พันธะเสน่หามาเฟีย

พันธะเสน่หามาเฟีย

อัญญาณี

5.0
ความคิดเห็น
160.8K
ชม
60
บท

เพราะเตกิล่าสองแก้วในคืนนั้น ทำให้ชีวิตเรียบง่ายของดวงดาราเปลี่ยนไป หล่อนมีลูกแฝด โดยไม่รู้ว่า ใครคือพ่อของลูก “ก็ฉันอยากกอดเธอด้วยถามไปด้วยนี่” เขาไม่ปล่อย “แล้วก็อยากจูบเธอด้วย” ดวงดาราตกใจ อ้าปากค้าง ดวงตาขยายกว้าง ไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยประโยคนี้ออกมา หล่อนถึงกับทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งให้เขากอด “ไม่...” เป็นเพียงคำเดียวที่ดวงดาราเอ่ยออกมา เนื่องจากเสียงทุกเสียงถูกปิดลงด้วยริมฝีปากบางสีชมพูของเขา อารามตกใจปากจิ้มลิ้มที่ยังคงอ้าค้าง เปิดโอกาสให้เอเดนสอดลิ้นเข้าไปพันรัดลิ้นนุ่มที่อยู่ในอาการตระหนก เอเดนสำรวจช่องปากหอมหวาน พิสูจน์ด้วยตัวเองว่า ทั้งกลิ่นและรสชาติภายในโพรงปากหวานจะใช้คนเดียวกับสาวปริศนาคนนั้นหรือไม่ เหมือนกันเลย...ปากหอมหวาน กลิ่นน้ำหอมก็เย้ายวนชวนลุ่มหลง นั่นคือคำตอบที่เอเดนได้รับ เขาบดจูบ แรกลัดลิ้นเล็กที่ดูแล้วไม่เป็นประสา ราวกับไม่เคยถูกจูบมาก่อน เนื้อตัวก็สั่นหนัก หัวใจดวงดาราไม่ต้องพูดถึง เต้นโครมครามหาจังหวะไม่ได้ ตื่นเต้นไปหมดจนมือชื้นเหงื่อ สมองของหล่อนว่างเปล่าเสมือนถูกถึงออกจากหัว ไร้ความคิดความอ่านใดๆ ทั้งสิ้น แล้วอยู่ๆ ความดำมืดก็เข้ามาแทนที่ “เฮ้ย!” เอเดนตกใจ เมื่อร่างแน่งน้อยอ่อนแรง ขาทั้งสองข้างอ่อนเปลี้ย ใบหน้าแหงนหงาย ดวงดาราเป็นลม...

บทที่ 1 1

“แก...นังลูกไม่รักดี สิ่งที่ฉันอบรมสั่งสอนแกมาตั้งแต่เด็ก แกไม่จำเลยสักนิดใช่ไหม แกถึงทำเรื่องเสื่อมเสียแบบนี้ รู้ไหมว่าฉันจะขายหน้าชาวบ้านขนาดไหนถ้ารู้ว่า แกท้องไม่มีพ่อ...ฟิ้ว”

สิ้นเสียงคำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความโกรธ ความผิดหวัง เสียใจ ตามด้วยเสียงไม้หวายก็แหวกอากาศลงมากระทบกับผิวเนื้อของดวงดาราลูกสาวสุดที่รัก ที่เขารักปานดวงใจหลายครั้ง ตีไปเจ็บหัวใจไป

“พอแล้วค่ะ พอแล้ว อย่าทำลิซ” นงนุชโผเข้ากอดบุตรสาวที่ร้องไห้ตัวโยน นางใช้ร่างกายปกป้องแก้วตาดวงใจ “จะตีลูกทำไม เรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ตีไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้ คุณพี่จะตีลิซให้ขายหน้าคนใช้ทำไมคะ”

“คุณไม่ต้องมาพูดเลย หลบไป ผมจะตีมันให้เนื้อแตก ให้แท้งไปเลยได้ยิ่งดี”

ชลิต เจ้าของธุรกิจสินค้านำเข้าจากต่างประเทศรายใหญ่อันดับสี่ของประเทศไทย สินค้าที่นำเข้ามาขายมีหลากหลาย รถยนต์หรูยี่ห้อแลมโบกินี เฟอรารี่ ออดี้ โรสลอยและอีกหลายยี่ห้อ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เคมีภัณฑ์ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ฯลฯ ชลิตถือว่าเป็นคนมีชื่อเสียง ในแวววงธุรกิจล้วนแต่รู้จักเขาในวงกว้าง เขารักหน้าตาและรักษาเครดิตของตนเองมาก หากเรื่องลูกสาวสุดรักสุดหวงท้องไม่มีพ่อ เขาคงขายหน้า ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน และนี่คือที่มาของความโกรธเกรี้ยว ไม่พอใจ

“คุณพี่พูดแบบนี้ได้ยังไง ถึงยังไงเด็กในท้องก็เป็นหลานของเรานะคะ”

