Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
Love Returns | หนูเอื้อยขา 20+

Love Returns | หนูเอื้อยขา 20+

ณ แสนไกล

5.0
ความคิดเห็น
866
ชม
6
บท

ในที่สุดกล่องเมโลดี้ได้บรรเลงมาถึงตอนสุดท้ายของเรา ถึงเวลาที่ต้องปิดล็อกมันแล้วล่ะ … ใครว่ากันล่ะ! ผมไม่ยอมหรอกนะ แค่เพียงอย่างเดียวที่ผมจะหยุดตื้อเธอได้คือการที่หนูเอื้อยเลิกรักผมต่างหาก แต่ไม่มีวันนั้นหรอก ผมมั่นใจ สำหรับใครที่ชอบพระเอกไทป์ลูกหมาขี้หึงเชิญทางนี้ค่าา และแล้วเราก็เดินทางมาถึงเดือนแห่งความรักสักที! ก็ขอมอบความรักในแบบของพี่ทิมเป็นแบบอย่างของผู้ชายที่สาว ๆ หลายคนอยากได้มาเป็นแฟน! เรื่องราวความรักของ เอมิกา หรือ หนูเอื้อย นักศึกษาจบใหม่ที่ดันได้มาทำงานกับ ทิวากร หรือ พี่ทิม ประธานบริษัทเดอะเธียร์เคกรุป การกลับมาใกล้ชิดกันดันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่คิด เพราะเจ้าพ่อวางแผนอย่างทิวากรได้วางเกมไว้หมดแล้ว เขาไม่ยอมให้ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนต้องจบแบบไม่รู้สาเหตุเป็นแน่และไม่มีทางที่เขาจะยอมปล่อยเธอโดยง่ายหากเธอยังไม่เคยเอ่ยปากว่าหมดรัก เขาต้องรู้ให้ได้ว่าที่เธอบอกเลิกเขามันเพราะอะไรกันแน่ “ถ้าพี่ไปหนูก็ต้องไปค่ะ พี่จะพกหนูไปทุกที่เพราะหนูคือความสุขพกพาของพี่” “พี่ไม่ยอมหรอกค่ะ ไอ้หน้าจืดนั่นคิดจะแย่งหนูเอื้อยของพี่ ทำไมพี่จะดูไม่ออก” “ถ้าต้องจ่ายค่าความน่ารักของหนูเป็นเงิน พี่ต้องล้มละลายแน่ๆ เลยค่ะ” พี่ทิมคลั่งรักแฟน (เก่า) ขนาดนี้ เป็นใครก็คงต้องอิจฉาแน่ๆ! แต่เห็นพี่ทิมหนิม ๆ เหมือนลูกหมาแบบนี้ แต่เรื่องบนเตียงแอบกระซิบว่าทำเอาสาว ๆ ใบหน้าร้อนผ่าวกันแน่นอน!!! “อ้ะ.. พี่ทิม ถกขึ้นดูดดี ๆ สิคะ เปียกหมดแล้ว” “น้ำหวานของหนูยังเลอะกางเกงพี่เลย พี่แค่เริ่มเองนะคะ หนูก็อยากแล้วหรอหื้ม” ฟินไปพร้อมกันกับ Love Returns | หนูเอื้อยขา (20+) ​

บทที่ 1 จุดเริ่มต้น [บทที่1-1]

“เป็นไงอีน้อง มีคนโทรมาบ้างมั้ย”

“ไม่เลยพี่อ้าย นี่เอื้อยจะมีงานแน่ ๆ ใช่มั้ย”

พี่สาวสุดที่รักของฉันเดินมาพร้อมกับใบแจ้งหนี้มากมายทั้งค่าไฟค่าเช่าบ้าน ฉันเองก็ได้แต่นั่งถอนหายใจพร้อมกับเอาหัวพิงไหล่ไม้ น้องชายวัยสี่ขวบที่กำลังดูการ์ตูนอยู่อย่างสนุกสนาน

“ได้สิวะ กูไปดูหมอดูมา แม่หมอบอกว่ายังไงมันก็ได้แน่นอน” แม่ของฉันที่กำลังป้อนข้าวไม้เอ่ยขึ้นพร้อมกับตบไปที่หน้าตักเพื่อคอนเฟิร์มในคำพูดของตัวเอง

“โอ๊ยคุณนายดาวเรืองขา เลิกเอาเงินไปลงกับอีแม่หมอได้เพี้ยนแล้วค่า ใคร ๆ ก็พูดได้ว่าจะได้งาน ถ้าสมมติว่ามีคนจ้างอีน้องมันไปล้างจานแค่วันเดียว เดี๋ยวแม่ก็มาตีโพยตีพายว่าแม่นว่าจริง” พี่อ้ายพูดขึ้น

จริง ๆ ฉันเองก็แอบเห็นด้วยนะ ถ้าแม่เก็บเงินส่วนนั้นไว้ทั้งหมดนะ ป่านนี้คงมีเงินจ่ายค่าเช่าบ้านที่ค้างมาสามเดือนแล้วแน่ ๆ อยากจะบ่นแต่ก็ไม่กล้า คงเป็นหน้าที่พี่อ้ายแหละดีที่สุดแล้ว

“แต่นี่มันก็เดือนกว่าแล้วนะคะที่เอื้อยจบมา ถ้าเกิดเอื้อยยังหางานไม่ได้อีกเดือน คงต้องแย่แน่ ค่าใช้จ่ายในบ้านเรามันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ”

“กูล่ะอิจฉาไม้มันจริง ๆ ตื่นมาก็กิน เรียน ดูการ์ตูน นอน ไม่ต้องมามีเรื่องเครียดแบบกู ไม่ต้องมานั่งคิดแต่ละวันว่าจะเอาเงินจากไหนมาใช้จ่ายในบ้าน” พี่อ้ายพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

แต่ในความรู้สึกของฉันเองก็รู้ว่าพี่อ้ายเองก็เหนื่อยมาก ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานแบกของที่โกดังของกำนันแถวบ้าน ทั้งที่เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ถึงพี่อ้ายจะสูงกว่าฉันแต่พี่อ้ายเองก็ผ่ายผอมลงมาก เพราะต้องทำงานหนัก กินข้าวก็น้อย พอนึกดูแล้วฉันเองก็รู้สึกผิดมากที่ช่วยอะไรพี่อ้ายไม่ได้เลย พอจะขอไปทำด้วยก็โดนห้ามปรามไว้เพราะพี่อ้ายบอกว่าฉันเรียนจบมหาลัยคนเดียวในบ้าน ถ้าต้องไปทำงานแบบนั้น ครอบครัวต้องโดนนินทาหนักแน่ ๆ ซึ่งตัวฉันเองก็ไม่ได้สนใจหรอกนะ แต่ยังไงแม่กับพี่อ้ายเองก็คงจะอายไม่น้อยเพราะช่วงที่ฉันเรียนแม่กับพี่อ้ายก็โดนแซวกันถ้วนหน้า แถมแม่ฉันนะก็ขี้อวดขี้โม้ไปเรื่อย แม่นะแม่

“เด็กก็เหนื่อยเป็นนะฮะ” ไม้พูดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วกอดอกแน่น

“ไหน มันเหนื่อยอะไรนักวะไอไม้” พี่อ้ายเอื้อมมือไปยีหัวเด็กชายหน้าบึ้ง

“ก็ไปโรงเรียน ตู้เพลงไม่ยอมเล่นกับไม้เลย”

“แล้วไปทำอะไรให้เขาไม่เล่นด้วยล่ะ” พี่อ้ายเอ่ยถามขึ้นต่อ

“ไม้แค่ดึงเปียตู้เพลงเฉย ๆ เอง แต่ตู้เพลงโกรธไม้นานเกิน”

“ตู้เพลงมีสิทธิ์โกรธไม้นานเท่าไหร่ก็ได้ค่ะไม้ ถ้าไม้ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจตู้เพลง เพราะงั้นไม้ต้องเลิกแกล้งเพื่อนแบบนี้นะคะ มันไม่น่ารักเลยนะไม้” ฉันพูดขึ้นหลังจากที่นั่งฟังมานานพร้อมกับมองหน้าน้องชายที่กำลังขมวดคิ้ว

“ก็มีคนบอกไม้ว่าผู้ชายแกล้งแปลว่าผู้ชายรัก ทำไมตู้เพลงดูไม่ออก”

“ไม่จริงเลยไม้ ใครมันจะชอบโดนแกล้ง แม่นะแม่ สอนไอไม้มันยังไงทำไมมันถึงคิดแบบนี้” พี่อ้ายหันไปดุแม่

“มึงก็รู้ ไอไม้มันฟังกูที่ไหน ไม้มันคงไม่ได้ยินมาจากพวกแม่ค้าแถวตลาดพูด อะไรไม่ดีก็โทษกูหมดเลยนะ มึงเห็นกูเป็นทักษิณหรอ ที่อะไร ๆ ก็โทษเอา ๆ"

