมาให้มันได้อะไร!” พี่อ้ายกระแทกเสียงขึ้นเมื่อแม่พูดถึงคนที่ฉันไม่อยากนึกถึง
แม่มองหน้าฉันอย่างรู้สึกผิดเพราะแม่เองก็รู้ว่าฉันเจ็บปวดกับเขามากแค่ไหนแต่แม่ก็คงลืมตัวเผลอพูดขึ้นมาโดยไม่ได้ผ่านความคิด
“อ..เออ กูขอโทษ กูปากพล่อยนี่หว่าพวกมึงก็รู้ อย่าโกรธกูกันสิวะ ยังไงกูก็แม่พวกมึงนะเว้ย”
“ไม่เป็นไรจ้ะแม่ เอื้อยไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” รึเปล่า...
เมื่อก่อนครอบครัวฉันเป็นครอบครัวที่ไม่ได้ถือว่ายากจน พอมีกินมีใช้อย่างไม่ขาด พ่อฉันขอให้แม่ออกจากงานแล้วมาเลี้ยงลูก ซึ่งนั่นก็คือฉันกับพี่อ้าย ทำให้แม่ฉันเองก็ไม่ได้ทำงานอะไรนอกจากเลี้ยงลูก จนเมื่อปลายปีก่อนพ่อของฉันเสียชีวิตไปด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ทำให้บ้านฉันเซล้มไม่เป็นท่า ถึงจะมีเงินประกันชีวิตแต่มันก็ช่วยชีวิตฉันกับอีกสามชีวิตได้ไม่นาน แม่ฉันเองก็แก่ลงเต็มทีแล้ว พยายามหาของมาขายแต่ก็ขาดทุนทุกทีจนต้องล้มเลิก พี่สาวฉันเองก็หาเช้ากินค่ำพยายามไปสมัครงานที่ต่าง ๆ แต่ก็ไม่มีที่ไหนรับเลย ที่ที่รับก็ไกลจนคำนวณจากความเหนื่อยก็ไม่คุ้มเลยที่จะไปทำ จริง ๆ พี่อ้ายเองตอนแรกก็จะเรียนมหาลัยต่อนะ แต่มีช่วงที่การเงินที่บ้านเริ่มไม่ดีและพี่อ้ายเองก็คิดว่าหัวตัวเองด้านการเรียนไม่ดีนัก พี่อ้ายเลยเสียสละให้คนที่ได้เรียนต่อคือฉัน คงมีแต่ฉันแล้วแหละ ที่พอจะเป็นความหวังของครอบครัวได้ แต่ในตอนนี้ฉันกลับแย่ เพราะหลังจากที่เรียนจบมาฉันก็ยังหางานทำไม่ได้ มีเพียงแค่ Part time ร้านกาแฟแถวบ้านเท่านั้นที่พอยังเลี้ยงปากท้องได้ในแต่ละวัน แต่มันก็คงดีกว่านี้ถ้าฉันมีงานประจำสักที ส่วนไม้ก็เป็นลูกของป้าฉันที่มาทิ้งไว้ให้แม่ฉันเลี้ยง แค่เพราะสามีต่างประเทศของแกไม่ปลื้มที่แกมีลูกติด แกเลยเอาไม้มาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านทั้ง ๆ ที่ยังไม่หย่านมแม่เลยด้วยซ้ำ ถ้าเกิดกลับมาละก็ แม่ พี่อ้าย และฉันคงไม่ยอมแน่
ทุกคนคงสงสัยว่าฉันที่แม่ฉันพูดถึงเค้าคือใครแล้วเค้าทำอะไรให้ฉันพี่อ้ายถึงตวาดแม่สุดเสียงขนาดนั้น ย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อนเค้าคือรักแรกของฉัน และเป็นอะไรหลาย ๆ อย่างของฉัน ทุกครั้งที่ฝนตก ฉันมักจะคิดถึงวันแรกที่เราเจอกันเสมอ...