นงนุชตกใจ พูดตอกกลับเสียงสั่น น้ำตาไหลอาบแก้ม ผิดหวังในตัวลูกสาวไม่เท่าไหร่ นางผิดหวังในคำพูดของสามีมากกว่า

“พ่อขา ลิซผิดไปแล้ว ลิซขอโทษค่ะ” ดวงดาราพนมมือไหว้บิดาทั้งน้ำตา

“ฉันจะยกโทษให้แกก็ต่อเมื่อแกต้องไม่มีลูก แกต้องเลือกระหว่างลูกแกกับฉัน" ชลิตตะโกนลั่นบ้าน “ถ้าแกเลือกที่จะเก็บไอ้ลูกไม่มีพ่อไว้ แกไม่ต้องเรียกฉันว่าพ่อแล้วไสหัวออกไปจากบ้านฉัน ฉันจะตัดทางแกทุกอย่าง เงินในบัญชี บัตรเครดิตฉันก็จะไม่ให้แกใช้เงินของฉัน”

ไม่เพียงแค่ดวงดาราที่ตกใจปล่อยโฮออกมาทันที นงนุชก็ตกใจกับคำประกาศิตของสามี ไม่คิดว่าชลิตจะพูดเช่นนี้ แม้ว่าชลิตจะมีนิสัยเผด็จการ ชอบบงการคนในบ้านให้ทำอย่างนี้อย่างนั้นตามใจตัวเอง แต่กับดวงดารา ชลิตตามใจทุกอย่างเพราะดวงดาราเป็นลูกคนเดียว เขาจึงรักและตามใจ ทว่าคำสั่งที่เอ่ยออกมามาจากความโกรธล้วนๆ

“พ่อ...ฮือ” ดวงดาราเอาแต่ร้องไห้

“คุณพี่คะ ทำไมคุณพี่กลายเป็นคนแบบนี้ คุณพี่ใจร้ายเกินไปแล้วนะคะ” นงนุชต่อว่าสามีทั้งน้ำตา “เด็กในท้องลิซคือหลานของเรานะคะคุณพี่ คุณพี่ให้ลิซเลือกได้ยังไงคะ”

“ทำไมฉันจะให้มันเลือกไม่ได้ ฉันไม่ต้องการมัน มันเป็นลูกใครลิซยังไม่รู้เลย ฉันอุ้มชูมันไม่ลงหรอก ถ้ามันเลือกลูกไม่มีพ่อ ลูกที่เกิดจากมันไปมั่วกับใครก็ไม่รู้ มันก็ไม่ใช่ลูกฉัน ฉันจะตัดขาดกับมัน แต่ถ้ามันเห็นแก่หน้าฉันที่ไม่ต้องแบกคำนินทาว่าลูกสาวตัวดีท้องไม่มีพ่อล่ะก็ มันต้องไปไอ้เด็กคนนี้ออก”

ชลิตไม่ลดความโกรธของตัวเองลง เสียงเขายังคงแผดดัง หน้าตาบึ้งตึงและแดงก่ำจากแรงโทสะ

“พ่อ...” ดวงดารารู้ตัวดีกว่า เรื่องนี้ตนผิด ความผิดพลาดในคืนนั้นส่งผลต่อตนในวันนี้ วันที่หล่อนมีเลือดเนื้อเชื้อไขอยู่ในร่างกาย วันที่รู้ว่ามีเขาเกิดมา หล่อนตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน ทว่าตอนนี้ความรู้สึกเดียวที่อยู่ในหัวดวงดาราคือ หล่อนต้องรักษาลูกของตัวเองไว้ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นความผิดพลาดของตนที่ต้องก้มหน้ารับไว้

“แกต้องเลือก นังลูกไม่รักดี”

ชลิตตะเบ็งเสียงอีกครั้ง ดวงดาราค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าบนพื้น มือทั้งสองข้างพนมไว้กลางอก ก้มลงกราบบิดา

“ลิซขอโทษค่ะพ่อ ลิซฆ่าลูกไม่ได้ค่ะ เขาไม่ผิด ลิซผิดเอง ลิซผิดคนเดียว” ได้ยินคำพูดของดวงดารา ความโกรธของชลิตเพิ่มพูน เขาเหมือนควบคุมตัวเองไม่อยู่ คว้าจับท่อนแขนบุตรสาวที่นั่งอยู่บนพื้น ก่อนจะลากไปยังประตูบ้าน ท่ามกลางความตกใจของนงนุชและคนรับใช้ที่แอบดูอยู่ห่างๆ

“คุณพี่ คุณพี่จะทำอะไรลูกคะ”

นงนุชพูดไปเดินตามไป ความที่นางเจ็บข้อเท้าจากการลื่นล้มในห้องน้ำ ทำให้นงนุชเดินไปช้ากว่าชลิตที่ลากลูกสาวไปนอกบ้าน