“ไม้ฟังเอื้อยนะ ต่อไปนี้ห้ามทำร้ายร่างกายหรือจิตใจใครเด็ดขาดเลย มันไม่ดี แล้วตู้เพลงก็จะไม่ชอบไม้ คนอื่น ๆ เองก็จะไม่ชอบไม้ด้วย”

“ไม้เข้าใจแล้ว” เด็กชายพยักหน้าพร้อมกับอ้าปากงับข้าวต้มกุ้งที่แม่ป้อน

“แล้วงานนี่จะเอายังไงต่อ วันนี้มึงจะออกไปหาอีกมั้ยอีน้อง”

“ถ้าไม่มีใครโทรมาอีกสักครึ่งชั่วโมงเอื้อยก็คงต้องไปอีกรอบแหละพี่อ้าย นั่งเฉยๆ คงไม่มีงานทำแน่”

“แล้วลูกเขยเก่ากูที่รวย ๆ ไม่มีงานให้มึงทำบ้างหรอวะ มึงลองขอให้เค้าช่วยสิวะ”

“แม่!!! จะพูดมาให้มันได้อะไร!” พี่อ้ายกระแทกเสียงขึ้นเมื่อแม่พูดถึงคนที่ฉันไม่อยากนึกถึง

แม่มองหน้าฉันอย่างรู้สึกผิดเพราะแม่เองก็รู้ว่าฉันเจ็บปวดกับเขามากแค่ไหนแต่แม่ก็คงลืมตัวเผลอพูดขึ้นมาโดยไม่ได้ผ่านความคิด

“อ..เออ กูขอโทษ กูปากพล่อยนี่หว่าพวกมึงก็รู้ อย่าโกรธกูกันสิวะ ยังไงกูก็แม่พวกมึงนะเว้ย”

“ไม่เป็นไรจ้ะแม่ เอื้อยไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” รึเปล่า...

เมื่อก่อนครอบครัวฉันเป็นครอบครัวที่ไม่ได้ถือว่ายากจน พอมีกินมีใช้อย่างไม่ขาด พ่อฉันขอให้แม่ออกจากงานแล้วมาเลี้ยงลูก ซึ่งนั่นก็คือฉันกับพี่อ้าย ทำให้แม่ฉันเองก็ไม่ได้ทำงานอะไรนอกจากเลี้ยงลูก จนเมื่อปลายปีก่อนพ่อของฉันเสียชีวิตไปด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ทำให้บ้านฉันเซล้มไม่เป็นท่า ถึงจะมีเงินประกันชีวิตแต่มันก็ช่วยชีวิตฉันกับอีกสามชีวิตได้ไม่นาน แม่ฉันเองก็แก่ลงเต็มทีแล้ว พยายามหาของมาขายแต่ก็ขาดทุนทุกทีจนต้องล้มเลิก พี่สาวฉันเองก็หาเช้ากินค่ำพยายามไปสมัครงานที่ต่าง ๆ แต่ก็ไม่มีที่ไหนรับเลย ที่ที่รับก็ไกลจนคำนวณจากความเหนื่อยก็ไม่คุ้มเลยที่จะไปทำ จริง ๆ พี่อ้ายเองตอนแรกก็จะเรียนมหาลัยต่อนะ แต่มีช่วงที่การเงินที่บ้านเริ่มไม่ดีและพี่อ้ายเองก็คิดว่าหัวตัวเองด้านการเรียนไม่ดีนัก พี่อ้ายเลยเสียสละให้คนที่ได้เรียนต่อคือฉัน คงมีแต่ฉันแล้วแหละ ที่พอจะเป็นความหวังของครอบครัวได้ แต่ในตอนนี้ฉันกลับแย่ เพราะหลังจากที่เรียนจบมาฉันก็ยังหางานทำไม่ได้ มีเพียงแค่ Part time ร้านกาแฟแถวบ้านเท่านั้นที่พอยังเลี้ยงปากท้องได้ในแต่ละวัน แต่มันก็คงดีกว่านี้ถ้าฉันมีงานประจำสักที ส่วนไม้ก็เป็นลูกของป้าฉันที่มาทิ้งไว้ให้แม่ฉันเลี้ยง แค่เพราะสามีต่างประเทศของแกไม่ปลื้มที่แกมีลูกติด แกเลยเอาไม้มาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านทั้ง ๆ ที่ยังไม่หย่านมแม่เลยด้วยซ้ำ ถ้าเกิดกลับมาละก็ แม่ พี่อ้าย และฉันคงไม่ยอมแน่

ทุกคนคงสงสัยว่าฉันที่แม่ฉันพูดถึงเค้าคือใครแล้วเค้าทำอะไรให้ฉันพี่อ้ายถึงตวาดแม่สุดเสียงขนาดนั้น ย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อนเค้าคือรักแรกของฉัน และเป็นอะไรหลาย ๆ อย่างของฉัน ทุกครั้งที่ฝนตก ฉันมักจะคิดถึงวันแรกที่เราเจอกันเสมอ...

“ฝนตกอีกแล้ว...”

หญิงสาวบ่นพึมพำหลังจากที่ยืนรอรถเมล์อยู่นาน จนตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว

แต่รถเมล์ที่ผ่านบ้านเธอเป็นประจำก็ไม่ขับผ่านสักที

“เหนื่อยจัง...”

วันนี้เป็นวันที่เธอเหนื่อยอีกวันจากการโดนแกล้งในชั้นเรียน เอมิกาเป็นเด็กที่เรียนดีและเป็นเด็กดี เป็นที่รักของครูมาโดยตลอด ซึ่งก็นั่นแหละคือเหตุผลที่ทำให้เธอโดนกลั่นแกล้งในชั้นเรียนมาตลอด ถึงแม้หลายคนอาจจะคิดว่าจริง ๆ แล้วเพียงแค่เธอเอ่ยปากบอกครูทุกอย่างก็น่าจะจบ แต่เธอดันเป็นคนยอมคน จนบางทีเวลากลับบ้าน อ้ายผู้เป็นพี่เห็นรอยช้ำตามร่างกายของน้องสาว เธอถึงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟจนไปบุกไปถึงห้องผู้อำนวยการอยู่หลายครั้ง แต่ยิ่งพี่สาวเธอเอาเรื่องบ่อยเท่าไหร่เธอกลับโดนรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

นั่งแท็กซี่กลับดีมั้ยนะ

สาวน้อยคิดในใจพร้อมกับหยิบเงินในกระเป๋าขึ้นมา แต่เธอกลับต้องถอนหายใจอีกครั้งเพราะเงินในกระเป๋าของเธอที่เหลือจากวันนี้เหลือเพียงแค่ 34 บาท ถ้ากลับช้ากว่านี้คงทำงานไม่ทันแน่ ๆ แต่ถ้าจะไปนั่งแล้วจ่ายปลายทางรถมิเตอร์ก็คงขึ้นสูง

หรือวิ่งกลับคือทางที่ดีที่สุดนะ ถ้าช้ากว่านี้ฝนคงตกหนักกว่านี้แน่

เธอตัดสินใจเอากระเป๋านักเรียนขึ้นมาบังหัวแล้ววิ่งผ่าฝนไปในทันที ....

ในขณะที่เอมิกาวิ่งตากฝนไปในหัวของเธอก็คอยทบทวนเรื่องต่าง ๆ วันนี้เธอโดนทั้งเพื่อนเอาชีทเรียนไปซ่อนไว้หลังชักโครก ทั้งเอาคัตเตอร์มากรีดกระเป๋าหนังและรองเท้าหนังนักเรียนของเธอ เอมิกาได้แต่เก็บความเจ็บปวดนั้นไว้เพราะอีกไม่ถึงเดือนเธอก็จะเรียนจบม.6แล้ว ทนอีกสักนิดคงจะไม่เป็นไร คงเพราะเธอเป็นคนพูดน้อย ไม่สู้คน ยอมคน เธอเลยโดนแกล้งมาเสมอ ในใจของเอมิกาอยากจะกรี๊ดออกมาด้วยซ้ำเมื่อรู้ว่ารองเท้ากับกระเป๋าเธอมีรอยกรีด เพราะเธอทำงานพิเศษเป็นหลายวันเพื่อซื้อมันมาโดยที่ไม่ต้องรบกวนเงินพ่อกับแม่ของเธอ

..หรือจริง ๆ แล้วการร้องไห้ในตอนที่ฝนตกมันจะดีที่สุดแล้วนะ เพราะมันคงไม่มีใครแยกออกอีกแล้วว่ามันคือน้ำตาหรือน้ำฝนกันแน่ที่อยู่บนใบหน้าของฉัน..