“ฝนตกอีกแล้ว...”
หญิงสาวบ่นพึมพำหลังจากที่ยืนรอรถเมล์อยู่นาน จนตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว
แต่รถเมล์ที่ผ่านบ้านเธอเป็นประจำก็ไม่ขับผ่านสักที
“เหนื่อยจัง...”
วันนี้เป็นวันที่เธอเหนื่อยอีกวันจากการโดนแกล้งในชั้นเรียน เอมิกาเป็นเด็กที่เรียนดีและเป็นเด็กดี เป็นที่รักของครูมาโดยตลอด ซึ่งก็นั่นแหละคือเหตุผลที่ทำให้เธอโดนกลั่นแกล้งในชั้นเรียนมาตลอด ถึงแม้หลายคนอาจจะคิดว่าจริง ๆ แล้วเพียงแค่เธอเอ่ยปากบอกครูทุกอย่างก็น่าจะจบ แต่เธอดันเป็นคนยอมคน จนบางทีเวลากลับบ้าน อ้ายผู้เป็นพี่เห็นรอยช้ำตามร่างกายของน้องสาว เธอถึงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟจนไปบุกไปถึงห้องผู้อำนวยการอยู่หลายครั้ง แต่ยิ่งพี่สาวเธอเอาเรื่องบ่อยเท่าไหร่เธอกลับโดนรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
นั่งแท็กซี่กลับดีมั้ยนะ
สาวน้อยคิดในใจพร้อมกับหยิบเงินในกระเป๋าขึ้นมา แต่เธอกลับต้องถอนหายใจอีกครั้งเพราะเงินในกระเป๋าของเธอที่เหลือจากวันนี้เหลือเพียงแค่ 34 บาท ถ้ากลับช้ากว่านี้คงทำงานไม่ทันแน่ ๆ แต่ถ้าจะไปนั่งแล้วจ่ายปลายทางรถมิเตอร์ก็คงขึ้นสูง
หรือวิ่งกลับคือทางที่ดีที่สุดนะ ถ้าช้ากว่านี้ฝนคงตกหนักกว่านี้แน่
เธอตัดสินใจเอากระเป๋านักเรียนขึ้นมาบังหัวแล้ววิ่งผ่าฝนไปในทันที ....
ในขณะที่เอมิกาวิ่งตากฝนไปในหัวของเธอก็คอยทบทวนเรื่องต่าง ๆ วันนี้เธอโดนทั้งเพื่อนเอาชีทเรียนไปซ่อนไว้หลังชักโครก ทั้งเอาคัตเตอร์มากรีดกระเป๋าหนังและรองเท้าหนังนักเรียนของเธอ เอมิกาได้แต่เก็บความเจ็บปวดนั้นไว้เพราะอีกไม่ถึงเดือนเธอก็จะเรียนจบม.6แล้ว ทนอีกสักนิดคงจะไม่เป็นไร คงเพราะเธอเป็นคนพูดน้อย ไม่สู้คน ยอมคน เธอเลยโดนแกล้งมาเสมอ ในใจของเอมิกาอยากจะกรี๊ดออกมาด้วยซ้ำเมื่อรู้ว่ารองเท้ากับกระเป๋าเธอมีรอยกรีด เพราะเธอทำงานพิเศษเป็นหลายวันเพื่อซื้อมันมาโดยที่ไม่ต้องรบกวนเงินพ่อกับแม่ของเธอ
..หรือจริง ๆ แล้วการร้องไห้ในตอนที่ฝนตกมันจะดีที่สุดแล้วนะ เพราะมันคงไม่มีใครแยกออกอีกแล้วว่ามันคือน้ำตาหรือน้ำฝนกันแน่ที่อยู่บนใบหน้าของฉัน..