“ไป แกออกไปจากบ้านของฉัน แล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก ไป!” ดวงดาราที่ถูกลากออกมานอกประตูบ้านร้องไห้ตัวโยน ร้องสะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ นางนุชที่เดินมาถึงทีหลังรีบไปกอดร่างบุตรสาว

“คุณพี่สงสารลูกเถอะคะ อย่าทำอย่างนี้เลย ไหนๆ เรื่องมันก็มาจนป่านนี้แล้ว ฮือ” นงนุชขอความเห็นใจจากสามี

“เธออย่ายุ่ง เธอลืมไปแล้วเหรอว่า ไม่มีสิทธิ์ยุ่งเรื่องในบ้าน แล้วถ้าอยากมีเงินใช้ มีข้าวกิน มีเงินส่งให้พ่อแม่เธอใช้ทุกเดือนก็อย่ายุ่งกับมัน ถ้าฉันรู้ว่าเธอช่วยเหลือมัน เธอจะไม่ได้อะไรจากฉัน” เป็นความเจ็บช้ำอย่างสุดแสนของนงนุช คนเป็นแม่เจ็บปวดที่ช่วยเหลือลูกสาวสุดที่รักไม่ได้ ชีวิตของนงนุชเหมือนผูกติดอยู่กับชลิต ที่ชอบใช้อำนาจกดขี่มาตลอดยี่สิบห้าปี ซึ่งนางก็ก้มหน้ายอมรับอย่างกล้ำกลืน “เข้าบ้านนุช ถ้าเธอไม่เข้ามาภายในหนึ่งนาที ฉันจะไม่ให้อะไรเธอเลย แม้แต่เงินค่าผ่าตัดแม่ของเธอ ฉันก็ไม่ให้ ไปหาเอาเอง”

“แม่...ขะ...เข้าบ้านเถอะคะ...ลิซ...ลิซดูแล...ดูแลตัวเองได้” ดวงดารารู้ว่ามารดาลำบากใจ ซึ่งหล่อนเองก็ไม่ต้องการให้นงนุชต้องลำบากเพราะตน “เข้าบ้านค่ะคุณแม่...ขะ...เข้าบ้าน”

“ส่งข่าวบอกแม่นะลูก อย่าลืมส่งข่าวบอกแม่”

“ค่ะแม่” ดวงดารารับคำ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองหน้านงนุชแล้วส่งยิ้มบางให้ ก่อนหมุนตัวก้าวเดินไปยังประตูรั้วบ้าน หากตนข้ามผ่านประตูบานนี้ หล่อนก็จะกลับเข้ามาในบ้านนี้อีกไม่ได้ ดวงดาราวางมือลงบนหน้าท้อง ลูบแผ่วเบา “อยู่กับแม่นะลูก แม่ลำบากแค่ไหน แม่ก็จะเลี้ยงหนูให้ดีที่สุด แม่สัญญา”

เสมือนมีพลังก่อเกิดขึ้นมาในฉับพลัน ดวงดาราปาดน้ำตาทิ้ง ก้าวเดินออกจากบ้านที่ตนอยู่มาตั้งแต่เกิด ออกไปเผชิญโลกกว้างกับลูก หล่อนไม่สนใจว่าใครคือพ่อของลูก เรื่องที่หล่อนสนใจคือ จุดเริ่มต้นของชีวิต จะยืนอยู่ด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้ ดวงดาราจะสู้ด้วยสองมือสองเท้าและหนึ่งสมองของตน

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ อัญญาณี

ข้อมูลเพิ่มเติม
โซ่รัก ใยพิศวาส

โซ่รัก ใยพิศวาส

มหาเศรษฐี

5.0

“ฉันท้อง” เพชรหอมกลั้นใจบอกชายตรงหน้า ชายหนุ่มที่หล่อนรักสุดหัวใจ ยอมมอบกายมอบใจให้ทั้งที่ยังไม่แต่งงาน คนได้ยินเลิกคิ้วสูง สีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนเหยียดยิ้ม “แน่ใจเหรอว่าเป็นลูกฉัน” ราซิเอลโล่ตวัดผ้าห่มออกจากตัว ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะคว้าชุดคลุมที่พาดอยู่ปลายเตียงมาสวมทับเรือนกายเปล่าเปลือย “ฉันจำได้ว่า ฉันป้องกันทุกครั้งไม่มีพลาดแน่นอน” เจ็บ! “ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่คิดรับผิดชอบเธอนะ แต่ฉันมั่นใจว่า ฉันป้องกันตัวเองดีมาก ดูอย่างเมื่อคืนสิ ฉันเมาฉันยังใส่ถุงยางเลย ลูกในท้องเธอ ไม่ใช่ลูกฉัน...ฉันมั่นใจ” เพราะความมั่นใจของเขา ทำให้หล่อนแบกความเสียใจ ความทุกข์และลูกในท้องกลับเมืองไทย โดยที่ราซิเอลโล่ไม่รู้สักนิดว่า ความแน่นอนคือสิ่งไม่แน่นอน