ผ่านไปไม่นานฝนกลับหยุดตกซะงั้น หญิงสาวชะลอฝีเท้าลงพร้อมกับเดินช้าลง รองเท้านักเรียนของเธอเริ่มค่อย ๆ กัดเท้า ความเจ็บปวดทั้งกายทั้งใจเธอเริ่มเพิ่มขึ้น เธอทำได้แต่โทษฟ้าฝนเสมอ ทำไมต้องเป็นเธอ ทำไมเธอถึงเป็นผู้ถูกเลือกให้ผิดหวังเสมอเลย น้ำตาของเธอค่อย ๆ ไหลรินออกมา ทั้งที่เธอพยายามอดกลั้นมาทั้งวันด้วยซ้ำ ทั้งหนาวทั้งเหนื่อย ทั้งหิว โทรศัพท์ของเธอเองก็แบตหมดติดต่อใครไม่ได้ เธอเดินไปกอดกระเป๋าไปเพราะด้วยที่เสื้อนักเรียนของเธอบางมากจนเห็นเสื้อชั้นในของเธอทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยสักนิด

การที่เป็นผู้หญิงในสังคมนี้นี่มันไม่ง่ายเลยนะ ...

หญิงสาวเดินไปเรื่อย ๆ จนใกล้ถึงป้ายรถเมล์อีกป้ายที่มีกลุ่มผู้ชายอยู่ 4 คนกำลังจ้องมองมาที่เธอ สายตานั้น... เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยแฮะ

“เดินคนเดียวแบบนี้ อันตรายนะครับคนสวย” หนึ่งในกลุ่มชายกลุ่มนั้นเอ่ยขึ้น ดูจากภายนอกแล้วเค้าก็ดูเป็นคนดีด้วยซ้ำแต่พอเอ่ยปากพูดขึ้นมาก็รู้สึกถึงความแย่และไม่ปลอดภัยแล้วสิ

“ให้พวกพี่เดินไปส่งดีมั้ยหื้ม? เดี๋...” อีกคนพูดขึ้นแต่ไม่ทันจะประโยคชายร่างสูงก็พูดขึ้นมา

“พวกมึงไม่ต้องยุ่ง คนนี้กูไปเอง” ชายร่างสูงเหลือบมามองฉันพร้อมกับรอยยิ้ม “ซ่อนรูปนี่หว่า ไหน ขอพี่ดูชัดๆ หน่อยดีกว่า”

“อย่านะ!!” หญิงสาวโวยขึ้นแต่ชายหนุ่มกลับไม่รับฟังแถมยังกระชากกระเป๋านักเรียนของหญิงสาวลงบนพื้นจนข้าวของกระจัดกระจาย

“ของดีจริงซะด้วย..”

“ออกไปนะ!! อย่ามายุ่งกับเรา!!” หญิงสาวตะคอกไปสุดเสียงพร้อมกับเอามือปิดบังช่วงอกที่ปิดคลุมด้วยเสื้อเปียกของเธอไว้ เอมิกากัดปากแน่นตัวสั่นด้วยความกลัวที่เกิดขึ้นภายในใจ

ใครก็ได้.. ช่วยพาฉันออกไปจากตรงนี้ที

เธอพยายามที่จะวิ่งผ่านกลุ่มชายเหล่านี้แต่ไม่ว่าเธอพยายามยังไงพวกมันก็ยังคงกระชากตัวเธอกลับมาในที่สุด เธอไม่ชอบที่ไอ้คนชั่วพวกนี้มาสัมผัสตัว จึงยอมจำนนยืนตัวสั่นอยู่ที่เดิม ชายร่างสูงกระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนจะโน้มตัวลงเล็กน้อยเอามือทั้งสองข้างวางที่ไหล่ของเธอและเชยคางเธอขึ้นให้มองหน้าของเขา

“มาสนุกกันดีกว่าน..”

ผั๊วะ!!

ชายหนุ่มคนด้านหลังล้มลงอย่างเสียท่า คนที่กำลังจับตัวเอมิกาอยู่ถึงกับต้องรีบหันกลับไปดูเพื่อนของตนอย่างไว คนที่โดนต่อยจนเซล้มเขากำหมัดแน่นปาดเลือดที่มุมปากออกก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นมองหน้าคนที่เข้ามาแส่

“ออกห่างจากผู้หญิงของกูถ้าพวกมึงไม่อยากเจ็บตัว”

ใครกันนะ...

ตาของเธอตอนนี้พร่ามัวมากมองเห็นเพียงแค่เงารางๆ เพราะตาของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความกลัวและความเหนื่อย ในหัวของเธอชาไปหมด จากที่ทุกอย่างมืดดำสนิทแต่จู่ ๆ เธอกลับได้รับแสงสว่างจากเขาคนนั้น

“ถ้าหวงก้างนักมึงไม่เดินตามมาแต่แรกวะไอ้หน้าหล่อ ไปเว้ย หมดอารมณ์!!” ชายร่างสูงคนนั้นเอ่ยขึ้นหลังจากที่ยืนเงียบไป

..สุดท้ายพวกมันก็แค่พวกนักเลงกระจอกเก่งแค่กับคนที่อ่อนแอกว่าก็เท่านั้น ทำมาเก่ง..

“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” หนึ่งในกลุ่มชี้หน้าบุคคลปริศนาผู้นั้นก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับอีกสามคน

“ไม่เป็นไรแล้วนะค..” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแต่ไม่ทันจบประโยคเขาก็ต้องชะงักกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา ใจของเขาสนั่นหวั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอเป็นผู้หญิงที่ตัวเล็กมาก...เมื่อเทียบกับเขา ริมฝีปากสีชมพูอ่อน ขนตางอนยาวเรียงกันเป็นเส้นสวย ผิวขาวอมชมพูเหมือนไม่เคยตากแดดตากลมเลย แก้มของเธอที่ดูเผิน ๆ น่าบีบและน่าคลอเคลีย เว้นแต่.. แววตาของเธอดูเศร้า เธอเหมือนดั่งภาพวาดที่สวยที่สุดที่เขาเคยเห็น แต่ก็เป็นภาพวาดที่มีแววตาที่เศร้าที่สุดที่เขาเคยพบเช่นกัน

เชี่ย... น่ารักสัส คนหรือนางฟ้ากันแน่วะ อยากจะโอนค่าน่ารักเล่นๆ สักล้านสองล้าน หนูมีเลขบัญชีมั้ยคะ หรือพร้อมเพย์ดี

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยเอื้อย” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ร่างกายของเธอนั้นยังคงสั่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอปาดน้ำตาออกก่อนที่จะใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการก้มลงไปเก็บกระเป๋าและของที่กระจายอยู่ที่พื้น

“พี่ช่วยนะคะ” ชายหนุ่มสะบัดหัวเพื่อให้หลุดจากวังวนความคิดของเขาแล้วก้มลงเก็บของช่วยเธอด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ เอื้อยขอตัวกลับก่อน.. ไว้มีโอกาสเอื้อยจะเลี้ยงข้าวตอบแทนนะคะ”

“ให้พี่ไปส่งนะคะ” แหงล่ะ เขาจะปล่อยให้เธอกลับบ้านคนเดียวได้ยังไงในเมื่อเธออยู่ในสภาพที่ล่อแหลมและไม่ปลอดภัยแบบนี้ “พี่มีรถค่ะ หนูไม่ต้องกลัวว่าจะถึงบ้านช้า ถ้ากลับคนเดียว พี่ต้องไม่สบายใจแน่ ๆ”

เอมิกามองหน้าชายหนุ่มด้วยความชั่งใจ แต่ถ้าหากเธอเดินกลับไป คนพวกนั้นอาจจะดักรอเธอที่ไหนสักที่ก็เป็นได้ ถ้าถึงตอนนั้นเธออาจจะไม่ได้โชคดีแบบนี้อีกแล้ว เธอเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าตอบรับอย่างช้า ๆ

“ขอบคุณนะคะ พี่..” เอมิกาเอียงคอเหมือนจะชื่อด้วยความอยากรู้

“ทิมค่ะ พี่ชื่อทิม”

ทิม หรือ ทิวากร ที่แปลว่าพระอาทิตย์ เป็นลูกชายคนกลางของคุณ ปราการ รัตนวรางกุล และคุณหญิงเกวลิน รัตนวรางกุล ผู้เป็นเจ้าของอสังหาฯรายใหญ่ในประเทศ และยังเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า NBC ห้างชื่อดังที่มีทั้งหมด 47 สาขาที่ประเทศไทย และอีก 24 สาขาที่ต่างประเทศอีกด้วย ไม่เพียงแต่ครอบครัวเขาเท่านั้น ทิวากรเองก็ถือหุ้น เธียร์เคกรุปจำกัดที่เป็นบริษัท Jewelry ที่ร่วมกับประเทศเกาหลีใต้ถึง 40% เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่รวยระดับต้นๆ ของประเทศเลยก็ว่าได้

