ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
ลู่เจียหง ปีนี้อายุยี่สิบห้าปีบริบูรณ์ เธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของประเทศ จบเกียรตินิยมเหรียญทองมาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำอันดับหนึ่ง เชี่ยวชาญงานวิจัยด้านเภสัชกรรมจึงถูกส่งตัวมาที่ศูนย์การวิจัยยาหลักแห่งชาติที่เมืองฉงชิ่งเพื่อค้นคว้าตัวยาชนิดใหม่สำหรับใช้รักษาโรคอุบัติใหม่ร้ายแรงที่ขยันเกิดขึ้นมาไม่เว้นแต่ละปี โดยจะเป็นการผสานกันระหว่างตัวยาสมัยใหม่กับยาตำหรับจีนโบราณดั้งเดิม
รัฐบาลคาดหวังว่าโครงการนี้จะสร้างคุณูประการให้แก่ประเทศชาติ และถ้ามันสำเร็จยังจะเป็นอีกแหล่งรายได้หนึ่งด้วย
ห้องแล็บใหญ่ของรัฐบาลเต็มไปด้วยนักวิจัยมือฉกาจ และการแข่งขันที่สูง ทุกคนล้วนนำเสนอสูตรยาใหม่ไม่เว้นแต่ละวัน บรรยากาศการทำงานจึงไม่ต่างจากตกอยู่ในทะเลโลหิตเพลิง ลู่เจียหงจึงดูดายไม่ได้ เพื่อชีวิตของเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายเธอเองก็ต้องสร้างประโยชน์ให้ได้มากที่สุดเช่นเดียวกัน
หากสูตรยาที่เธอคิดค้นสามารถบรรเทาความเจ็บปวดให้ผู้ป่วยสักคนก็ถือว่าชีวิตนี้เกิดมาคุ้มค่าแล้ว เพียงแต่การต้องทำงานทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส ชีวิตของลู่เจียหงจึงมีแต่เรื่องงาน ไร้เรื่องรักและความสุขสนุกสนานของชีวิต ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เธอเลือกเองและยอมรับได้
ในที่สุดช่วงเช้าของการทำงานก็ผ่านไปอีกวัน นักวิจัยสาวลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แม้ปากไม่หิวแต่ท้องก็ต้องกิน
“เจียหงไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันไหม ตรงหัวมุมมีร้านเปิดใหม่พวกเราว่าจะไปลองกินกันสักหน่อย” เพื่อร่วมงานคนหนึ่งของเธอชวน
ลู่เจียหงส่ายหน้า เธอเหนื่อยเกินไปที่จะเดินไปถึงหัวมุมถนน ขอฝากท้องเอาไว้กับร้านป้าใต้ตึกเหมือนเดิมดีกว่า “พวกเธอไปกันเถอะ ฉันขอไปกินที่ร้านในตึกนี้ดีกว่า ถูกและง่าย จะได้รีบกลับขึ้นมาทำงานต่อเร็ว ๆ” นักวิจัยสาวให้เหตุผล
“นับถือ นับถือ เธอขยันขนาดนี้ สิ้นปีนี้ต้องได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นแน่ ๆ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
“อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย ในแผนกของเราเธอถือเป็นนักวิจัยที่เก่งที่สุด”
ลู่เจียหงยิ้มรับ อยากให้เป็นจริงดั่งที่เพื่อนร่วมงานพูดเช่นเดียวกัน เกียรติยศยิ่งใหญ่ใครเล่าจะไม่อยากได้ แต่เธอก็รู้ตัวดีว่ายังต้องศึกษาค้นคว้าอีกมากกว่าจะไปถึงจุดสูงสุดของสายอาชีพ
“งั้นพวกเราขอตัวไปกินข้าวเที่ยงก่อนนะ”
“ได้ ฉันก็จะไปเหมือนกัน”
ลู่เจียหงรอสักพักจนคิดว่าคนน่าจะซาแล้วจึงเดินไปลงลิฟต์ เนื่องจากตึกสูงยี่สิบชั้นแห่งนี้อยู่กันหลายหน่วยงานคนใช้กล่องโดยสารในการขึ้นลงจึงมีมากหน้าหลายตา หญิงสาวรอให้คนข้างในออกมาก่อนเธอจึงค่อยเดินเข้าไป
ห้องวิจัยยากินพื้นที่อยู่บนชั้นสิบทั้งชั้น ส่วนร้านศูนย์อาหารรวมกันอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เนื่องจากโครงสร้างของตึกนี้เป็นการปรับปรุงต่อเติมมาจากอาคารเก่าประจำเมือง ลิฟต์ตัวแรกจึงขึ้นได้เพียงครึ่งหนึ่งหากต้องการขึ้นชั้นสูงขึ้นไปจะต้องเปลี่ยนไปต่อลิฟต์ใหม่อีกตัวที่อยู่คนละฝั่ง