เมียไม่ปรารถนา

เมียไม่ปรารถนา

มหาเศรษฐี

4.9

คุณานนท์เมา... ใช่ เขาต้องการให้แอลกอฮอล์ดับความทุกข์ ความผิดหวัง ความเสียใจ และอาการเจ็บใจ แค้นฝังรากลึกให้หลุดออกไปใจบ้าง วันนี้เขากับครอบครัวเสียหน้าหนักมาก ต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้านที่ต้องนำเรื่องนี้ไปพูดคุยกันสนุกปาก คงไม่มีใครคิดว่า คนอย่างคุณานนท์จะถูกทิ้งกลางอากาศ ถูกทิ้งในวันสำคัญของชีวิตด้วย ไม่แค้นก็แปลก แล้วความแค้นทั้งหมดก็กำลังไปลงที่เจ้าสาวที่ไม่ปรารถนา “หลับสบายเลยนะ” เขาพูดเสียงต่ำ มองดวงหน้าหวานที่นอนหลับพริ้มบนเตียง “ตื่น!” คุณานนท์ตะโกนเสียงดัง เขาไม่เพียงแค่ส่งเสียงเรียกเธอ มือใหญ่คว้าผ้าห่มแล้วเหวี่ยงมันไปกองบนพื้น และนั่นทำให้เขาเห็นเรือนร่างสาวมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันกาย เสียงอันแผดดัง ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่กระทบผิวกาย ส่งผลให้ลัลณ์ลนินตื่น เธอเอี้ยวตัวมาทางด้านหลังแล้วต้องสะดุ้งตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นร่างสามียืนไม่มั่นคงนักริมเตียง “พี่กล้า” “แหม แต่งตัวรอให้ฉันมาเอาเธอเลยเหรอ รู้หน้าที่ดีนี่” น้ำเสียงติดอ้อแอ้ ทำให้เธอรู้ว่า เขากำลังเมา “ไม่ใช่ค่ะ ไม่ชะ...ว้าย!” ลัลณ์ลนินยังไม่ทันพูดจบประโยค คุณานนท์ก็โถมร่างดันร่างเล็กให้นอนลงบนที่นอน โดยมีร่างเขาทาบทับ “พี่กล้าลุกคะ ลุก” “ไม่ลุก” คุณานนท์ตอบเสียงดังฟังชัด “เธอลืมแล้วเหรอว่าเราแต่งงานกันแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่ที่เราจะมีอะไรกัน จริงไหม” ใช่ เขาพูดถูก ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าการแต่งงานมาจากความรักและความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย แต่นี่ไม่ใช่ งานวิวาห์ที่ทั้งเขาและเธอไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้น เรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าเกิดขึ้นเช่นกัน ยิ่งตอนนี้ด้วยแล้ว กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ฟุ้งตามร่างหนา เป็นอีกสัญญาณหนึ่งให้รู้ถึงความไม่ปลอดภัย “ไม่ค่ะ ไม่” ลัลณ์ลนินพูดด้วยความกลัว เธอกำลังกลัวคุณานนท์ ลางสังหรณ์บอกเธอว่า ตนเองกำลังไม่ปลอดภัย เธอดิ้นรนไปมา ดิ้นทั้งที่รู้ว่า หนีไม่พ้น