ผ่านไปไม่นานฝนกลับหยุดตกซะงั้น หญิงสาวชะลอฝีเท้าลงพร้อมกับเดินช้าลง รองเท้านักเรียนของเธอเริ่มค่อย ๆ กัดเท้า ความเจ็บปวดทั้งกายทั้งใจเธอเริ่มเพิ่มขึ้น เธอทำได้แต่โทษฟ้าฝนเสมอ ทำไมต้องเป็นเธอ ทำไมเธอถึงเป็นผู้ถูกเลือกให้ผิดหวังเสมอเลย น้ำตาของเธอค่อย ๆ ไหลรินออกมา ทั้งที่เธอพยายามอดกลั้นมาทั้งวันด้วยซ้ำ ทั้งหนาวทั้งเหนื่อย ทั้งหิว โทรศัพท์ของเธอเองก็แบตหมดติดต่อใครไม่ได้ เธอเดินไปกอดกระเป๋าไปเพราะด้วยที่เสื้อนักเรียนของเธอบางมากจนเห็นเสื้อชั้นในของเธอทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยสักนิด
การที่เป็นผู้หญิงในสังคมนี้นี่มันไม่ง่ายเลยนะ ...
หญิงสาวเดินไปเรื่อย ๆ จนใกล้ถึงป้ายรถเมล์อีกป้ายที่มีกลุ่มผู้ชายอยู่ 4 คนกำลังจ้องมองมาที่เธอ สายตานั้น... เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยแฮะ
“เดินคนเดียวแบบนี้ อันตรายนะครับคนสวย” หนึ่งในกลุ่มชายกลุ่มนั้นเอ่ยขึ้น ดูจากภายนอกแล้วเค้าก็ดูเป็นคนดีด้วยซ้ำแต่พอเอ่ยปากพูดขึ้นมาก็รู้สึกถึงความแย่และไม่ปลอดภัยแล้วสิ
“ให้พวกพี่เดินไปส่งดีมั้ยหื้ม? เดี๋...” อีกคนพูดขึ้นแต่ไม่ทันจะประโยคชายร่างสูงก็พูดขึ้นมา
“พวกมึงไม่ต้องยุ่ง คนนี้กูไปเอง” ชายร่างสูงเหลือบมามองฉันพร้อมกับรอยยิ้ม “ซ่อนรูปนี่หว่า ไหน ขอพี่ดูชัดๆ หน่อยดีกว่า”
“อย่านะ!!” หญิงสาวโวยขึ้นแต่ชายหนุ่มกลับไม่รับฟังแถมยังกระชากกระเป๋านักเรียนของหญิงสาวลงบนพื้นจนข้าวของกระจัดกระจาย
“ของดีจริงซะด้วย..”
“ออกไปนะ!! อย่ามายุ่งกับเรา!!” หญิงสาวตะคอกไปสุดเสียงพร้อมกับเอามือปิดบังช่วงอกที่ปิดคลุมด้วยเสื้อเปียกของเธอไว้ เอมิกากัดปากแน่นตัวสั่นด้วยความกลัวที่เกิดขึ้นภายในใจ
ใครก็ได้.. ช่วยพาฉันออกไปจากตรงนี้ที
เธอพยายามที่จะวิ่งผ่านกลุ่มชายเหล่านี้แต่ไม่ว่าเธอพยายามยังไงพวกมันก็ยังคงกระชากตัวเธอกลับมาในที่สุด เธอไม่ชอบที่ไอ้คนชั่วพวกนี้มาสัมผัสตัว จึงยอมจำนนยืนตัวสั่นอยู่ที่เดิม ชายร่างสูงกระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนจะโน้มตัวลงเล็กน้อยเอามือทั้งสองข้างวางที่ไหล่ของเธอและเชยคางเธอขึ้นให้มองหน้าของเขา
“มาสนุกกันดีกว่าน..”
ผั๊วะ!!