ดังนั้นลู่เจียหงจึงต้องลงลิฟต์ตัวแรกไปยังชั้นห้า จากนั้นก็เดินลัดเลาะตึกที่ซับซ้อนเหมือนบันไดงูไปอีกฝั่งเพื่อกดลิฟต์ต่อลงไปที่ชั้นหนึ่งเพื่อไปกินข้าว ทำกิจวัตรอย่างนี้เป็นประจำจนเธอชาชินเสียแล้ว
แต่ทำไมวันนี้ถึงได้รู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าปกติก็ไม่รู้ หรืออาจเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ทำงานมาแล้วทั้งอาทิตย์ความเครียดสะสม อดทนต่ออีกครึ่งวันเดี๋ยวก็ได้พักผ่อนแล้ว...ลู่เจียหงบอกตัวเอง
ต่อให้เก่งกาจขนาดไหนตะเกียงก็ยังมีวันหมดน้ำมัน
ลู่เจียหงบีบนวดไหล่ของตัวเองไล่ความเมื่อยขบ เธอเดินหลับตาลากขาไปตามทางเดินทอดยาวตามความเคยชิน แต่แล้วก็มีเด็กหลายคนวิ่งสวนมาชนจนเธอเกือบล้มลงจับกบ
“แย่จริง เด็กที่ไหนขึ้นมาวิ่งเล่นบนนี้ได้” หญิงสาวบ่นปอดแปด
เมื่อเธอเข้าไปในลิฟต์ก็ยิ่งโมโหหนักเมื่อพบว่าเด็กพวกนั้นกดเลขชั้นไล่ไปทุกปุ่ม “กว่าจะไปถึงชั้นหนึ่งต้องใช้เวลาเท่าไหร่เนี่ย” ลู่เจียหงบ่น
ระหว่างรอเธอก็ไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียเปล่าจึงถือโอกาสพิงหัวเข้ากับผนังลิฟต์เพื่อพักสายตาไปตลอดทาง แต่แล้วก็เผลอหลับไปจริง ๆ โดยไม่รู้ตัว...
เมื่อลู่เจียหงลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ป่าแห่งหนึ่ง รอบบริเวณมีแต่ไม้ยืนต้นสีเขียวสดขนาดใหญ่จนคล้ายป่าดึกดำบรรพ์ มีเสียงนกร้องและธารน้ำไหลดังอยู่ไกล ๆ ลิฟต์ก็หาย ตึกก็ไม่มีแล้ว ส่วนตัวเธอนอนพิงอยู่กับหินก้อนใหญ่หนำซ้ำยังรู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิด
“โอ๊ย!”
ลู่เจียงหงยกมือขึ้นแตะบริเวณขมับก็พบว่ามีเลือดสด ๆ ไหลออกมาเป็นทางจนถึงปลายคาง บางส่วนแห้งไปแล้วแต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไหลซึมมาไม่หยุด...แผลน่าจะใหญ่ไม่เบา
“ที่นี่มันที่ไหนกัน เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมาโผล่ที่ป่าแบบนี้ได้...หรือมีคนลักพาตัวเรา!” ลู่เจียหงคิดฟุ้งซ่านไปหมด เพราะเธอเองก็เป็นนักวิจัยชั้นนำระดับประเทศมีองค์ความรู้อยู่ในหัวมากมาย หากบริษัทยาใดได้ตัวไปคงสามารถทำกำไรจากงานของเธอได้อีกมาก
โดยเฉพาะพวกบริษัทยาเถื่อนที่ชอบมาหาซื้อตัวนักวิจัยไปในราคาสูง ๆ แล้วจับไปทำงานที่ต่างประเทศจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน
แต่เธอจะไม่ยอมตายอยู่ที่นี่เพราะฝีมือพวกโจรชั่วหรอก คอยดูนะถ้ารอดไปได้จะแจ้งตำรวจมาจับพวกมันให้ติดคุกหัวโตให้หมด
หญิงสาวตะเกียดตะกายลุกขึ้นยืนก่อนจะสะดุดชายกระโปรงยาวสีแดงของตัวเองจนล้มกลิ้งลงไปบนพื้นใบไม้แห้งเจ็บตัวอีกหน
“บ้าเอ๊ย” ลู่เจียหงสบถอย่างหัวเสีย โจรลักพาตัวบ้าอะไรจับเหยื่อมาทิ้งในป่าไม่พอยังเปลี่ยนชุดของเธอให้กลายเป็นชุดหงส์สีแดงที่ใช้สำหรับใส่แต่งงานแทนชุดนักวิจัยที่สวมอยู่แต่เดิมอีก “เป็นพวกโจรโรคจิตหรือยังไง”
หญิงสาวรวบรวมกำลังอีกครั้ง ถ้าอยากเอาตัวรอดจากสถานการณ์ประหลาดนี้ไปให้ได้ใจต้องสู้...ลู่เจียหงถลกกระโปรงยาวที่เกะกะขึ้นมัดเป็นปมตรงบริเวณขาอ่อน ก็ใครเล่าจะบ้าใส่เสื้อผ้ารุ่มร่ามขนาดนี้เดินบุกป่าฝ่าดง เดินสามก้าวล้มหนึ่งก้าว มีหวังโดนไอ้พวกโจรชั่วตามมาจับได้ก่อนพอดี
ลู่เจียหงสวมบทสาวเลือดนักสู้ เห็นเอวบางร่างน้อยอย่างนี้เมื่อก่อนเธอก็เคยไปออกค่ายกับพวกเพื่อน ๆ ที่ชมรมในมหาวิทยาลัย ปีนเขามาแล้วทั่วมณฑล ป่าแค่นี้เอาชีวิตเธอไม่ได้หรอก
หญิงสาวเดินไปตามป่ากระทั่งพบเข้ากับเกี้ยวมงคลสีแดง ตอนแรกเธอนึกว่ามีทางรอดแล้วกระทั่งเห็นศพคนตายเกลื่อนกลาดอยู่รอบเกี้ยว
“กรี๊ด!”