ดั่งมนต์ต้องใจ

ดั่งมนต์ต้องใจ

มหาเศรษฐี

5.0

ยามเกลียด...เกลียดเข้าไส้ ถึงเวลารักเมื่อใด...คำว่าหมดทั้งใจยังน้อยไป ......... “โอ๊ย!” เสียงร้องเจ็บดังขึ้น ปรียาพรถูกเหวี่ยงไปบนพื้นห้อง “เธอกล้ามากนะที่สวมเขาให้ฉัน ฉันอยากรู้เหลือเกินว่าเธอต้องการเงินอะไรหนักหนาถึงกลับไปรับงาน เงินที่เธอสูบไปจากแม่กับยายของฉันไม่พอหรือไง หรือว่าทนความร่านของตัวเองไม่ไหว ผู้หญิงอย่างเธอหิวเงินไม่พอ ยังหิวผู้ชายอีก ทุเรศที่สุด ฉันไม่น่าแต่งงานอีตัวอย่างเธอเลย” “เพี้ยะ” ความอดทนของมนุษย์มีขีดจำกัด ปรียาพรเป็นปุถุชนธรรมดาระงับความโกรธไม่ได้ ยิ่งเขามาดูถูกซ้ำๆ อย่างนี้ เธอจะไม่ทนอีกต่อไป ฟาดฝ่ามือลงบนแก้มยุรนันท์ แม้กลัวเขา แต่เธอก็ทำ “อย่ามาดูถูกกันให้มากนะ ถ้าฉันไม่ดี ฉันมันร่าน หิวผู้ชาย ไม่คู่ควรกับคุณ งั้นเราเลิกกัน พรุ่งนี้ไปหย่ากันที่อำเภอ แล้วต่างคนต่างไป จะได้ไม่ต้องทนอึดอัดกันอีก” ปรียาพรคิดว่าทางดีที่สุด ทว่ายุรนันท์ไม่คิดเช่นนั้น เขาคิดว่าเธอมีเป้าหมายใหม่ ถึงได้พูดขอหย่า กำแพงแห่งความโกรธที่ว่าสูงแล้ว ตอนนี้สูงมากขึ้นหลายเท่า ใบหน้าเขาแดงก่ำ ดวงตาลุกโชนด้วยแรงแห่งโทสะ มองปรียาพรอย่างดุดัน ก้าวเดินมาหาภรรยาด้วยท่าทางคุกคาม “เธอกับครอบครัวตั้งใจเข้ามากอบโกยเงินทองจากฉัน จัดฉากเรื่องคืนนั้น ทั้งที่เธอก็รู้เต็มอกว่าเราไม่มีอะไรกัน แต่เธอก็ไม่พูดแย้ง พ่อกับแม่เธอก็เอาแต่พูดว่าฉันต้องรับผิดชอบ ทั้งที่รู้เต็มอกว่า ผู้หญิงเน่าๆ อย่างเธอไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ นอนด้วยครั้งสองครั้งคงไม่สึกหรอเพราะผ่านงานมาโชกโชน ซึ่งเธอก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วจะมาพูดว่าฉันดูถูกเธอได้ยังไงห๊า” ยุรนันท์ตะเบ็งเสียงจนเธอตกใจ “ถ้าฉันไม่ดี เราก็เลิกกัน หย่ากันไปเลย” ปรียาพรคิดหาหนทางไม่ออกนอกจากวิธีนี้ เขาจะได้ไม่ต้องทนอยู่กับภรรยาที่คิดว่าเป็นอดีตโสเภณี เธอเองก็จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดซ้ำซาก “หย่าเหรอ” เขาทวนคำเสียงเย็น “ฉันหย่าแน่ เรื่องอื่นฉันพอยอมรับได้ แต่เรื่องสวมเขานี่ไม่ไหว แต่ก่อนหย่าฉันอยากลองสักครั้ง อยากรู้ว่าทำไมมีแต่ผู้ชายอยากดมดอกไม้เน่าๆ กันนัก แค่ฉันเดินผ่านก็จะอ้วกแล้ว ดอกไม้ไร้กลิ่นหอมอย่างเธอคงไม่ทำให้ฉันมีความสุขหรอก แต่ฉันก็อยากลอง” ยุรนันท์จ้องมองปรียาพรไม่วางตา นัยน์ตาเขามีพลังแห่งความโกรธมิเปลี่ยนแปลง ปรียาพรตกใจ หัวใจเธอเต้นแรงมาก คำพูดเขาไม่ต้องแปลความหมาย ยิ่งทำให้ความหวาดกลัวอาบทั่วจิตใจ อยากอธิบายให้ยุรนันท์เข้าใจ แต่ด้วยอารมณ์เขาตอนนี้พูดมากแค่ไหนก็คงไม่ฟัง ไม่เข้าไปในหู ทางเดียวคือต้องเอาตัวรอดออกจากห้องนี้ ทว่าความคิดเธอช้าไป... .... เป็นภาคต่อ ดั่งทรายต้องลมค่ะ