ชายหนุ่มคนด้านหลังล้มลงอย่างเสียท่า คนที่กำลังจับตัวเอมิกาอยู่ถึงกับต้องรีบหันกลับไปดูเพื่อนของตนอย่างไว คนที่โดนต่อยจนเซล้มเขากำหมัดแน่นปาดเลือดที่มุมปากออกก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นมองหน้าคนที่เข้ามาแส่
“ออกห่างจากผู้หญิงของกูถ้าพวกมึงไม่อยากเจ็บตัว”
ใครกันนะ...
ตาของเธอตอนนี้พร่ามัวมากมองเห็นเพียงแค่เงารางๆ เพราะตาของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความกลัวและความเหนื่อย ในหัวของเธอชาไปหมด จากที่ทุกอย่างมืดดำสนิทแต่จู่ ๆ เธอกลับได้รับแสงสว่างจากเขาคนนั้น
“ถ้าหวงก้างนักมึงไม่เดินตามมาแต่แรกวะไอ้หน้าหล่อ ไปเว้ย หมดอารมณ์!!” ชายร่างสูงคนนั้นเอ่ยขึ้นหลังจากที่ยืนเงียบไป
..สุดท้ายพวกมันก็แค่พวกนักเลงกระจอกเก่งแค่กับคนที่อ่อนแอกว่าก็เท่านั้น ทำมาเก่ง..
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” หนึ่งในกลุ่มชี้หน้าบุคคลปริศนาผู้นั้นก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับอีกสามคน
“ไม่เป็นไรแล้วนะค..” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแต่ไม่ทันจบประโยคเขาก็ต้องชะงักกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา ใจของเขาสนั่นหวั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอเป็นผู้หญิงที่ตัวเล็กมาก...เมื่อเทียบกับเขา ริมฝีปากสีชมพูอ่อน ขนตางอนยาวเรียงกันเป็นเส้นสวย ผิวขาวอมชมพูเหมือนไม่เคยตากแดดตากลมเลย แก้มของเธอที่ดูเผิน ๆ น่าบีบและน่าคลอเคลีย เว้นแต่.. แววตาของเธอดูเศร้า เธอเหมือนดั่งภาพวาดที่สวยที่สุดที่เขาเคยเห็น แต่ก็เป็นภาพวาดที่มีแววตาที่เศร้าที่สุดที่เขาเคยพบเช่นกัน
เชี่ย... น่ารักสัส คนหรือนางฟ้ากันแน่วะ อยากจะโอนค่าน่ารักเล่นๆ สักล้านสองล้าน หนูมีเลขบัญชีมั้ยคะ หรือพร้อมเพย์ดี
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยเอื้อย” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ร่างกายของเธอนั้นยังคงสั่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอปาดน้ำตาออกก่อนที่จะใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการก้มลงไปเก็บกระเป๋าและของที่กระจายอยู่ที่พื้น
“พี่ช่วยนะคะ” ชายหนุ่มสะบัดหัวเพื่อให้หลุดจากวังวนความคิดของเขาแล้วก้มลงเก็บของช่วยเธอด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ เอื้อยขอตัวกลับก่อน.. ไว้มีโอกาสเอื้อยจะเลี้ยงข้าวตอบแทนนะคะ”
