Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร

ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร

เมธิษา

5.0
ความคิดเห็น
2
ชม
5
บท

ในความยุติธรรมย่อมมีอธรรม มีนรกย่อมมีสวรรค์ ดินแดนสวรรค์มีเทพเซียน นรกอเวจีย่อมมีจอมมาร นางผู้ละทิ้งทางโลกหนึ่งในเทพเซียนผู้สูงศักดิ์ต้องจำใจเป็นจอมนางเคียงคู่จักรพรรคดิ์จอมมารและเขาผู้กระหายในไอเลือด

บทที่ 1 ฉุด

ในโลกนี้ล้วนมีขาวล้วนมีดำ เขาทั้งสองผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยิน ผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยาง หลายปีมานี้สวรรค์เจ็ดชั้นฟ้าและดินแดนใต้พื้นพิภพหรืออีกอย่างที่มนุษย์เรียกกันว่า'นรกอเวจี' ต่างสงบสุขไร้ความขุ่นเคืองใจ จึงเป็นที่น่าเบื่อหน่ายแก่จอมมารอย่างหวังเยี่ยนจวินเป็นอย่างมาก แม้ว่าช่วงแปดแสนปีก่อนหน้านี้จะมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนักมากก็เถอะ

ท้องฟ้าแปรผัน สรรพสิ่งผันแปร คนที่เคยอยู่เคียงข้างกันลาจากไปจากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นหลายคน...

“หลิงหลิวเหว่ยที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องอะไรน่าสนใจหรือไม่ ข้าเหงาอยากหาอะไรสนุก ๆ ทำเสียหน่อย” จอมมารหนุ่มอายุราวแปดแสนปีอ้าปากหาววอดวอดโดยมีหลิงหลิวเหว่ยผู้สงสารชั้นดีที่แต่ก่อนเคยเป็นเซี่ยเซียน ปรนนิบัติรับใช้

แน่นอนว่าจอมมารไม่ได้ถามความยินยอมจากเขาแต่กลับชิงตัวมาไว้แดนโลกันตร์ไป ๆ มา ๆ หลิงหลิวเหว่ยกลับชอบที่นี่เสียอย่างนั้น

จอมมารอย่างเขาปราถนาสิ่งไหน ย่อมต้องเอาสิ่งนั้นมาให้ได้ ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีการใด

ในมือของหวังเยี่ยนยังคงถือคันฉ่องสีทองอร่ามประดับด้วยเม็ดทับทิมแดงลูกโตชื่นชมความงามของตนเอง

“เรียนท่านจอมมาร ข้าฟังมาว่าเม่ยเม่ย ของเทียนจวิน เสด็จลงมาจากหุบเขาสิ้นชีวาแล้ว เขาลือกันทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนเทียวว่ามีรูปโฉมงดงามดั่งภาพวาด งามล่มสวรรค์ล่มนรกแต่นางรักสันโดษ ละทิ้งทางโลก จนบัดนี้นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายแสนปีที่นางเสด็จลงมาจากหุบเขาสิ้นชีวา…” หลิงหลิวเหว่ยกระซิบบอกผู้เป็นนาย

“เดี๋ยว ๆ หยุดก่อน ข้าสงสัยจริงทั่วทั้งสี่ทะเลเเปดดินแดนนี้ยังมีคนที่งดงามกว่าข้าอีกหรือ? น่ามหัศจรรย์ใจ” จอมมารหนุ่มทำหน้าประหลาดใจ

ข้าไม่คิดเลยว่าในโลกนี้ยังมีคนที่มีใบหน้างดงามกว่าข้า เช่นนั้นนรลักษณ์ของนางจะเป็นเช่นใด?

หลิงหลิวเหว่ยได้แต่แอบถอดถอนหายใจเบาเบา

แต่ไหนไรมาท่านจอมมารผู้นี้แสนจะหลงตัวเองเป็นที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขากล่าวผิดไปหมดเสียทุกอย่าง เหตุเพราะมีทั้งเทพเซียนชายเอยหญิงเอยและเทพเผ่าอื่น ๆ ต่างหลงใหลในรูปลักษณ์ของหวังเยี่ยนทั้งสิ้น ฉะนั้นการที่จอมมารท่านนี้จะหลงใหลในรูปลักษณ์ตนเองจึงมิใช่เรื่องผิดแปลกอะไร คนเราโดนเยินยอนานวันเข้าก็เป็นเช่นนี้

“งามมากทีเดียวฝ่าบาท เขายังลือกันอีกนะว่าแม้อยู่ห่างจากนางหลายร้อยลี้แต่กลิ่นกายมวลบุปผาหอมละมุนอบอวลเหลือเกิน...”

