“ฮวาหลวน ลูกต้องช่วยงานเย็บปักของตระกูล” “ไม่มีทางหรอกแม่”ของมีคมสำหรับผม มันคือไวอากร้าน่ะสิ!แต่ใครจะไปคิดว่า…“ขนาดเกิดใหม่ ยังโดนสั่งให้เย็บผ้าอีก!”“ไม่ทำ ตัดนิ้ว” แม่ทัพใหญ่แม้จะทำเสียงดุ
┏━━━━━❂❂━━━━━┓
บทที่ ๑
┗━━━━━❂❂━━━━━┛
หนังสือทั้งเล่มหนาเล่มบางเป็นร้อยๆเล่มเบียดแน่นกันอยู่บนชั้นติดผนัง บอกเล่าทั้งภูมิปัญญาและความรู้ของ…ผม?
สต๊อป! รู้นะว่าคิดอะไรกัน รสนิยมของผมไม่ทำเรื่องแบบนั้นแน่
“พี่ฮวาหลวน เอาแต่อ่านอะไรแบบนั้นอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน”
“น้องจะไปรู้อะไร ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าถึงความลึกซึ้งได้แบบพี่หรอกนะ นี่น่ะโดจินเรื่องใหม่ที่พี่ชายเธอเพิ่งไปสอยมาเลย”
“พี่บ้า!!! เลิกภูมิใจกับอะไรบ้าๆ แล้วลงไปช่วยงานข้างล่างเดี๋ยวนี้!”
ตัวอาคารเป็นแบบสามชั้น ชั้นบนสุดเป็นบ้าน ชั้นหนึ่งชั้นสองเป็นสำนักงาน ไม่สิ บ้านผมน่ะเป็นโรงงานรับปักไหม ระบบหัตถกรรมร้อยเปอร์เซ็นต์
ใครๆก็คงคิดว่าบ้านนี้ชอบเย็บปักเหมือนกันหมด อืมก็ไม่ผิด ถ้าไม่นับผม
“โอ้ว นางเอกเรื่องนี้แซ่บมาก เสียดายโง่ไปหน่อย หน่อยแบบเกินเยียวยาแล้ว”
“จะเอาแบบนี้ใช่ไหม”
ตีมึนไม่ได้ยิน ใครจะไปรู้จักน้องสาวผมดีเท่าผมไม่มีแล้ว เดี๋ยวก็เดินออกไปเอง
“พ่อกับแม่บอกว่าถ้าพี่ไม่ลงไป หักค่าขนม!”
ผมตกใจสะดุ้งโหยง
หักค่าขนม!
โดจินเรื่องใหม่ที่จะวางขายอาทิตย์หน้าสองเรื่อง อาทิตย์ถัดไปอีกสองเรื่อง ไหนจะเล่มลิมิเต็ดอิดิชั่น แนวSM อีก
ผมต้องลงแดงตายแน่ๆ เหล่าตัวละครในหนังสือจะต้องร้องไห้
“ไม่ได้นะ งั้นพี่จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อคอลเล็กชั่นต่อไป”
ยัยน้องสาวเหนื่อยใจจนถอนหายใจแรง แต่คนที่เด้งตัวขึ้นมายืนขู่ฟ่อๆไม่รู้ว่าหล่อนเป็นอะไร น้องสาวเลยช่วยตอบให้
“โอตาคุแบบนี้สิบปีก็ไม่มีเพื่อนหรอก”
“อึก”
สายตาคมมองลงต่ำไปสนใจจุดกลางลำตัว ทำเอาต้องบิดตัวหนีอัตโนมัติ น้องผมกลายเป็นโรคจิตไปแล้ว
รู้สึกเหมือนถูกน้องสาวตัวเองลวนลาม จนขนลุกซู่ไปหมด
รักเสื้อผ้าที่ใส่ตอนนี้ขึ้นมาเลย
“มะ มองอะไรของเธอ”
“ฉันมั่นใจ หนอนพี่…เน่า-ตาย-แน่”
นะ หนอน เน่า อะไรนะ
หมายความว่า…
เธอดูดวงได้ เห็นอนาคตหรืออะไร จู่ๆมาทักกันแบบนี้