“ให้พี่ไปส่งนะคะ” แหงล่ะ เขาจะปล่อยให้เธอกลับบ้านคนเดียวได้ยังไงในเมื่อเธออยู่ในสภาพที่ล่อแหลมและไม่ปลอดภัยแบบนี้ “พี่มีรถค่ะ หนูไม่ต้องกลัวว่าจะถึงบ้านช้า ถ้ากลับคนเดียว พี่ต้องไม่สบายใจแน่ ๆ”
เอมิกามองหน้าชายหนุ่มด้วยความชั่งใจ แต่ถ้าหากเธอเดินกลับไป คนพวกนั้นอาจจะดักรอเธอที่ไหนสักที่ก็เป็นได้ ถ้าถึงตอนนั้นเธออาจจะไม่ได้โชคดีแบบนี้อีกแล้ว เธอเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าตอบรับอย่างช้า ๆ
“ขอบคุณนะคะ พี่..” เอมิกาเอียงคอเหมือนจะชื่อด้วยความอยากรู้
“ทิมค่ะ พี่ชื่อทิม”
ทิม หรือ ทิวากร ที่แปลว่าพระอาทิตย์ เป็นลูกชายคนกลางของคุณ ปราการ รัตนวรางกุล และคุณหญิงเกวลิน รัตนวรางกุล ผู้เป็นเจ้าของอสังหาฯรายใหญ่ในประเทศ และยังเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า NBC ห้างชื่อดังที่มีทั้งหมด 47 สาขาที่ประเทศไทย และอีก 24 สาขาที่ต่างประเทศอีกด้วย ไม่เพียงแต่ครอบครัวเขาเท่านั้น ทิวากรเองก็ถือหุ้น เธียร์เคกรุปจำกัดที่เป็นบริษัท Jewelry ที่ร่วมกับประเทศเกาหลีใต้ถึง 40% เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่รวยระดับต้นๆ ของประเทศเลยก็ว่าได้
“หนาวมั้ยคะ พี่ผ่อนแอร์ให้มั้ย” ทิวากรถามขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวใช้มือถูแขนทั้งสองข้างเธอไปมา เธอได้แต่เม้มปากเน้นไม่กล้าตอบกลับเพราะรู้สึกเกรงใจถ้าหากพูดว่าหนาวออกไป แต่ถ้าบอกว่าไม่หนาวเขาเองก็คงจะดูออกว่าเธอโกหก ทิวากรไม่พูดอะไรแล้วเอื้อมมือไปปรับแอร์ในทันทีเพราะคิดว่าเธอคงไม่กล้าพูดหรือขอให้เขาผ่อนแน่ ๆ
“ขอบคุณนะคะ” เอมิกายกมือไหว้ขอบคุณทิวากรอย่างตั้งใจ
“พี่ดูแก่เลยนะคะ ไม่เอาสิ หนูขอบคุณพี่หลายครั้งแล้วนะ” ทิวากรหันไปมองหญิงสาวด้วยความเอ็นดูก่อนที่จะกลับไปมองทางข้างหน้าอีกครั้ง
“พี่ทิมช่วยเอื้อย เอื้อยก็ต้องขอบคุณสิคะ”
“พี่เต็มใจค่ะ ด้านหลังมีฮู้ด หนูหยิบมาให้หน่อยได้มั้ยคะ พี่หยิบไม่ถนัดเลย”
“ได้ค่ะ” เอมิกาเอี้ยวตัวหันหลังกลับไปหยิบเสื้อฮู้ดตัวใหญ่จากเบาะหลัง “นี่ค่ะ ใช่ตัวนี้รึเปล่าคะ” เอมิกาเงยหน้าถามชายร่างสูงที่นั่งข้าง ๆ
“ใช่ค่ะ หนูใส่ไว้นะคะ จะได้ไม่หนาว”
“เอื้อย.. ใส่ไม่ได้หรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะคะ ตัวใหญ่สิคะดี จะได้เหมือนกอดหนูไว้”