“หนาวมั้ยคะ พี่ผ่อนแอร์ให้มั้ย” ทิวากรถามขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวใช้มือถูแขนทั้งสองข้างเธอไปมา เธอได้แต่เม้มปากเน้นไม่กล้าตอบกลับเพราะรู้สึกเกรงใจถ้าหากพูดว่าหนาวออกไป แต่ถ้าบอกว่าไม่หนาวเขาเองก็คงจะดูออกว่าเธอโกหก ทิวากรไม่พูดอะไรแล้วเอื้อมมือไปปรับแอร์ในทันทีเพราะคิดว่าเธอคงไม่กล้าพูดหรือขอให้เขาผ่อนแน่ ๆ

“ขอบคุณนะคะ” เอมิกายกมือไหว้ขอบคุณทิวากรอย่างตั้งใจ

“พี่ดูแก่เลยนะคะ ไม่เอาสิ หนูขอบคุณพี่หลายครั้งแล้วนะ” ทิวากรหันไปมองหญิงสาวด้วยความเอ็นดูก่อนที่จะกลับไปมองทางข้างหน้าอีกครั้ง

“พี่ทิมช่วยเอื้อย เอื้อยก็ต้องขอบคุณสิคะ”

“พี่เต็มใจค่ะ ด้านหลังมีฮู้ด หนูหยิบมาให้หน่อยได้มั้ยคะ พี่หยิบไม่ถนัดเลย”

“ได้ค่ะ” เอมิกาเอี้ยวตัวหันหลังกลับไปหยิบเสื้อฮู้ดตัวใหญ่จากเบาะหลัง “นี่ค่ะ ใช่ตัวนี้รึเปล่าคะ” เอมิกาเงยหน้าถามชายร่างสูงที่นั่งข้าง ๆ

“ใช่ค่ะ หนูใส่ไว้นะคะ จะได้ไม่หนาว”

“เอื้อย.. ใส่ไม่ได้หรอกค่ะ”

“ทำไมล่ะคะ ตัวใหญ่สิคะดี จะได้เหมือนกอดหนูไว้”

“เปล่าค่ะ แค่คิดว่า..” เธอมองเสื้อด้วยความชั่งใจ ถึงเธอจะไม่รู้เรื่องแบรนด์เนมต่าง ๆ แต่เธอก็พอดูออกว่าเสื้อตัวนี้ราคาไม่ใช่เล่นแน่ๆ เพียงแค่เธอเห็นคำว่า Gucci เธอก็ไม่กล้าจับมันแล้ว

“ใส่เถอะนะคะ พี่ไม่อยากให้หนูหนาว หรือจะให้พี่จอดรถแล้วใส่ให้หนู”

“ม..ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวเอื้อยเอาเสื้อมาห่ม ๆ ก็ได้ค่ะ เอื้อยกลัวทำเสื้อของพี่เลอะไปมากกว่านี้”

‘โอ๊ย คนอะไรน่ารักเป็นบ้า เธอเอาเสื้อผมไปห่มตัวแล้วเหมือนตัวเธอขดในเสื้อเป็นลูกแมวน้อยน่ารักเลยแฮะ อ้ากกก น่ารักเป็นบ้า ผมสามารถโอนค่าน่ารักให้เธอได้ที่บัญชีไหนได้บ้าง’

“เป็นเด็กดีจังเลยนะคะ”

หญิงสาวไม่พูดอะไรตอบกลับแต่ใบหน้าของเธอนั้นแดงก่ำไม่รู้เป็นเพราะเธอตากฝนมาหรือเธอเขินกับคำชมของทิวากรกันแน่ กลิ่นหอมจางๆ จากเสื้อฮู้ดนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้ๆ กับตัวเขา ความอุ่นของเสื้อฮู้ดทำให้เธอรู้สึกว่าได้รับอ้อมกอดจากเขาเข้าไปอีก แปลกมาก.. ที่ทั้ง ๆ ที่เขาสองคนพึ่งเจอกันแท้ ๆ แต่เธอกลับรู้สึกไว้ใจเขามาก มากเสียจนไม่รู้จะบรรยายยังไง

ถ้าทำขาดหรือทำเลอะฉันต้องเอาเงินที่พ่อเก็บไว้ส่งให้ฉันไว้เข้ามหาลัยปีหนึ่งมาใช้เค้าแน่ๆ เลย จับเบาๆ นะ สัมผัสเบาๆ นะเอื้อย ฮืออ

“หนูว่า.. เมื่อกี้พี่เท่มั้ย” ทิวากรถามขึ้นหลังจากเห็นว่าเอมิกาได้เงียบไป

“ค..คะ” เอมิกาชะงักกับคำถามเมื่อครู่ เธอเองก็ไม่เคยเห็นใครมาถามคำถามในเชิงถามชื่นชมตัวเองแบบนี้เลย “เท่.. ค่ะ” เอมิกายิ้มขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันหล่อเหลาของอีกฝ่าย

ใช่ ทิวากรเป็นคนที่มีหน้าตาฟ้าประทานมาก ตาเฉี่ยวคมแต่ก็ยังมีความเป็นหนุ่มหน้าหวานบ้าง แต่บางมุมก็มีความคม ดูยากมากเลยว่าเขาคือคนหน้าตาประเภทไหน แต่ถ้าถามล่ะก็ คงจะเป็นประเภทหล่อ!! หล่อแบบตะโกน หล่อแบบตะคอก ไม่สิ หล่อแบบตวาดเลยแหละ โดยเฉพาะความสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนของเขายิ่งประดับบุญบารมีใบหน้าขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าครบเครื่องจริง ๆ หล่อแบบไม่มีที่ติ เหมือนเอาทุกอย่างที่เพอร์เฟคบนโลกใบนี้มีประดับที่ใบหน้าของเขากันเลยทีเดียว พระเจ้านี่ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ

“ตอนที่พี่ทิมกระทืบคนนั้นพี่ทิมดูเท่มาก ๆ เลยค่ะ” เอมิกาพูดเพื่อให้ทิวากรรู้สึกดี แต่จริง ๆ แล้วเธอเองไม่เห็นอะไรเลยด้วยซ้ำเพราะน้ำตาที่เอ่อคลอท่วมตาไปหมด

“โกหกเป็นเด็กไม่ดีนะคะ” ทิวากรทำหน้าเซ็งขึ้น เอมิการีบก้มหน้าหลบสายตาเพราะรู้สึกได้ว่าเหมือนคนตัวสูงจะจับเธอได้เสียแล้ว “พี่แค่ต่อยค่ะ กระทืบที่ไหนกันพี่ไม่ใช่คนโหดร้ายขนาดนั้นนะคะ ปกติพี่แก้ไขปัญหาด้วยเงิน แต่คนแบบนี้ไม่สมควรได้รับเงินที่เคยเป็นของพี่ แต่หมัดหนักเอาเรื่องแฮะ สงสัยพี่ต้องไปโม้ให้คนที่บ้านฟังสักหน่อย”

จากที่ทิวากรเซ็งเล็กน้อยแต่ก็ดึงความรู้สึกกลับมาได้เขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเรื่องตลก เขาพูดไปยิ้มไปอย่างมีความสุขและตลกขบขำ แต่เอมิกาได้แต่เงียบไปตัวเธอเองรู้สึกผิดเล็ก ๆ เพราะเธอนั้นไม่รู้ว่าจะตอบยังไงให้ถูกใจอีกฝ่ายดี หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าสำนึกผิดอย่างยอมแพ้

‘ถ้าเธอจะเป็นคนเหี้ยนะก็คงเป็นคนที่น่ารักเหี้ย ๆ เลยแหละ โอ๊ยใจ หน้าของหนูเอื้อยตอนหงอยยังน่ารักขนาดนี้ ถ้าตอนอ้อนจะน่ารักแค่ไหนกันนะ’

“อย่าหงอยสิคะ พี่พูดเล่นค่ะ พี่รู้ว่าหนูอยากตอบให้พี่รู้สึกดี ถึงแม้จะไม่เห็นก็ตาม จริงมั้ยคะ” ทิวากรยิ้มก่อนที่จะเอามือไปยีหัวอีกคน แต่ไม่ทันได้วางมือลงบนหัวของคนตัวเล็ก ก็ต้องชะงักมือไปก่อน เอมิกาเงยหน้าขึ้นมองมือสลับกับใบหน้าของทิวากรไปมา

“สัมผัส.. ได้มั้ยคะ” ทิวากรพูดขึ้นเพราะเขาเองไม่อยากเป็นคนมือไวกับคนตัวเล็กเพราะเธอน่าถนุถนอมมากจนเค้าอยากจะถนุถนอมและขออนุญาตเธอก่อนเพื่อให้เธอสบายใจและเต็มใจ

คนตัวเล็กไม่พูดอะไรแต่ตอบกลับด้วยการกระทำด้วยการยืดตัวขึ้นให้หัวของเธอแตะกับมือของชายหนุ่มใบหน้าของเธอแดงขึ้นมาทันที ทิวากรมองยิ้มด้วยความเอ็นดูและยีหัวคนตัวเล็กเบา ๆ ก่อนจะเอามือมาจับที่พวงมาลัยอีกครั้ง

อ้ากกกก ตาย ตายแน่ ๆ สาบานได้เลยว่าจะไม่ล้างมือสิบวัน!!

หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำของเธอทำให้ใจเขาสั่นไหวมากแค่ไหน ใช่ เขารู้สึกสนใจเธอเข้าแล้วถึงตัวเขาเองจะไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนและไม่เคยมีความกล้าในการพูดอ่อนหวานกับเพศตรงข้ามมาก่อน เว้นแต่แม่ของเขา ทำยังไงดีนะ ถึงจะได้ครอบครองรอยยิ้มของเธอ

“เป็นไงอีน้อง มีคนโทรมาบ้างมั้ย”

“ไม่เลยพี่อ้าย นี่เอื้อยจะมีงานแน่ ๆ ใช่มั้ย”

พี่สาวสุดที่รักของฉันเดินมาพร้อมกับใบแจ้งหนี้มากมายทั้งค่าไฟค่าเช่าบ้าน ฉันเองก็ได้แต่นั่งถอนหายใจพร้อมกับเอาหัวพิงไหล่ไม้ น้องชายวัยสี่ขวบที่กำลังดูการ์ตูนอยู่อย่างสนุกสนาน

“ได้สิวะ กูไปดูหมอดูมา แม่หมอบอกว่ายังไงมันก็ได้แน่นอน” แม่ของฉันที่กำลังป้อนข้าวไม้เอ่ยขึ้นพร้อมกับตบไปที่หน้าตักเพื่อคอนเฟิร์มในคำพูดของตัวเอง

“โอ๊ยคุณนายดาวเรืองขา เลิกเอาเงินไปลงกับอีแม่หมอได้เพี้ยนแล้วค่า ใคร ๆ ก็พูดได้ว่าจะได้งาน ถ้าสมมติว่ามีคนจ้างอีน้องมันไปล้างจานแค่วันเดียว เดี๋ยวแม่ก็มาตีโพยตีพายว่าแม่นว่าจริง” พี่อ้ายพูดขึ้น

จริง ๆ ฉันเองก็แอบเห็นด้วยนะ ถ้าแม่เก็บเงินส่วนนั้นไว้ทั้งหมดนะ ป่านนี้คงมีเงินจ่ายค่าเช่าบ้านที่ค้างมาสามเดือนแล้วแน่ ๆ อยากจะบ่นแต่ก็ไม่กล้า คงเป็นหน้าที่พี่อ้ายแหละดีที่สุดแล้ว

“แต่นี่มันก็เดือนกว่าแล้วนะคะที่เอื้อยจบมา ถ้าเกิดเอื้อยยังหางานไม่ได้อีกเดือน คงต้องแย่แน่ ค่าใช้จ่ายในบ้านเรามันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ”

“กูล่ะอิจฉาไม้มันจริง ๆ ตื่นมาก็กิน เรียน ดูการ์ตูน นอน ไม่ต้องมามีเรื่องเครียดแบบกู ไม่ต้องมานั่งคิดแต่ละวันว่าจะเอาเงินจากไหนมาใช้จ่ายในบ้าน” พี่อ้ายพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

แต่ในความรู้สึกของฉันเองก็รู้ว่าพี่อ้ายเองก็เหนื่อยมาก ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานแบกของที่โกดังของกำนันแถวบ้าน ทั้งที่เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ถึงพี่อ้ายจะสูงกว่าฉันแต่พี่อ้ายเองก็ผ่ายผอมลงมาก เพราะต้องทำงานหนัก กินข้าวก็น้อย พอนึกดูแล้วฉันเองก็รู้สึกผิดมากที่ช่วยอะไรพี่อ้ายไม่ได้เลย พอจะขอไปทำด้วยก็โดนห้ามปรามไว้เพราะพี่อ้ายบอกว่าฉันเรียนจบมหาลัยคนเดียวในบ้าน ถ้าต้องไปทำงานแบบนั้น ครอบครัวต้องโดนนินทาหนักแน่ ๆ ซึ่งตัวฉันเองก็ไม่ได้สนใจหรอกนะ แต่ยังไงแม่กับพี่อ้ายเองก็คงจะอายไม่น้อยเพราะช่วงที่ฉันเรียนแม่กับพี่อ้ายก็โดนแซวกันถ้วนหน้า แถมแม่ฉันนะก็ขี้อวดขี้โม้ไปเรื่อย แม่นะแม่

“เด็กก็เหนื่อยเป็นนะฮะ” ไม้พูดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วกอดอกแน่น

“ไหน มันเหนื่อยอะไรนักวะไอไม้” พี่อ้ายเอื้อมมือไปยีหัวเด็กชายหน้าบึ้ง

“ก็ไปโรงเรียน ตู้เพลงไม่ยอมเล่นกับไม้เลย”

“แล้วไปทำอะไรให้เขาไม่เล่นด้วยล่ะ” พี่อ้ายเอ่ยถามขึ้นต่อ

“ไม้แค่ดึงเปียตู้เพลงเฉย ๆ เอง แต่ตู้เพลงโกรธไม้นานเกิน”

“ตู้เพลงมีสิทธิ์โกรธไม้นานเท่าไหร่ก็ได้ค่ะไม้ ถ้าไม้ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจตู้เพลง เพราะงั้นไม้ต้องเลิกแกล้งเพื่อนแบบนี้นะคะ มันไม่น่ารักเลยนะไม้” ฉันพูดขึ้นหลังจากที่นั่งฟังมานานพร้อมกับมองหน้าน้องชายที่กำลังขมวดคิ้ว

“ก็มีคนบอกไม้ว่าผู้ชายแกล้งแปลว่าผู้ชายรัก ทำไมตู้เพลงดูไม่ออก”

“ไม่จริงเลยไม้ ใครมันจะชอบโดนแกล้ง แม่นะแม่ สอนไอไม้มันยังไงทำไมมันถึงคิดแบบนี้” พี่อ้ายหันไปดุแม่

“มึงก็รู้ ไอไม้มันฟังกูที่ไหน ไม้มันคงไม่ได้ยินมาจากพวกแม่ค้าแถวตลาดพูด อะไรไม่ดีก็โทษกูหมดเลยนะ มึงเห็นกูเป็นทักษิณหรอ ที่อะไร ๆ ก็โทษเอา ๆ"

“ไม้ฟังเอื้อยนะ ต่อไปนี้ห้ามทำร้ายร่างกายหรือจิตใจใครเด็ดขาดเลย มันไม่ดี แล้วตู้เพลงก็จะไม่ชอบไม้ คนอื่น ๆ เองก็จะไม่ชอบไม้ด้วย”

“ไม้เข้าใจแล้ว” เด็กชายพยักหน้าพร้อมกับอ้าปากงับข้าวต้มกุ้งที่แม่ป้อน

“แล้วงานนี่จะเอายังไงต่อ วันนี้มึงจะออกไปหาอีกมั้ยอีน้อง”

“ถ้าไม่มีใครโทรมาอีกสักครึ่งชั่วโมงเอื้อยก็คงต้องไปอีกรอบแหละพี่อ้าย นั่งเฉยๆ คงไม่มีงานทำแน่”

“แล้วลูกเขยเก่ากูที่รวย ๆ ไม่มีงานให้มึงทำบ้างหรอวะ มึงลองขอให้เค้าช่วยสิวะ”

“แม่!!! จะพูดมาให้มันได้อะไร!” พี่อ้ายกระแทกเสียงขึ้นเมื่อแม่พูดถึงคนที่ฉันไม่อยากนึกถึง

แม่มองหน้าฉันอย่างรู้สึกผิดเพราะแม่เองก็รู้ว่าฉันเจ็บปวดกับเขามากแค่ไหนแต่แม่ก็คงลืมตัวเผลอพูดขึ้นมาโดยไม่ได้ผ่านความคิด

“อ..เออ กูขอโทษ กูปากพล่อยนี่หว่าพวกมึงก็รู้ อย่าโกรธกูกันสิวะ ยังไงกูก็แม่พวกมึงนะเว้ย”

“ไม่เป็นไรจ้ะแม่ เอื้อยไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” รึเปล่า...