“คงต้องฝากเรื่องทายาทไว้กับน้องซะแล้ว”
“อย่ามา…ดูถูกพี่นะ” อันหลังไม่ใช่ไม่เต็มใจพูดนะ แค่พอจะเถียงก็ถูกความจริงตีแสกหน้าจนน็อกหงายหลังไปเท่านั้น
≪•◦ ❈ ◦•≫
เพราะเป็นบริษัทขนาดกลาง เลยรู้ดีว่ามีพนักงานรวมๆกันเป็นร้อยคน แต่ว่าให้ตายหนึ่งในนั้นก็ไม่มีผม
“มีที่ไหนครอบครัวนักเย็บมือทอง แต่ลูกชายโตจนเรียนจบมหาลัยแล้วกลับไม่เคยแตะเข็มกับผ้าเลยสักแอะ ใช้ไม่ได้”
“มีน้องเก่งๆ พ่อแม่ก็เก่งมากๆ เว้นผมไว้คนก็ได้นิครับ”
ส่ายหัวไม่เอารัวๆ ไม่เอาเด็ดขาด
“ถึงจะไม่สนใจแต่วันนี้คนขาด ลูกต้องมาช่วยงานปักของธุรกิจเรา”
คุณแม่พูดเด็ดขาด คงไม่ใจอ่อนง่ายๆ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยใจอ่อนง่ายอยู่แล้ว
“แม่ไม่รู้อะไร ยังไงผมก็ไม่ทำ”
“อาหลวน!”
เสียงฝีเท้าดังตึงตังขึ้นบันไดมาด้านบน ก่อนจะจบด้วยเสียงปังและเสียงลูกบิดประตู ก็จะไม่ให้ผมฮึดฮัดแบบนี้ได้ยังไง
“กลับมาอ่านที่ค้างไว้ดีกว่า แม่นะแม่ ไม่เข้าใจกะ ย้ากกกก อะไรกันเนี่ย ชะ ชั้น ชั้น”
เรื่องใจร้ายแบบนี้ฝีมือพ่อกับแม่แน่นอน
หนังสือที่สะสมมาเป็นสิบปี เงินที่จิ้กแม่จิ้กน้องไปซื้อทั้งที่รู้ว่ามันแพงกว่าค่าขนม
“ด-โดจินของผมหายเกลี้ยงเลย!”
พอนึกย้อนเรื่องราวป๊อบปี้เลิฟในสมัยเรียน ผมยังจำได้ดี เด็กชายคนหนึ่งในวัยประถมที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับคนที่ชอบ นอกจาก…ทำตัวสต็อกเกอร์
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้น สู่จิตใจนักอ่านโดจินแฟนพันธุ์แท้ เพราะโดจินเล่มแรกที่ผมได้ชิมลางคือเล่มที่ผู้หญิงคนนั้นทำตกไว้ยังไงล่ะ
เนื้อหาที่ทำเอาตาค้างนอนไม่หลับ การได้จับเล่มแรกแปลว่าจะได้จับเล่มต่อไป นี่สิ…พรหมลิขิต
สุภาษิตว่า ทำตกเท่ากับ ‘ทิ้ง’
ผมก็เลยเก็บเข้าคลังได้อย่างสบายใจ
ตระกูลของพ่อทำงานเย็บปักมาตั้งแต่รุ่นปู่ ยิ่งคุณนายภรรยาคว้าตำแหน่งแชมป์ปักผ้าระดับประเทศมาได้ ครอบครัวก็เลยได้จริงๆจังๆกับกิจการหัตถกรรมเต็มตัว ใช่ แม่ผมนั่นแหละ
ทั้งยังคาดหวังให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างผมรับช่วงต่อเหมือนมีลูกคนเดียว
งัดเอาทุกกลวิธี ทั้งเคี่ยวทั้งเข็ญ หาข้ออ้างสารพัด ถึงยังไงก็มีน้องสาวอยู่ทั้งคน