“เปล่าค่ะ แค่คิดว่า..” เธอมองเสื้อด้วยความชั่งใจ ถึงเธอจะไม่รู้เรื่องแบรนด์เนมต่าง ๆ แต่เธอก็พอดูออกว่าเสื้อตัวนี้ราคาไม่ใช่เล่นแน่ๆ เพียงแค่เธอเห็นคำว่า Gucci เธอก็ไม่กล้าจับมันแล้ว
“ใส่เถอะนะคะ พี่ไม่อยากให้หนูหนาว หรือจะให้พี่จอดรถแล้วใส่ให้หนู”
“ม..ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวเอื้อยเอาเสื้อมาห่ม ๆ ก็ได้ค่ะ เอื้อยกลัวทำเสื้อของพี่เลอะไปมากกว่านี้”
‘โอ๊ย คนอะไรน่ารักเป็นบ้า เธอเอาเสื้อผมไปห่มตัวแล้วเหมือนตัวเธอขดในเสื้อเป็นลูกแมวน้อยน่ารักเลยแฮะ อ้ากกก น่ารักเป็นบ้า ผมสามารถโอนค่าน่ารักให้เธอได้ที่บัญชีไหนได้บ้าง’
“เป็นเด็กดีจังเลยนะคะ”
หญิงสาวไม่พูดอะไรตอบกลับแต่ใบหน้าของเธอนั้นแดงก่ำไม่รู้เป็นเพราะเธอตากฝนมาหรือเธอเขินกับคำชมของทิวากรกันแน่ กลิ่นหอมจางๆ จากเสื้อฮู้ดนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้ๆ กับตัวเขา ความอุ่นของเสื้อฮู้ดทำให้เธอรู้สึกว่าได้รับอ้อมกอดจากเขาเข้าไปอีก แปลกมาก.. ที่ทั้ง ๆ ที่เขาสองคนพึ่งเจอกันแท้ ๆ แต่เธอกลับรู้สึกไว้ใจเขามาก มากเสียจนไม่รู้จะบรรยายยังไง
ถ้าทำขาดหรือทำเลอะฉันต้องเอาเงินที่พ่อเก็บไว้ส่งให้ฉันไว้เข้ามหาลัยปีหนึ่งมาใช้เค้าแน่ๆ เลย จับเบาๆ นะ สัมผัสเบาๆ นะเอื้อย ฮืออ
“หนูว่า.. เมื่อกี้พี่เท่มั้ย” ทิวากรถามขึ้นหลังจากเห็นว่าเอมิกาได้เงียบไป
“ค..คะ” เอมิกาชะงักกับคำถามเมื่อครู่ เธอเองก็ไม่เคยเห็นใครมาถามคำถามในเชิงถามชื่นชมตัวเองแบบนี้เลย “เท่.. ค่ะ” เอมิกายิ้มขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันหล่อเหลาของอีกฝ่าย
ใช่ ทิวากรเป็นคนที่มีหน้าตาฟ้าประทานมาก ตาเฉี่ยวคมแต่ก็ยังมีความเป็นหนุ่มหน้าหวานบ้าง แต่บางมุมก็มีความคม ดูยากมากเลยว่าเขาคือคนหน้าตาประเภทไหน แต่ถ้าถามล่ะก็ คงจะเป็นประเภทหล่อ!! หล่อแบบตะโกน หล่อแบบตะคอก ไม่สิ หล่อแบบตวาดเลยแหละ โดยเฉพาะความสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนของเขายิ่งประดับบุญบารมีใบหน้าขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าครบเครื่องจริง ๆ หล่อแบบไม่มีที่ติ เหมือนเอาทุกอย่างที่เพอร์เฟคบนโลกใบนี้มีประดับที่ใบหน้าของเขากันเลยทีเดียว พระเจ้านี่ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ
“ตอนที่พี่ทิมกระทืบคนนั้นพี่ทิมดูเท่มาก ๆ เลยค่ะ” เอมิกาพูดเพื่อให้ทิวากรรู้สึกดี แต่จริง ๆ แล้วเธอเองไม่เห็นอะไรเลยด้วยซ้ำเพราะน้ำตาที่เอ่อคลอท่วมตาไปหมด