เมื่อก่อนครอบครัวฉันเป็นครอบครัวที่ไม่ได้ถือว่ายากจน พอมีกินมีใช้อย่างไม่ขาด พ่อฉันขอให้แม่ออกจากงานแล้วมาเลี้ยงลูก ซึ่งนั่นก็คือฉันกับพี่อ้าย ทำให้แม่ฉันเองก็ไม่ได้ทำงานอะไรนอกจากเลี้ยงลูก จนเมื่อปลายปีก่อนพ่อของฉันเสียชีวิตไปด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ทำให้บ้านฉันเซล้มไม่เป็นท่า ถึงจะมีเงินประกันชีวิตแต่มันก็ช่วยชีวิตฉันกับอีกสามชีวิตได้ไม่นาน แม่ฉันเองก็แก่ลงเต็มทีแล้ว พยายามหาของมาขายแต่ก็ขาดทุนทุกทีจนต้องล้มเลิก พี่สาวฉันเองก็หาเช้ากินค่ำพยายามไปสมัครงานที่ต่าง ๆ แต่ก็ไม่มีที่ไหนรับเลย ที่ที่รับก็ไกลจนคำนวณจากความเหนื่อยก็ไม่คุ้มเลยที่จะไปทำ จริง ๆ พี่อ้ายเองตอนแรกก็จะเรียนมหาลัยต่อนะ แต่มีช่วงที่การเงินที่บ้านเริ่มไม่ดีและพี่อ้ายเองก็คิดว่าหัวตัวเองด้านการเรียนไม่ดีนัก พี่อ้ายเลยเสียสละให้คนที่ได้เรียนต่อคือฉัน คงมีแต่ฉันแล้วแหละ ที่พอจะเป็นความหวังของครอบครัวได้ แต่ในตอนนี้ฉันกลับแย่ เพราะหลังจากที่เรียนจบมาฉันก็ยังหางานทำไม่ได้ มีเพียงแค่ Part time ร้านกาแฟแถวบ้านเท่านั้นที่พอยังเลี้ยงปากท้องได้ในแต่ละวัน แต่มันก็คงดีกว่านี้ถ้าฉันมีงานประจำสักที ส่วนไม้ก็เป็นลูกของป้าฉันที่มาทิ้งไว้ให้แม่ฉันเลี้ยง แค่เพราะสามีต่างประเทศของแกไม่ปลื้มที่แกมีลูกติด แกเลยเอาไม้มาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านทั้ง ๆ ที่ยังไม่หย่านมแม่เลยด้วยซ้ำ ถ้าเกิดกลับมาละก็ แม่ พี่อ้าย และฉันคงไม่ยอมแน่

ทุกคนคงสงสัยว่าฉันที่แม่ฉันพูดถึงเค้าคือใครแล้วเค้าทำอะไรให้ฉันพี่อ้ายถึงตวาดแม่สุดเสียงขนาดนั้น ย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อนเค้าคือรักแรกของฉัน และเป็นอะไรหลาย ๆ อย่างของฉัน ทุกครั้งที่ฝนตก ฉันมักจะคิดถึงวันแรกที่เราเจอกันเสมอ...

“ฝนตกอีกแล้ว...”

หญิงสาวบ่นพึมพำหลังจากที่ยืนรอรถเมล์อยู่นาน จนตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว

แต่รถเมล์ที่ผ่านบ้านเธอเป็นประจำก็ไม่ขับผ่านสักที

“เหนื่อยจัง...”

วันนี้เป็นวันที่เธอเหนื่อยอีกวันจากการโดนแกล้งในชั้นเรียน เอมิกาเป็นเด็กที่เรียนดีและเป็นเด็กดี เป็นที่รักของครูมาโดยตลอด ซึ่งก็นั่นแหละคือเหตุผลที่ทำให้เธอโดนกลั่นแกล้งในชั้นเรียนมาตลอด ถึงแม้หลายคนอาจจะคิดว่าจริง ๆ แล้วเพียงแค่เธอเอ่ยปากบอกครูทุกอย่างก็น่าจะจบ แต่เธอดันเป็นคนยอมคน จนบางทีเวลากลับบ้าน อ้ายผู้เป็นพี่เห็นรอยช้ำตามร่างกายของน้องสาว เธอถึงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟจนไปบุกไปถึงห้องผู้อำนวยการอยู่หลายครั้ง แต่ยิ่งพี่สาวเธอเอาเรื่องบ่อยเท่าไหร่เธอกลับโดนรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

นั่งแท็กซี่กลับดีมั้ยนะ

สาวน้อยคิดในใจพร้อมกับหยิบเงินในกระเป๋าขึ้นมา แต่เธอกลับต้องถอนหายใจอีกครั้งเพราะเงินในกระเป๋าของเธอที่เหลือจากวันนี้เหลือเพียงแค่ 34 บาท ถ้ากลับช้ากว่านี้คงทำงานไม่ทันแน่ ๆ แต่ถ้าจะไปนั่งแล้วจ่ายปลายทางรถมิเตอร์ก็คงขึ้นสูง

หรือวิ่งกลับคือทางที่ดีที่สุดนะ ถ้าช้ากว่านี้ฝนคงตกหนักกว่านี้แน่

เธอตัดสินใจเอากระเป๋านักเรียนขึ้นมาบังหัวแล้ววิ่งผ่าฝนไปในทันที ....

ในขณะที่เอมิกาวิ่งตากฝนไปในหัวของเธอก็คอยทบทวนเรื่องต่าง ๆ วันนี้เธอโดนทั้งเพื่อนเอาชีทเรียนไปซ่อนไว้หลังชักโครก ทั้งเอาคัตเตอร์มากรีดกระเป๋าหนังและรองเท้าหนังนักเรียนของเธอ เอมิกาได้แต่เก็บความเจ็บปวดนั้นไว้เพราะอีกไม่ถึงเดือนเธอก็จะเรียนจบม.6แล้ว ทนอีกสักนิดคงจะไม่เป็นไร คงเพราะเธอเป็นคนพูดน้อย ไม่สู้คน ยอมคน เธอเลยโดนแกล้งมาเสมอ ในใจของเอมิกาอยากจะกรี๊ดออกมาด้วยซ้ำเมื่อรู้ว่ารองเท้ากับกระเป๋าเธอมีรอยกรีด เพราะเธอทำงานพิเศษเป็นหลายวันเพื่อซื้อมันมาโดยที่ไม่ต้องรบกวนเงินพ่อกับแม่ของเธอ

..หรือจริง ๆ แล้วการร้องไห้ในตอนที่ฝนตกมันจะดีที่สุดแล้วนะ เพราะมันคงไม่มีใครแยกออกอีกแล้วว่ามันคือน้ำตาหรือน้ำฝนกันแน่ที่อยู่บนใบหน้าของฉัน..

ผ่านไปไม่นานฝนกลับหยุดตกซะงั้น หญิงสาวชะลอฝีเท้าลงพร้อมกับเดินช้าลง รองเท้านักเรียนของเธอเริ่มค่อย ๆ กัดเท้า ความเจ็บปวดทั้งกายทั้งใจเธอเริ่มเพิ่มขึ้น เธอทำได้แต่โทษฟ้าฝนเสมอ ทำไมต้องเป็นเธอ ทำไมเธอถึงเป็นผู้ถูกเลือกให้ผิดหวังเสมอเลย น้ำตาของเธอค่อย ๆ ไหลรินออกมา ทั้งที่เธอพยายามอดกลั้นมาทั้งวันด้วยซ้ำ ทั้งหนาวทั้งเหนื่อย ทั้งหิว โทรศัพท์ของเธอเองก็แบตหมดติดต่อใครไม่ได้ เธอเดินไปกอดกระเป๋าไปเพราะด้วยที่เสื้อนักเรียนของเธอบางมากจนเห็นเสื้อชั้นในของเธอทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยสักนิด

การที่เป็นผู้หญิงในสังคมนี้นี่มันไม่ง่ายเลยนะ ...

หญิงสาวเดินไปเรื่อย ๆ จนใกล้ถึงป้ายรถเมล์อีกป้ายที่มีกลุ่มผู้ชายอยู่ 4 คนกำลังจ้องมองมาที่เธอ สายตานั้น... เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยแฮะ

“เดินคนเดียวแบบนี้ อันตรายนะครับคนสวย” หนึ่งในกลุ่มชายกลุ่มนั้นเอ่ยขึ้น ดูจากภายนอกแล้วเค้าก็ดูเป็นคนดีด้วยซ้ำแต่พอเอ่ยปากพูดขึ้นมาก็รู้สึกถึงความแย่และไม่ปลอดภัยแล้วสิ

“ให้พวกพี่เดินไปส่งดีมั้ยหื้ม? เดี๋...” อีกคนพูดขึ้นแต่ไม่ทันจะประโยคชายร่างสูงก็พูดขึ้นมา

“พวกมึงไม่ต้องยุ่ง คนนี้กูไปเอง” ชายร่างสูงเหลือบมามองฉันพร้อมกับรอยยิ้ม “ซ่อนรูปนี่หว่า ไหน ขอพี่ดูชัดๆ หน่อยดีกว่า”

“อย่านะ!!” หญิงสาวโวยขึ้นแต่ชายหนุ่มกลับไม่รับฟังแถมยังกระชากกระเป๋านักเรียนของหญิงสาวลงบนพื้นจนข้าวของกระจัดกระจาย

“ของดีจริงซะด้วย..”