แต่ผมน่ะตั้งปณิธานไว้แล้วว่า ไม่
ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจพวกท่าน แต่ว่ามันจะ ‘ไอ้นั่น’ นะสิ
‘ไอ้นั่น’ สิ่งที่พ่อกับแม่ก็ยังไม่รู้ ตัวแปรที่ทำให้ผมไม่สุงสิงกับใคร ความลับสุดยอดที่ห้ามโป๊ะตลอดชีวิต
ต่อให้เอามีดมาง้างปากก็ต้องเก็บงำเอาไว้ให้ได้
≪•◦ ❈ ◦•≫
คุณแม่ช่วยหยิบของที่ผมลงมาตามหาขึ้นมาทันที
“เห็นไหมว่านี่อะไร”
เห็น เบ้าลูกตาแทบจะกระเด็นออกมาเลยล่ะแม่
ก็หนังสือสุดรักสุดหวงเล่มโปรดที่ถูกเจ้าของอ่านจนเยิน กับรูปหน้าปกสุดสยิวมันลอยอยู่เหนือไฟเทียนไขบนโต๊ะเย็บผ้าของพนักงานตัวหนึ่ง
“แม่ นั่นมันของผมนะ เอาคืนมา”
คนฟังยกยิ้มอย่างเป็นต่อดูเจ้าเล่ห์ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ
คุณแม่ผู้เคยเป็นสปอนเซอร์หลักอย่างเป็นทางการ
คิดไม่ถึงว่าจำใช้ไฟเทียนที่ตั้งไว้ให้ลนเข็มเย็บผ้ามาเผาคัมภีร์สวรรค์ประโลมโลกประโลมใจของผม
ยอมไม่ได้!
“เรียนรู้งานเย็บปัก”
“บอกแล้วไงว่าไม่เอา ใครอยากทำก็ทำไปสิครับ น้องสาวผมก็ทำได้ดี คุณแม่ยังต้องการอะไรอีก”
ตอบตาแข็ง มือกำหมัดแน่นจนเจ็บ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้อง…
ใช้สองขาวิ่งเข้าไปหมายจะแย่ง
อีกนิดเดียว
วืด!
ไม่ทันคนเอาสิ่งนั้นไปกอดไว้ราวกับอ่านใจได้
“งั้นถ้าแม่มอบตำแหน่งทายาทกิจการให้ลูกดูแลสิ้นเดือนนี้ล่ะ”
“ไม่เอา”
“จะทำไม่ทำ ไม่งั้นคงมีคนแถวนี้บอกลาชีวิตกับกองหนังสือมาสืบทอดกิจการสิ้นเดือนแน่ๆ ลูกว่าไหม”
ที่แท้แม่ก็คิดแผนมาหมดแล้ว
พวกพนักงานที่เฝ้าดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ มองจ้องแบบพร้อมขยับที่ให้ไปนั่งข้างๆตามสะดวก แต่ผมหันหลังวิ่งขึ้นห้อง
ถึงจะยอมลองดูสักครั้งเพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่…
“เป็นตายยังไงก็ปักตรงนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
≪•◦ ❈ ◦•≫
ปวดใจจริงๆ
ห้องนอนที่มีเตียงอุ่นสบาย แต่คนนอนไม่สบาย
ผมพลิกไปพลิกมา ไม่ได้โกรธอะไรแม่ แต่กลุ้มเรื่องอื่น อยากปาหนังสือเล่มหนาในมือทิ้ง ได้แต่เดินอ่อนแรงเอามันไปวางบนโต๊ะไม้ริมห้องแทน
“น้องสาวเอาหนังสือภาพต้นแบบการเย็บปักอะไรนี่มาให้ นี่ก็คืนวันศุกร์แล้ว เหลือเวลาแค่เสาร์อาทิตย์ ทันที่ไหน!!!”