“โกหกเป็นเด็กไม่ดีนะคะ” ทิวากรทำหน้าเซ็งขึ้น เอมิการีบก้มหน้าหลบสายตาเพราะรู้สึกได้ว่าเหมือนคนตัวสูงจะจับเธอได้เสียแล้ว “พี่แค่ต่อยค่ะ กระทืบที่ไหนกันพี่ไม่ใช่คนโหดร้ายขนาดนั้นนะคะ ปกติพี่แก้ไขปัญหาด้วยเงิน แต่คนแบบนี้ไม่สมควรได้รับเงินที่เคยเป็นของพี่ แต่หมัดหนักเอาเรื่องแฮะ สงสัยพี่ต้องไปโม้ให้คนที่บ้านฟังสักหน่อย”
จากที่ทิวากรเซ็งเล็กน้อยแต่ก็ดึงความรู้สึกกลับมาได้เขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเรื่องตลก เขาพูดไปยิ้มไปอย่างมีความสุขและตลกขบขำ แต่เอมิกาได้แต่เงียบไปตัวเธอเองรู้สึกผิดเล็ก ๆ เพราะเธอนั้นไม่รู้ว่าจะตอบยังไงให้ถูกใจอีกฝ่ายดี หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าสำนึกผิดอย่างยอมแพ้
‘ถ้าเธอจะเป็นคนเหี้ยนะก็คงเป็นคนที่น่ารักเหี้ย ๆ เลยแหละ โอ๊ยใจ หน้าของหนูเอื้อยตอนหงอยยังน่ารักขนาดนี้ ถ้าตอนอ้อนจะน่ารักแค่ไหนกันนะ’
“อย่าหงอยสิคะ พี่พูดเล่นค่ะ พี่รู้ว่าหนูอยากตอบให้พี่รู้สึกดี ถึงแม้จะไม่เห็นก็ตาม จริงมั้ยคะ” ทิวากรยิ้มก่อนที่จะเอามือไปยีหัวอีกคน แต่ไม่ทันได้วางมือลงบนหัวของคนตัวเล็ก ก็ต้องชะงักมือไปก่อน เอมิกาเงยหน้าขึ้นมองมือสลับกับใบหน้าของทิวากรไปมา
“สัมผัส.. ได้มั้ยคะ” ทิวากรพูดขึ้นเพราะเขาเองไม่อยากเป็นคนมือไวกับคนตัวเล็กเพราะเธอน่าถนุถนอมมากจนเค้าอยากจะถนุถนอมและขออนุญาตเธอก่อนเพื่อให้เธอสบายใจและเต็มใจ
คนตัวเล็กไม่พูดอะไรแต่ตอบกลับด้วยการกระทำด้วยการยืดตัวขึ้นให้หัวของเธอแตะกับมือของชายหนุ่มใบหน้าของเธอแดงขึ้นมาทันที ทิวากรมองยิ้มด้วยความเอ็นดูและยีหัวคนตัวเล็กเบา ๆ ก่อนจะเอามือมาจับที่พวงมาลัยอีกครั้ง
อ้ากกกก ตาย ตายแน่ ๆ สาบานได้เลยว่าจะไม่ล้างมือสิบวัน!!
หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำของเธอทำให้ใจเขาสั่นไหวมากแค่ไหน ใช่ เขารู้สึกสนใจเธอเข้าแล้วถึงตัวเขาเองจะไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนและไม่เคยมีความกล้าในการพูดอ่อนหวานกับเพศตรงข้ามมาก่อน เว้นแต่แม่ของเขา ทำยังไงดีนะ ถึงจะได้ครอบครองรอยยิ้มของเธอ
บทที่ 1 จุดเริ่มต้น [บทที่1-1]
16/02/2023
บทที่ 2 จุดเริ่มต้น [บทที่1-2]
16/02/2023
บทที่ 3 เข็มนาฬิกาที่วนกลับมาให้เราเจอกันอีกครั้ง [บทที่2-1]
16/02/2023
บทที่ 4 เข็มนาฬิกาที่วนกลับมาให้เราเจอกันอีกครั้ง [บทที่2-2]
16/02/2023
บทที่ 5 สัมผัสที่คุ้นเคย [บทที่3-1]
16/02/2023
บทที่ 6 สัมผัสที่คุ้นเคย [บทที่3-2]
16/02/2023