ดั่งทรายต้องลม

ดั่งทรายต้องลม

มหาเศรษฐี

5.0

ของบางอย่างมักเห็นค่า ในเวลาที่เสียมันไป .... “เปิ้ลจะมาอยู่บ้านหลังนี้ในฐานะเมียพี่อีกคนนะ” ความเจ็บช้ำที่พราวฟ้าได้รับน้อยไปใช่ไหม ปรินทร์ถึงได้โยนความรู้สึกนั้นเข้าจิตใจเธอมากขึ้น มันมากมายเสียจนพราวฟ้าคิดว่า ชาตินี้ทั้งชาติไม่รู้ว่าจะสลัดหลุดความร้าวรานใจได้หรือไม่ น้ำตาที่เพิ่งแห้งเหือดไปพักหนึ่ง ตอนนี้กำลังทำงานอีกครั้ง ไหลรินเป็นทาง ปรินทร์พูดออกไปแล้วก็นึกอยากตบปากตัวเอง เขาไม่ควรเอ่ยประโยคนี้เป็นประโยคแรก ควรเป็นคำพูดที่ทำให้ความเสียใจปัดออกไปจากหัวใจพราวฟ้ามากกว่า เขาไม่รู้สาเหตุว่า ทำไมปากเขาหนัก ขาตัวเองแข็งเช่นนี้ ได้แต่ยืนมองพราวฟ้าที่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร “ถ้างั้นทรายจะไปจากที่นี่ค่ะ” ไม่มีผู้หญิงคนไหนทนได้ ทนเห็นผู้หญิงอีกคนเข้ามาอยู่ในฐานะเมียน้อย แค่นี้เธอก็เจ็บปวดมากพอแล้ว “ทรายอยู่ที่นี่ไม่ได้ค่ะ ไม่ได้แม้วินาทีเดียว” ปรินทร์ตกใจไม่คิดว่าพราวฟ้าจะตัดสินใจเช่นนี้ หัวใจเขาหล่นตุ๊บ ใจหายกับประโยคที่ได้ยิน “มันยากนักหรือไงที่จะอยู่ด้วยกัน พี่ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร ต่างคนต่างอยู่ก็หมดเรื่อง เปิ้ลเป็นผู้ดีพอ ไม่มารังควานทรายหรอก” ปากหนอปาก พูดไปโดยไม่ทันคิดอีกแล้ว และไม่เคยคิดไตร่ตรองว่า วาจาที่เอ่ยออกไปสร้างแรงสะเทือนเกิดขึ้นในใจพราวฟ้าหนักมาก “สำหรับคุณอาจไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับฉัน มันคือเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตคู่ ไม่มีผู้หญิงคนไหนทนได้หรอกค่ะ คุณลองคิดกลับกัน ถ้าฉันพาผู้ชายมาอยู่ที่นี่อีกคนในฐานะผัวน้อย คุณจะรู้สึกยังไง ที่ฉันนอนกับคุณวันนึง นอนกับผัวน้อยวันนึง คุณคงมีความสุขมากสินะ” พราวฟ้าเถียงกลับ ปรินทร์นิ่งอึ้ง ตกใจ มองคนพูดนิ่ง พราวฟ้าเป็นคนไม่มีปากมีเสียง แทบจะไม่เถียงใครเลยทั้งสิ้น นับตั้งแต่อยู่กินกันมาวันนี้เป็นวันแรกที่เธอกล้าต่อปากต่อคำ และไม่หมดเพียงแค่นี้ “คุณเปิ้ลเป็นผู้ดีหรือคะ ผู้ดียังไงถึงได้ยอมเป็นเมียน้อยคนอื่น ผู้ดีจริงๆ เขาจะหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่ทำตัวต่ำ ไม่ทำให้ตัวเองโดนติฉินนินทา จะคิดทำอะไรต้องใช้สติคิด นี่ต่างหากค่ะที่เรียกว่าผู้ดี ฉันคงอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะฉันเป็นคนชั้นต่ำ ไม่เหมาะกับดงผู้ดี เชิญคุณอยู่กับคุณเปิ้ล ผู้หญิงที่คุณเลือก ส่วนฉันก็จะไปตามทางของฉัน” ปรินทร์อึ้งอีกรอบ เขามองเธอนิ่งงัน ไม่เพียงแค่พราวฟ้าตอบโต้กลับด้วยคำพูดเชือดเฉือน สรรพนามที่เรียกระหว่างกันก็เปลี่ยนไป มองพราวฟ้าที่เดินไปนั่งร้องไห้ริมเตียง “ก็ลองทำตามที่พูดสิ ฉันจะฆ่าเธอกับชู้ให้ตายคาที่เลย” ปรินทร์เสียงเข้มห้วน ความไม่พอใจคุกรุ่นในแววตา แค่จินตนาการว่าเธอมีความสัมพันธ์กับชายอื่น เขาก็แทบบ้า ความหึงหวงพล่านในอก “แค่ฉันพูดคุณยังโกรธ แต่คุณทำจริง คุณมีอะไรกับคุณเปิ้ลไม่พอ ยังพาเธอมาอยู่ที่นี่ แล้วคุณคิดเหรอว่าฉันจะทนได้ แล้วฉันก็ไม่ทนด้วย” พราวฟ้าพูดไปร้องไห้ไป “โธ่โว้ย! มันจะอะไรกันหนักหนา ทำไมเธอทนอยู่ที่นี่ไม่ได้ มันจะตายหรือไง” ปรินทร์หัวเสีย เมื่อเมียพูดไม่รู้เรื่อง ทำแข็งข้อใส่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “ฉันให้เธออยู่ที่นี่ก็บุญเท่าไหร่แล้ว อย่าเรื่องมากไปหน่อยเลย...รำคาญ” ปรินทร์กระแทกเสียงใส่ มองหน้าพราวฟ้าด้วยความไม่พอใจ เขาไม่คิดสักนิดเลยว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของพราวฟ้า ความผิดอยู่ที่เขาเต็มๆ “ฮือ...ฮือ” พราวฟ้าร้องไห้หนักขึ้น ไม่กลั้นน้ำเสียง เธอปล่อยโฮออกมาราวกับว่า ไม่อาจกลั้นความเจ็บช้ำน้ำใจที่โถมใส่ได้อีก ปรินทร์ไม่เพียงแค่ทำร้ายจิตใจพราวฟ้า เขาไม่ถนอมน้ำใจเธอเลยสักนิด พร้อมเหยียบย่ำความรู้สึกให้จมพื้นดิน ขยี้หัวใจสาวจนแหลกลานคาเท้า “แล้วก็เลิกร้องไห้ซะที น้ำตาไม่ได้ช่วยอะไรเธอหรอกนะ เห็นแล้วหงุดหงิด น่าเบื่อชะมัด” ปรินทร์หัวเสียหนักมากขึ้น เขาเดินออกไปจากห้องทันทีที่พูดจบ ราวกับว่าไม่อยากคุยกับพราวฟ้าต่อ เพราะเกรงว่าจะยิ่งพูดกันไม่รู้เรื่อง ค่อยกลับมาพูดใหม่หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างอารมณ์เย็นลง พราวฟ้าไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ย นอกจากน้ำตาที่รินไหลไม่หยุด คำสัญญาคำพูดของเขาที่ว่า ไม่คิดอะไรกับทิวาทิพย์มากไปกว่าเพื่อนก็ไม่ใช่ความจริง เขาเพียงแค่หลอกล่อให้เธอตายใจและเชื่อใจ ก่อนตลบหลังอย่างเจ็บปวดที่สุด ปรินทร์หมดรักเธอแล้ว หากยังมีความรักหลงเหลือ ปรินทร์จะไม่ทำเช่นนี้ มือเรียวสวยวางลงบนท้อง เธอลูบท้องเบาๆ ก้มหน้าลงบอกกล่าวกับอีกหนึ่งชีวิตในครรภ์ “พ่อไม่ต้องการแม่แล้ว เราไปอยู่กันสองคนนะลูก” เป็นการตัดสินใจอันแน่วแน่ของพราวฟ้า เมื่อเขาไม่เห็นค่า ไม่เห็นแก่ความรัก จะอยู่ให้ทุกข์ทรมานใจทำไม หากเธอไม่ดึงตัวเองออกจากความเจ็บปวด เธอก็ต้องจมอยู่กับความเสียใจไปตลอดชีวิต