นอกจากความงามแล้วกลิ่นกายยังมีกลิ่นหอมงามทั้งรูปรส จอมมารหนุ่มฟังคุณสมบัติที่ว่าแล้วแสนพอใจ

แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ค่อยนิยมชมชอบในการเสพนารีเสียเท่าไหร่ นารีล้วนวุ่นวาย มีมากยิ่งปัญหามากตัวอย่างมีให้เห็นเฉกเช่นวังสวรรค์

กาลก่อนแยกตัวมาปกครองแดนโลกันตร์เห็นเทียนจวินไล่จับเหล่าธิดาเซียนสนมบ่อยครั้งเข้าจนสะอิดสะเอียนเหลือทน นับตั้งแต่เขาสูญเสียคู่หมั้นไปในครั้งอดีตก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสตรีนางใดอีก บางทีมันอาจถึงเวลาที่เขาจะหาใครสักคนมาเคียงคู่เบื้องบัลลังก์

“ดี! ไปฉุดมาให้ข้าที” จอมมารหนุ่มออกคำสั่งแก่หลิงหลิวเหว่ย

“เกรงว่าคงมิได้ฝ่าบาท แม่นางผู้นั้นเป็นเทพเซียนชั้นสูงกระหม่อมคงมิอาจต่อกรนางได้ ฝ่าบาทต้องกระทำการนี้เองเท่านั้น” หวังเยี่ยนจ้องเขม็งกับท่าทีลนลานนั้น ร่างแกร่งลุกขึ้นจากตั่งเตียงทองอร่ามตะโกนออกมาเสียงเหี้ยม

“พวกเจ้านี่เลี้ยงเสียข้าวสุกเสียจริง ถ้าข้าจับนางได้เมื่อไหร่แล้วคุณสมบัติไม่ตรงกับที่เจ้าบอกเตรียมตัวโดนเฉือนปากทิ้งได้เลย” หลิงหลิวเหว่ยหน้าซีดเป็นไก่ต้ม

ข่าวลือนะ ข่าวลือจะทำให้ข้าซวยแล้วสินี่!

พูดจบหวังเยี่ยนก็เรียกกระบี่โลหิตสนองจันทร์ออกมา บางทีอาจไม่ต้องลงมือให้มากความเพียงแค่นางเห็นใบหน้าเขามิแน่อาจจะเดินตามเขามาแต่โดยดีก็เป็นได้

หากกล่าวถึงหุบเขาสิ้นชีวา...

แน่นอนว่านั่นไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะอยู่ได้ หากจิตไม่แน่วแน่ ไม่หยั่งถึง ไม่ล้ำลึก หมกมุ่น จักมิสามารถออกจากหุบเขาแห่งนั้นได้เลย เว้นแต่เขาผู้ผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วนเพราะชีวิตแสนทุกข์ยากลำบากในอดีต ทุกวันนี้จึงกลายเป็นผู้กระหายกลิ่นอายโลหิต กระหายถึงขั้นน้ำทุกหยาดหยดต้องดื่มเป็นเลือด กระทั่งน้ำที่ใช้อาบด้วยก็เช่นกัน

บางครั้งเขาก็อยากเสพสมความสวยงามมากกว่าความโสมมเช่นนี้ ทว่าเรื่องค่อนแค้นในอดีตหลายปีผ่านไปยังมิจางลงเซียนหญิงท่านนั้นกับเฟิงหวังเหล่ยจะมีอุปนิสัยคล้ายกันมากน้อยเพียงใดต้องสัมผัสด้วยตนเองจึงจะตัดสินได้

กาลหนึ่งหวังเยี่ยนเคยสนิทสนมกับเฟิงหวังเหล่ยแต่กลับมิเคยได้ประสบพบเจอกับน้องสาวเขาแม้แต่ครั้งเดียว เคยได้ยินมาว่าหลังจากนางสำเร็จขั้นเป็นซ่างเซียน จนบรรลุสู่ขั้นซ่างเสิน นั้นมีกิริยาที่เงียบขรึมและเคร่งครัดในวิถีเซียนอย่างถ่องแท้ มีความเรียบง่ายแต่ยาก พิธีรีตองมากแต่ก้าวล้ำ ครั้งนี้คงได้เจอะเจอกับตาว่าเป็นดั่งคำเล่าลือจริงหรือไม่..

หวังเยี่ยนควบอาชาปีศาจอย่างห้าวหาญออกจากเมืองไป ดวงตาคู่คมแน่วแน่เด็ดเดี่ยว ฉุดสตรีทั้งทีต้องให้เกียรตินางจะทำตัวเหมือนโจรป่าถ่อย ๆ มิได้ เป็นถึงราชามารจะยอมขายหน้าได้อย่างไร?