ถึงจะเก่งกาจแค่ไหนแต่ลู่เจียหงก็ยังเป็นผู้หญิงขวัญอ่อนเจอศพคนและกองเลือดมากมายใครไม่ตกใจก็แปลกแล้ว...เธอรีบวิ่งหาที่หลบซ่อนตัว ใช้มืออุดปากเหลียวซ้ายแลขวาจนมั่นใจว่าไม่มีคนร้ายอยู่แถวนั้นก็ค่อย ๆ ย่องออกไปสำรวจพื้นที่เกิดเหตุ
“พวกมันเป็นโจรแบบไหน ยุคนี้แล้วยังใช้ดาบในการฆ่าฟันกับลูกธนูอีก...หรือเป็นพวกโจรกระจอกที่ไม่มีปัญญาซื้อปืน คงไม่ใช่หรอกมั้ง” เธอตั้งข้อสังเกตหลังจากพลิกศพของผู้ตายทุกคนดูอย่างละเอียดแล้ว เธอเลือกเอามีดสั้นที่ตกอยู่แถวนั้นมาเหน็บเอาไว้ที่ผ้าคาดเอว แล้วเลือกมีดดาบที่มีขนาดไม่ใหญ่มากพอถือแกว่งไหวเอาไว้อีกเล่ม “ถึงยังไงมีอาวุธติดมือเอาไว้ก็ยังดีกว่าไม่มีล่ะวะ”
พอได้ของป้องกันตัวมาอยู่ในมือแล้วเธอก็เดินตามเสียงธารน้ำกระทั่งพบแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง ตามความรู้ในการเดินป่าหนึ่งศูนย์หนึ่งที่พอมีติดสมองอยู่บ้าง หากเดินตามแม่น้ำไปย่อมพบทางออกหรือหมู่บ้านคนถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าเดินหลงอยู่ในป่ากว้างที่ไม่รู้ทิศทางและไม่มีเข็มทิศ
เดินไปได้สักพักก็เริ่มเหนื่อยอ่อนลู่เจียหงจึงนั่งพัก เดินมาไกลขนาดนี้แล้วคนร้ายก็ยังไม่ตามมา อาจจะปลอดภัยแล้วก็ได้
หญิงสาววักน้ำขึ้นล้างหน้าแล้วก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นว่าเงาสะท้อนที่ปรากฎอยู่บนผืนน้ำใสไม่ใช่ใบหน้าของตัวเอง!
“ใคร! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่”
แน่นอนว่าศีรษะของเธอได้รับความกระทบกระเทือนจนเลือดออก แต่มันจะเป็นไปได้หรือที่แผลนี้จะส่งผลกระทบจนทำให้เธอจำใบหน้าของตัวเองไม่ได้ เพราะถ้าความทรงจำจะหายไปจริง ๆ มันต้องหายไปทั้งหมดสิ จะแค่ทำให้ลืมเฉพาะใบหน้าของตัวเองได้อย่างไร
ลู่เจียหงก้มลงมองเงาสะท้อนของใบหน้าตัวเองอีกครั้ง
“นี่มันไม่ใช่หน้าของเราจริง ๆ”
เพราะผู้หญิงที่เธอเห็นนั้นแม้ใบหน้าจะมีเค้าความสวยอยู่แต่กลับมีสิวผดสีแดงขึ้นกระจายอยู่ทั่วหน้าเรียกได้ว่าขึ้นจนแทบไม่มีช่องว่างให้ผิวได้หายใจ พวกมันบดบังเครื่องหน้าทุกส่วนจนมิด ช่างแตกต่างจากความสวยนำสมัยด้วยฝีมือหมอของเธออย่างลิบลับ
“เรื่องนี้มันไม่ปกติแล้ว...หรือว่าเราตายไปแล้วและกำลังตกอยู่ในความฝันก่อนที่สมองจะหยุดทำงาน” ลู่เจียหงคาดเดาตามประสาคนที่หมกมุ่นในทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์
แต่แล้วก็มีเรื่องเหนือธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นกับเธอเพราะจู่ ๆ ก็มีความทรงจำบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยหลั่งไหลเข้ามาสู่สมอง!
บทที่ 1 No.1
24/02/2025
บทที่ 2 No.2
24/02/2025
บทที่ 3 No.3
24/02/2025
หนังสืออื่นๆ ของ จิรัฐติกาล
ข้อมูลเพิ่มเติม