ใจจะสลาย
วันจันทร์วันทำงาน วันทำงานคือมีพนักงาน งั้นถ้าทำไม่เสร็จก็ต้องไปนั่งกลางดงพนักงาน แล้วจะปกปิด ‘ไอ้นั่น’ ไม่ไหวน่ะสิ
แค่ผุดภาพจำลองขึ้นสมองก็รู้ได้ทันทีว่าชื่อของตัวเองต้องมีคำว่าโรคจิตต่อท้ายแน่
“ไม่เป็นไร ยังพอมีเวลา มึงทำได้เว้ย ฮวาหลวน”
≪•◦ ❈ ◦•≫
ความมืดไม่น่ากลัว…ไม่จริง
ตีห้าก็แค่เวลาเช้ากว่าปกตินิดหน่อย…เช้ามาก ก็ปกติตื่นเก้าโมง
ถึงอย่างนั้นก็มั่นใจว่าจะไม่จ้ะเอ๋ใครสักคน
ยิ่งกว่าโจรก็ผมนี่แหละ
สองเท้าย่องเบาไปที่ชั้นหนึ่ง แผนกเย็บปัก ยังไงถึงจะเหมือนโจรแค่ไหน แต่โจรมันไม่ไปยกเค้าบ้านตัวเองแบบผมหรอก
ถ้าพ่อแม่และน้องสาวมาเห็นผมทำอะไรแบบนี้ คงได้ตอกย้ำซ้ำเติมให้มุดดินหนีแน่
“เอ๊ะ ประตูเปิดไม่ออก” พอเหลือบมองข้างๆก็เห็นป้ายประกาศตัวโตๆว่า “หยุดเสาร์อาทิตย์”
อะไรเนี่ย เอามาติดหน้าประตูแผนกแบบนี้ก็มีด้วย
“ทำตัวเป็นโจรไปได้”
“น้อง!”
คนมองอย่างรำคาญใจโผล่มาทั้งชุดนอนจากทางด้านหลัง
โจรย่องเบาถูกจับได้ซะแล้ว นี่กูย่องดังไปเหรอ ไม่หรอกน้องหูดีเกินไปมากกว่า ไม่น่าบังเอิญแน่ๆ
มาผิดจังหวะเกิน ว่าจะแอบเข้าไปเงียบๆแท้ๆ
ช่วยไม่ได้ ถือโอกาสขอกุญแจจากน้องเลยแล้วกัน
“พี่บ้า ประตูหลังก็มี”
ประตูหลัง?
จริงด้วย เพิ่งนึกออกว่ามีประตูหลังเชื่อมกับห้องเย็บปักด้วยนี่
≪•◦ ❈ ◦•≫
ผ่านไปหนึ่งวัน งานเย็บปักตามหนังสือภาพที่กองเป็นภูเขาทำให้ผมนั่งจุ้มปุ๊กที่โต๊ะตัวหนึ่งริมประตูไม่ได้ไปไหน รู้แล้วว่าทำไมพวกคนงานที่เข้ามาเทรนงานใหม่ๆพากันโอดครวญแทบจะร้องขอชีวิต
เดี๋ยวนะ แล้วผมจะไหวไหมเนี่ย
ยังดีที่น้องสาวต้องเอาข้าวน้ำมาให้ทุกมื้อ
อย่างน้อยๆก็ไม่ต้องกลัวหิวตายล่ะนะ แค่ถูกงานทับตายเอง ฮือ
“ไม่เข้าใจเลยว่าพี่ทุ่มเทอะไรขนาดนี้” น้องสาวที่มาส่งข้าวยามเช้าวันอาทิตย์ยืนกอดอกมองพี่ชายที่ไม่รู้ว่าจะรู้ตัวหันไปกินข้าวที่วางให้ข้างๆตอนไหน “ไม่กินไม่นอนเอาแต่ปักผ้า พี่ตายแน่”
พอไม่มีสัญญาณตอบกลับ หล่อนก็จากไปแบบไม่พอใจกันสุดๆ
ใครเป็นคนทำกันน้า
ผ่านไปแป๊บๆ วันจันทร์ก็มาถึงซะแล้ว
“เอาข้าวมาให้ เดี๋ยวพนักงานก็มาเข้างานแล้ว พี่ฮวาหลวนกินข้าวเสร็จแล้วไปอาบน้ำหน่อยนะ ตัวเหม็นหึ่งไปหมด”
อีกนิดเดียว เหลืออีกนิดเดียว
“ไม่ได้ ต้องเร่งมือแล้ว ไม่มีเวลากินแล้ว”