“หอม” กลิ่นหอมลอยคละคลุ้งทั่วอาณาบริเวณ เขาได้กลิ่นบุปผาหลากชนิดมากเสียจนไม่สามารถแยกได้เลยว่าเป็นกลิ่นของบุปผาชนิดใด แม้อากาศภายนอกจะให้ความรู้สึกแห้งชื้นทั้งยังมีหมอกควันปกคลุมแต่นั่นก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า เขาเดินทางมาถึงหุบเขาสิ้นชีวาแล้ว

เมื่อมองไปไกลสุดลิบตาปรากฏภาพเรือนร่างงามระหงษ์ของหญิงสาวในชุดขาว บนใบหน้าไม่เห็นนรลักษณ์ใด นางสวมผ้าแพรบางผูกปิดตาอำพรางใบหน้าไว้ และอีกครึ่งเสี่ยวก็ถูกปกปิดมิดชิดด้วยผ้าแพรขาวด้วยเช่นกัน ไม่เห็นแม้แต่ริมฝีปาก แลดูเหมือนนางกำลังใช้จมูกในการดมกลิ่นของสมุนไพร มือเรียวสวยก็จับใบต้นตังกุยอย่างถนอมกำลัง นางคงฝึกวิชาเซียนวิชาใดวิชาหนึ่งอยู่กระมัง

“แม่นางมีอะไรข้าช่วยหรือไม่” จอมมารหนุ่มตรงดิ่งเข้าหานางผู้นั้นในทันที

กลิ่นหอมเช่นนี้มาจากตัวนางจริง หรือนางจะเป็นคนที่เขาตามหา?

ไหนใครว่านางเป็นเทพเซียนชั้นสูง ทว่าคนตรงหน้ากลับเป็นเพียงแค่คนตาบอดที่มีรูปร่างทรวดทรงองค์เอวมีเนื้อมีหนัง งดงามดว่าใครที่เคยพบแม้ไม่เห็นดวงตาไม่เห็นริมฝีปาก แต่ท่วงท่าสงวนกิริยา อ่อนช้อย ถี่ถ้วน นี้ช่างน่าดึงดูดใจยิ่งกว่า

“ท่านเป็นใคร มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด” สตรีเซียนสัมผัสได้ถึงพลังต่างขั้วจึงชักกระบี่ประจำตัวขึ้นมา

ตรงด้ามสลักอักษรว่า 'เฟิงจางจิ้ง' หวังเยี่ยนจึงคาดเดาว่าคงเป็นชื่อของนาง จากที่เทียนจวินมีนามว่า 'เฟิงหวังเหล่ย' ไม่ผิดต้องเป็นนางแน่

“ข้ามีนามว่าหวังเยี่ยน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?” เขาก้าวขาเข้าไปใกล้นางหนึ่งก้าว นางถอยหลบอีกหนึ่งก้าว เพียงเท่านี้เขาก็รู้แล้วว่าประสาทสัมผัสของนางดีเลิศเพียงใด แม้ว่านางจะไม่ยอมปลดผ้าแพรขาวที่ปิดดวงตาลงก็ตาม

“ไม่” วาจาสงบเยือกเย็นแฝงไปด้วยความระวังตัว แสดงออกอย่างนิ่งเฉยไม่เผยถึงความกลัวหรือหวั่นวิตกใด ๆ

ช่างเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจ น่าครอบครอง เขาชอบสตรีที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวและเยือกเย็นเช่นนี้ ในเมื่อตั้งใจมาฉุดก็ต้องฉุด!

“จุดประสงค์ของข้าก็คือ...”

นางกัดริมฝีปากแน่น แต่ทว่า..เพียงแวบเดียวดั่งใจนึกกระบี่ในมือก็ถูกปลดลงอย่างง่ายดาย นางสัมผัสได้ถึงลำแขนล่ำสันแข็งแรงและแผงอกแกร่ง กับร่างกายแสนบอบบางที่กำลังลอยหวืออยู่กลางอากาศ

“ท่าน!!”

ใช่! นางอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว!

วิชาเซียนของนางใช่จะต่ำต้อยด้อยค่าเพียงแต่นางกำลังฝึกรับประสาทสัมผัสให้แม่นยำมากขึ้น นางประมาทเกินไป ชายผู้นี้เป็นใครกันนะ กล้าแม้กระทั่งบุกเข้ามาในที่ของนาง

เขาค่อยค่อยก้มลงกระซิบข้างหูเซียนสาวซึ่งไม่รู้ว่าภายใต้ผ้าแพรสองผืนกำลังทำหน้าแบบใด จะโกรธหรือนึกตำหนิเขาอยู่

“ฉุดเจ้า เทียนจวินมีเทียนโฮ่ว ข้าก็ต้องมีจักรพรรดินีของข้าบ้างสิจริงไหม”

“บังอาจ!!!” หวังเยี่ยนเหยียดยิ้มร้ายกาจก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากสวยซึมซับความหอมกลิ่นกรุ่นบุปผา หอมราวกับดอกหลันฮวา

'หลงใหลในรูปโฉม' อาจจะจริงอย่างที่เขาว่ากันว่า 'โฉมงามชวนให้ลุ่มหลง กลิ่นยวนเย้าชวนให้สุขสม' สมกับที่เขาว่ากันไว้จริง ๆ

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