เมียลับนายหัว

เมียลับนายหัว

มหาเศรษฐี

5.0

................ วินาทีที่ได้เห็นรอยยิ้มของลูกสาว หัวใจเขาเต้นแรงมาก ความรู้สึกหม่นเศร้า เคว้งคว้างท่ามกลางความหนาวเหน็บถูกปัดออกมาจากจิตใจจนสิ้นเมื่อได้พบหน้ากัญญาพัชรด้วยตาตัวเอง หนูน้อยวัยสี่ขวบเดินมาหาชายร่างสูงใหญ่ด้วยความรู้สึกที่บอกในใจว่า ต้องเดินไปหา “สวัสดีค่ะ มาหาใครคะ” เสียงหวานใสเหลือเกิน... สิงหนาทพูดอยู่ในใจเมื่อได้ยินเสียงแรกของลูกสาว เขาก้มมองดูเด็กหญิงหน้าตาราวกับตุ๊กตา ผิวขาวอมชมพู รูปร่างอวบน่าฟัดน่ากอด สวมใส่ชุดคอจีนสีขาวฟ้า ใบหน้าหนูน้อยชวนมองยิ่งนัก ตาโต แก้มป่อง ริมฝีปากแดงอมชมพู เขาย่อตัวลงให้ความสูงอยู่ระดับเดียวกับกัญญาพัชร “ขอกอดหน่อยได้ไหมครับ” สิงหนาทพูดกับลูกเสียงหวานมาก กัญญาภรณ์กับชุติมาสั่งสอนเสมอว่า อย่าเข้าใกล้คนแปลกหน้า ใครที่น้องขนมไม่รู้จักชวนไปไหนอย่าไป ให้กินอะไรก็อย่ากิน ซึ่งหนูน้อยเชื่อฟังมาตลอด ทว่าครั้งนี้กัญญาพัขรกลับละเมิดคำสั่งสอนมารดา “ได้ค่ะ” กัญญาพัชรกางมือออกไปทางด้านข้าง ยิ้มเต็มใบหน้า ราวกับว่าต้องการอ้อมกอดจากเขาเช่นกัน สิงหนาทไม่รอช้ารั้งร่างอวบของลูกสาวไว้ในอ้อมแขน กระชับแน่นประหนึ่งกลัวว่าร่างนี้จะสลายแล้วรู้ตัวว่า เขาอยู่ในความฝัน ไม่ใช่ฝัน...มันคือเรื่องจริง เนื้อนุ่มนิ่มที่เขากอด หัวใจของหนูน้อยที่แนบกับอก สิงหนาทรับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ ความอุ่นจากเรือนกายตอกย้ำว่า เขาได้พบลูกแล้ว น้ำตาเขาปริ่มขอบตาก่อนปล่อยมันลงมาเคลียแก้มอย่างไม่คิดจะกลั้น เป็นน้ำตาแห่งความดีใจ เป็นความดีใจที่รอคอยมานานสี่ปี คนเป็นพ่อค่อยๆ ดันร่างลูกสาว ลูบหัวหนูน้อยเบามือ “คุณลุนร้อนไห้ทำไมคะ โอ๋ๆ ไม่ร้อนนะคะ” สิงหนาทยิ้มกับคำพูดของลูกสาว แล้วยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อกัญญาพัชรกอดปลอด “ไม่ต้องร้อนนะคะ โอ๋ๆ” “ลุงไม่ร้องแล้วครับ ลุงไม่ร้องแล้ว ขอบใจน้องขนมนะครับที่ปลอบลุง” สิงหนาทปาดน้ำตาทิ้ง ยิ้มให้บุตรสาวสุดน่ารัก “แม่อยู่ไหมครับ แม่แพรน่ะครับ” “แม่ไม่อยู่ค่ะ” “แม่ไปไหนครับ” “แม่ไปหาผัวใหม่” เด็กวัยสี่ขวบตอบเสียงใส ยิ้มแป้น แต่คนได้รับคำตอบกลับยิ้มไม่ออก “ไปไหนนะครับ” สิงหนาทถามซ้ำ “แม่ไปหาผัวใหม่ น้ายูบอกว่าผัวเก่าแม่เฮงซวยค่ะ” น้องขนมตอบตามที่ชุติมาบอก ไม่รู้ความหมายในคำพูดที่เอ่ยออกไป โดยไม่รู้ว่า คำตอบของตนนั้นกำลังทำให้เสือร้ายโมโห “หนอย...ห่างผัวไม่กี่ปี ริอยากมีผัวใหม่ ฝันไปเถอะ” โรมานซ์