“ออกไปนะ!! อย่ามายุ่งกับเรา!!” หญิงสาวตะคอกไปสุดเสียงพร้อมกับเอามือปิดบังช่วงอกที่ปิดคลุมด้วยเสื้อเปียกของเธอไว้ เอมิกากัดปากแน่นตัวสั่นด้วยความกลัวที่เกิดขึ้นภายในใจ

ใครก็ได้.. ช่วยพาฉันออกไปจากตรงนี้ที

เธอพยายามที่จะวิ่งผ่านกลุ่มชายเหล่านี้แต่ไม่ว่าเธอพยายามยังไงพวกมันก็ยังคงกระชากตัวเธอกลับมาในที่สุด เธอไม่ชอบที่ไอ้คนชั่วพวกนี้มาสัมผัสตัว จึงยอมจำนนยืนตัวสั่นอยู่ที่เดิม ชายร่างสูงกระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนจะโน้มตัวลงเล็กน้อยเอามือทั้งสองข้างวางที่ไหล่ของเธอและเชยคางเธอขึ้นให้มองหน้าของเขา

“มาสนุกกันดีกว่าน..”

ผั๊วะ!!

ชายหนุ่มคนด้านหลังล้มลงอย่างเสียท่า คนที่กำลังจับตัวเอมิกาอยู่ถึงกับต้องรีบหันกลับไปดูเพื่อนของตนอย่างไว คนที่โดนต่อยจนเซล้มเขากำหมัดแน่นปาดเลือดที่มุมปากออกก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นมองหน้าคนที่เข้ามาแส่

“ออกห่างจากผู้หญิงของกูถ้าพวกมึงไม่อยากเจ็บตัว”

ใครกันนะ...

ตาของเธอตอนนี้พร่ามัวมากมองเห็นเพียงแค่เงารางๆ เพราะตาของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความกลัวและความเหนื่อย ในหัวของเธอชาไปหมด จากที่ทุกอย่างมืดดำสนิทแต่จู่ ๆ เธอกลับได้รับแสงสว่างจากเขาคนนั้น

“ถ้าหวงก้างนักมึงไม่เดินตามมาแต่แรกวะไอ้หน้าหล่อ ไปเว้ย หมดอารมณ์!!” ชายร่างสูงคนนั้นเอ่ยขึ้นหลังจากที่ยืนเงียบไป

..สุดท้ายพวกมันก็แค่พวกนักเลงกระจอกเก่งแค่กับคนที่อ่อนแอกว่าก็เท่านั้น ทำมาเก่ง..

“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” หนึ่งในกลุ่มชี้หน้าบุคคลปริศนาผู้นั้นก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับอีกสามคน

“ไม่เป็นไรแล้วนะค..” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแต่ไม่ทันจบประโยคเขาก็ต้องชะงักกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา ใจของเขาสนั่นหวั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอเป็นผู้หญิงที่ตัวเล็กมาก...เมื่อเทียบกับเขา ริมฝีปากสีชมพูอ่อน ขนตางอนยาวเรียงกันเป็นเส้นสวย ผิวขาวอมชมพูเหมือนไม่เคยตากแดดตากลมเลย แก้มของเธอที่ดูเผิน ๆ น่าบีบและน่าคลอเคลีย เว้นแต่.. แววตาของเธอดูเศร้า เธอเหมือนดั่งภาพวาดที่สวยที่สุดที่เขาเคยเห็น แต่ก็เป็นภาพวาดที่มีแววตาที่เศร้าที่สุดที่เขาเคยพบเช่นกัน

เชี่ย... น่ารักสัส คนหรือนางฟ้ากันแน่วะ อยากจะโอนค่าน่ารักเล่นๆ สักล้านสองล้าน หนูมีเลขบัญชีมั้ยคะ หรือพร้อมเพย์ดี

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยเอื้อย” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ร่างกายของเธอนั้นยังคงสั่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอปาดน้ำตาออกก่อนที่จะใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการก้มลงไปเก็บกระเป๋าและของที่กระจายอยู่ที่พื้น

“พี่ช่วยนะคะ” ชายหนุ่มสะบัดหัวเพื่อให้หลุดจากวังวนความคิดของเขาแล้วก้มลงเก็บของช่วยเธอด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ เอื้อยขอตัวกลับก่อน.. ไว้มีโอกาสเอื้อยจะเลี้ยงข้าวตอบแทนนะคะ”

“ให้พี่ไปส่งนะคะ” แหงล่ะ เขาจะปล่อยให้เธอกลับบ้านคนเดียวได้ยังไงในเมื่อเธออยู่ในสภาพที่ล่อแหลมและไม่ปลอดภัยแบบนี้ “พี่มีรถค่ะ หนูไม่ต้องกลัวว่าจะถึงบ้านช้า ถ้ากลับคนเดียว พี่ต้องไม่สบายใจแน่ ๆ”

เอมิกามองหน้าชายหนุ่มด้วยความชั่งใจ แต่ถ้าหากเธอเดินกลับไป คนพวกนั้นอาจจะดักรอเธอที่ไหนสักที่ก็เป็นได้ ถ้าถึงตอนนั้นเธออาจจะไม่ได้โชคดีแบบนี้อีกแล้ว เธอเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าตอบรับอย่างช้า ๆ

“ขอบคุณนะคะ พี่..” เอมิกาเอียงคอเหมือนจะชื่อด้วยความอยากรู้

“ทิมค่ะ พี่ชื่อทิม”

ทิม หรือ ทิวากร ที่แปลว่าพระอาทิตย์ เป็นลูกชายคนกลางของคุณ ปราการ รัตนวรางกุล และคุณหญิงเกวลิน รัตนวรางกุล ผู้เป็นเจ้าของอสังหาฯรายใหญ่ในประเทศ และยังเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า NBC ห้างชื่อดังที่มีทั้งหมด 47 สาขาที่ประเทศไทย และอีก 24 สาขาที่ต่างประเทศอีกด้วย ไม่เพียงแต่ครอบครัวเขาเท่านั้น ทิวากรเองก็ถือหุ้น เธียร์เคกรุปจำกัดที่เป็นบริษัท Jewelry ที่ร่วมกับประเทศเกาหลีใต้ถึง 40% เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่รวยระดับต้นๆ ของประเทศเลยก็ว่าได้

“หนาวมั้ยคะ พี่ผ่อนแอร์ให้มั้ย” ทิวากรถามขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวใช้มือถูแขนทั้งสองข้างเธอไปมา เธอได้แต่เม้มปากเน้นไม่กล้าตอบกลับเพราะรู้สึกเกรงใจถ้าหากพูดว่าหนาวออกไป แต่ถ้าบอกว่าไม่หนาวเขาเองก็คงจะดูออกว่าเธอโกหก ทิวากรไม่พูดอะไรแล้วเอื้อมมือไปปรับแอร์ในทันทีเพราะคิดว่าเธอคงไม่กล้าพูดหรือขอให้เขาผ่อนแน่ ๆ

“ขอบคุณนะคะ” เอมิกายกมือไหว้ขอบคุณทิวากรอย่างตั้งใจ

“พี่ดูแก่เลยนะคะ ไม่เอาสิ หนูขอบคุณพี่หลายครั้งแล้วนะ” ทิวากรหันไปมองหญิงสาวด้วยความเอ็นดูก่อนที่จะกลับไปมองทางข้างหน้าอีกครั้ง

“พี่ทิมช่วยเอื้อย เอื้อยก็ต้องขอบคุณสิคะ”

“พี่เต็มใจค่ะ ด้านหลังมีฮู้ด หนูหยิบมาให้หน่อยได้มั้ยคะ พี่หยิบไม่ถนัดเลย”

“ได้ค่ะ” เอมิกาเอี้ยวตัวหันหลังกลับไปหยิบเสื้อฮู้ดตัวใหญ่จากเบาะหลัง “นี่ค่ะ ใช่ตัวนี้รึเปล่าคะ” เอมิกาเงยหน้าถามชายร่างสูงที่นั่งข้าง ๆ

“ใช่ค่ะ หนูใส่ไว้นะคะ จะได้ไม่หนาว”

“เอื้อย.. ใส่ไม่ได้หรอกค่ะ”

“ทำไมล่ะคะ ตัวใหญ่สิคะดี จะได้เหมือนกอดหนูไว้”

“เปล่าค่ะ แค่คิดว่า..” เธอมองเสื้อด้วยความชั่งใจ ถึงเธอจะไม่รู้เรื่องแบรนด์เนมต่าง ๆ แต่เธอก็พอดูออกว่าเสื้อตัวนี้ราคาไม่ใช่เล่นแน่ๆ เพียงแค่เธอเห็นคำว่า Gucci เธอก็ไม่กล้าจับมันแล้ว

“ใส่เถอะนะคะ พี่ไม่อยากให้หนูหนาว หรือจะให้พี่จอดรถแล้วใส่ให้หนู”

“ม..ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวเอื้อยเอาเสื้อมาห่ม ๆ ก็ได้ค่ะ เอื้อยกลัวทำเสื้อของพี่เลอะไปมากกว่านี้”

‘โอ๊ย คนอะไรน่ารักเป็นบ้า เธอเอาเสื้อผมไปห่มตัวแล้วเหมือนตัวเธอขดในเสื้อเป็นลูกแมวน้อยน่ารักเลยแฮะ อ้ากกก น่ารักเป็นบ้า ผมสามารถโอนค่าน่ารักให้เธอได้ที่บัญชีไหนได้บ้าง’