ไม่สนใจอะไร สองมือยิ่งเร่งปักเข็มลงไปบนผ้าที่ถูกขึง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงน้องสาวตะโกนเรียกแล้วก็พูดอะไรไม่รู้ด้วยน้ำเสียงตกใจสุดขีด
“พี่… $%^&%#”
ลายปักสุดท้ายที่แค่เก็บงานก็จะปิดเล่ม ถึงจะไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ แต่ผมว่าพ่อแม่ต้องเห็นใจบ้างแหละ
แหมะๆ
ภาพตรงหน้าพร่าเบลอ เลือดสองสามหยดตกลงเปื้อนผ้าในมือย้อมสีขาวเป็นดวง ผมมัวแต่เร่งมือจนไม่รับรู้ถึงความปกติใดๆ
อีกนิด…เดียว ใกล้แล้ว อีก…
≪•◦ ❈ ◦•≫
ที่นี่ที่ไหน นี่มันอะไรกันเนี่ย
ผมมั่นใจว่าตัวเองนั่งปักผ้าอยู่ถึงเมื่อกี้แล้วทำไมมายืนก้าวขาขึ้นรถม้าอยู่นี่ล่ะ
“เอ๊ะ นี่มัน…ชุดโบราณ ร่างกายก็…”
ไม่เพียงเท่านั้น ชุดที่ใส่ดันเป็นชุดจีนโบราณผมเผ้าถูกรวบไปมัดด้านหลัง ถึงไม่ได้ส่องกระจกผมก็ไม่ได้คิดไปเอง
ร่างกายนี่ไม่ใช่ของกู
ถ้างั้นร่างของกูล่ะ
เดาว่านี่ผมคงทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณสักยุค เพราะแค่มองไปข้างหน้าจวนใหญ่ก็เห็นคหบดีกับภรรยาคู่หนึ่งกำลังยืนมองมาอย่างกังวล
ยังดีที่ดูแล้วน่าจะมาเกิดเป็นลูกหลานขุนนางล่ะวะ
“เฟิงหมิง ดูแลตัวเองดีๆนะลูก!”
“แม่ทัพเทียนผู้มีจิตใจเมตตา หากลูกคนรองของข้าทำสิ่งใดผิดพลาด ข้าหวังว่าท่านจะให้อภัย”
“แม่ทัพเทียน?”
พอมองไปที่คนถูกเรียก เขากลับนั่งนิ่งจนคู่สามีภรรยามองหน้ากันสีหน้าเครียดขึง ผมก็ยังไม่เข้าใจอะไรแต่ก็เข้าไปนั่งเอ๋อฝั่งตรงข้ามก่อน
หืม? แสดงว่าร่างนี้ชื่อ เฟิงหมิง แต่เฟิงหมิงที่ว่านิสัยยังไง จะไปที่ไหน
มันวุ่นวายขนาดที่ต้องเอาคนน่ากลัวอย่างแม่ทัพอะไรนี่มาด้วยเหรอ
“ฟู่ว” ผ่อนลมหายใจ
ช่างมัน ยังไงก็คงไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้หรอก
“ไปสนามรบ!”
นั่นไง ถูกใจใช่เลย
ก็บ้าแล้ว!!!!
“สนาม…ส-สนามรบ เขาบอกว่าส-สนามรบ!”
คนขับรถม้าพูดก่อนตวัดสายบังเหียนเป็นสัญญาณเคลื่อนตัว นี่ผมต้องไปสถานที่เสียงตายแบบนั้นเหรอ ยุคสมัยนี้เขากำลังรบกันรึไง แล้วรบกันแบบใด๋ถึงต้องส่งคนแต่งตัวดูคุณช๊ายคุณชายอย่างผมไปที่นั่น
จังหวะนี้หันไปหาพ่อแก้วแม่แก้วขอความช่วยเหลือผ่านช่องหน้าต่าง แต่ไม่ทันได้อ้าปากกว้างเอ่ยอะไร สีหน้าคนหน้าจวนก็พากันปวดใจจะร้องไห้ทั้งคู่
ยังดีที่ยังโบกมือลาปุลกปุลกทั้งน้ำตา
ดีก็บ้าแล้ว เผลอโบกตอบซะได้
พ่อกับแม่อย่าเพิ่งเสียใจ พวกท่านมาช่วยผมก๊อน!
หนังสืออื่นๆ ของ ElGSi
ข้อมูลเพิ่มเติม