“เป็นเด็กดีจังเลยนะคะ”

หญิงสาวไม่พูดอะไรตอบกลับแต่ใบหน้าของเธอนั้นแดงก่ำไม่รู้เป็นเพราะเธอตากฝนมาหรือเธอเขินกับคำชมของทิวากรกันแน่ กลิ่นหอมจางๆ จากเสื้อฮู้ดนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้ๆ กับตัวเขา ความอุ่นของเสื้อฮู้ดทำให้เธอรู้สึกว่าได้รับอ้อมกอดจากเขาเข้าไปอีก แปลกมาก.. ที่ทั้ง ๆ ที่เขาสองคนพึ่งเจอกันแท้ ๆ แต่เธอกลับรู้สึกไว้ใจเขามาก มากเสียจนไม่รู้จะบรรยายยังไง

ถ้าทำขาดหรือทำเลอะฉันต้องเอาเงินที่พ่อเก็บไว้ส่งให้ฉันไว้เข้ามหาลัยปีหนึ่งมาใช้เค้าแน่ๆ เลย จับเบาๆ นะ สัมผัสเบาๆ นะเอื้อย ฮืออ

“หนูว่า.. เมื่อกี้พี่เท่มั้ย” ทิวากรถามขึ้นหลังจากเห็นว่าเอมิกาได้เงียบไป

“ค..คะ” เอมิกาชะงักกับคำถามเมื่อครู่ เธอเองก็ไม่เคยเห็นใครมาถามคำถามในเชิงถามชื่นชมตัวเองแบบนี้เลย “เท่.. ค่ะ” เอมิกายิ้มขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันหล่อเหลาของอีกฝ่าย

ใช่ ทิวากรเป็นคนที่มีหน้าตาฟ้าประทานมาก ตาเฉี่ยวคมแต่ก็ยังมีความเป็นหนุ่มหน้าหวานบ้าง แต่บางมุมก็มีความคม ดูยากมากเลยว่าเขาคือคนหน้าตาประเภทไหน แต่ถ้าถามล่ะก็ คงจะเป็นประเภทหล่อ!! หล่อแบบตะโกน หล่อแบบตะคอก ไม่สิ หล่อแบบตวาดเลยแหละ โดยเฉพาะความสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนของเขายิ่งประดับบุญบารมีใบหน้าขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าครบเครื่องจริง ๆ หล่อแบบไม่มีที่ติ เหมือนเอาทุกอย่างที่เพอร์เฟคบนโลกใบนี้มีประดับที่ใบหน้าของเขากันเลยทีเดียว พระเจ้านี่ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ

“ตอนที่พี่ทิมกระทืบคนนั้นพี่ทิมดูเท่มาก ๆ เลยค่ะ” เอมิกาพูดเพื่อให้ทิวากรรู้สึกดี แต่จริง ๆ แล้วเธอเองไม่เห็นอะไรเลยด้วยซ้ำเพราะน้ำตาที่เอ่อคลอท่วมตาไปหมด

“โกหกเป็นเด็กไม่ดีนะคะ” ทิวากรทำหน้าเซ็งขึ้น เอมิการีบก้มหน้าหลบสายตาเพราะรู้สึกได้ว่าเหมือนคนตัวสูงจะจับเธอได้เสียแล้ว “พี่แค่ต่อยค่ะ กระทืบที่ไหนกันพี่ไม่ใช่คนโหดร้ายขนาดนั้นนะคะ ปกติพี่แก้ไขปัญหาด้วยเงิน แต่คนแบบนี้ไม่สมควรได้รับเงินที่เคยเป็นของพี่ แต่หมัดหนักเอาเรื่องแฮะ สงสัยพี่ต้องไปโม้ให้คนที่บ้านฟังสักหน่อย”

จากที่ทิวากรเซ็งเล็กน้อยแต่ก็ดึงความรู้สึกกลับมาได้เขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเรื่องตลก เขาพูดไปยิ้มไปอย่างมีความสุขและตลกขบขำ แต่เอมิกาได้แต่เงียบไปตัวเธอเองรู้สึกผิดเล็ก ๆ เพราะเธอนั้นไม่รู้ว่าจะตอบยังไงให้ถูกใจอีกฝ่ายดี หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าสำนึกผิดอย่างยอมแพ้

‘ถ้าเธอจะเป็นคนเหี้ยนะก็คงเป็นคนที่น่ารักเหี้ย ๆ เลยแหละ โอ๊ยใจ หน้าของหนูเอื้อยตอนหงอยยังน่ารักขนาดนี้ ถ้าตอนอ้อนจะน่ารักแค่ไหนกันนะ’

“อย่าหงอยสิคะ พี่พูดเล่นค่ะ พี่รู้ว่าหนูอยากตอบให้พี่รู้สึกดี ถึงแม้จะไม่เห็นก็ตาม จริงมั้ยคะ” ทิวากรยิ้มก่อนที่จะเอามือไปยีหัวอีกคน แต่ไม่ทันได้วางมือลงบนหัวของคนตัวเล็ก ก็ต้องชะงักมือไปก่อน เอมิกาเงยหน้าขึ้นมองมือสลับกับใบหน้าของทิวากรไปมา

“สัมผัส.. ได้มั้ยคะ” ทิวากรพูดขึ้นเพราะเขาเองไม่อยากเป็นคนมือไวกับคนตัวเล็กเพราะเธอน่าถนุถนอมมากจนเค้าอยากจะถนุถนอมและขออนุญาตเธอก่อนเพื่อให้เธอสบายใจและเต็มใจ

คนตัวเล็กไม่พูดอะไรแต่ตอบกลับด้วยการกระทำด้วยการยืดตัวขึ้นให้หัวของเธอแตะกับมือของชายหนุ่มใบหน้าของเธอแดงขึ้นมาทันที ทิวากรมองยิ้มด้วยความเอ็นดูและยีหัวคนตัวเล็กเบา ๆ ก่อนจะเอามือมาจับที่พวงมาลัยอีกครั้ง

อ้ากกกก ตาย ตายแน่ ๆ สาบานได้เลยว่าจะไม่ล้างมือสิบวัน!!

หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำของเธอทำให้ใจเขาสั่นไหวมากแค่ไหน ใช่ เขารู้สึกสนใจเธอเข้าแล้วถึงตัวเขาเองจะไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนและไม่เคยมีความกล้าในการพูดอ่อนหวานกับเพศตรงข้ามมาก่อน เว้นแต่แม่ของเขา ทำยังไงดีนะ ถึงจะได้ครอบครองรอยยิ้มของเธอ

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

ทะลุมิติมาเป็นบุตรสาวหญิงหม้าย

ทะลุมิติมาเป็นบุตรสาวหญิงหม้าย

l3oonm@
5.0

จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น

พระชายาของข้าคนเดียว

พระชายาของข้าคนเดียว

Daryl Tudge
5.0

เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"

สามี ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง

สามี ข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง

จิ้งจอกสะท้านหม้อไฟ
5.0

หวังฉีหลิน อายุ 25 ปีสาวเจ้าหน้าที่การเกษตรและพ่วงมาด้วยเจ้าของสวนสมุนไพรรายใหญ่ เสียชีวิตกระทันหันหลังจากกลับมาจากท่องเที่ยวพักผ่อนและเธอได้เก็บเอาก้อนหินสีรุ้งมาจากพระราชวังโปตาลามาได้เพียงสามเดือน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากตายไปแล้วก็ไม่เป็นไรเพราะเธอเองเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนกระทั่งมีอายุได้ 18ปี ถึงได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองตอนนี้เธอ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว เพียงแต่เสียดายที่เธอยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเลย เฮ้อ ชีวิตคนเรานั้นมันแสนสั้น อายุ25 แฟนไม่เคยมี สามียังอยากได้ ไหนจะลูกๆที่ฝันอยากจะมีอีก คงต้องหยุดความหวังและความฝันเอาไว้เท่านี้ เหนือสิ่งอื่นใด ตายแล้วตายเลยจะไม่ว่า แต่ดันตื่นขึ้นมาในร่างหญิงชาวนายากจน ชื่อหวังฉีหลินเช่นเดียวกับเธอพ่วงมาด้วยภาระชิ้นใหญ่ อย่างสามีที่ป่วยติดเตียงและลูกชายฝาแฝดทั้งสอง แถมยังมีภาระชิ้นใหญ่ม๊ากกกมาก กอไกล่ล้านตัวอย่างพ่อแม่สามีและน้องๆของสามี ที่โดนบ้านสายหลักกดขี่ข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบและบังคับแยกบ้านหลังจากที่สามีของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุที่หวังฉีหลินต้องมาตายไปนั้นเพราะโดนลูกสะใภ้บ้านสายหลักผลักตกเขาระหว่างที่กำลังยื้อแย่งโสมคนที่หวังฉีหลินขุดมาได้

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