พิษรักนางบำเรอ

พิษรักนางบำเรอ

มหาเศรษฐี

5.0

เธอมันก็แค่พี่เลี้ยงของลูก คนรับใช้ในบ้าน และนางบำเรอส่วนตัวของเขาไม่ว่าทำดีแค่ไหน สิ่งที่ตอบแทนคือความเย็นชา หมางเมินเขาจะเห็นค่าของเธอก็แค่ตอนอยู่บนเตียง แต่พอเมียเก่าเขาหวนมาเขาและลูกก็พร้อมที่จะเฉดหัวเธอออกจากบ้าน .... “แล้วเธออยากแต่งงานเหมือนเพื่อนเธอไหมล่ะ” เป็นคำถามแทงใจดำไอรีณเหลือเกิน คนถูกถามนิ่งงัน หัวใจเจ็บระบมขึ้นมาทันใด “ว่าไง อยากแต่งหรือเปล่า” เลอันโดรดันกายสาวให้ห่างตัวเล็กน้อย จับดวงหน้าหวานแต่ดูเศร้าให้หันมาเผชิญหน้ากับตน ไอรีณหลุบสายตาต่ำ ไม่กล้าปริปากตอบคำถามเขา ทั้งที่เธอมีคำตอบอยู่แล้วในใจ คงไม่มีสตรีคนใดในโลกที่ไม่อยากเข้าพิธีวิวาห์กับชายที่ตนรัก เธอเองก็ปรารถนาเช่นกัน แต่ชาตินี้คงไม่มีวันนั้น เพราะรู้แก่ใจดีว่าคนที่เธอรักไม่มีวันแต่งงานกับเธอแน่ “ฉันถามทำไมไม่ตอบ” “อยากแต่งค่ะ” ไอรีณตอบเสียงเบา ไม่สบตาเขา “แต่งกับใคร ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง” เขาเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ ปลายจมูกโด่งคลอเคลียผิวแก้มสาว ก่อนจะกดจมูกสูดดมความหอมเข้าไปเต็มปอด ลากปากไปเรื่อยจนถึงกลีบปากสีชมพูอ่อน “ตอบฉันมาสิ...ถ้าไม่ตอบจะจูบให้ขาดใจเลยนะ” เป็นคำขู่ชวนวาบหวามเหลือเกิน ไอรีณตัวสั่นในอ้อมกอดอบอุ่น สมองเธอเริ่มปั่นป่วน หัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่อยู่ในวงแขนนี้ นิ่งถูกเขาเล้าโลมเพียงแผ่วเบา หัวใจและอารมณ์ก็เตลิดไปไกล “แต่งกับ…” เธอหยุดพูด ไม่กล้าเปล่งเสียงตอบ “กับใคร” เลอันโดรไม่หยุดอยากรู้ “ตอบมาเร็วสิ” “กับคุณค่ะ” ไอรีณตอบไปที่สุด หน้าเธอเห่อร้อน ความอายเกลื่อนดวงหน้า อยากจะเขกหัวตัวเองที่กล้าหาญตอบคำถามออกไป เพราะสิ่งที่เธออาจได้รับกลับมาคือ เสียงหัวเราะเย้ยหยันตามด้วยคำพูดเหน็บแนม

หนังสือที่คุณอาจชอบ

ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา

ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา

l3oonm@
5.0

“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง

ทางใหม่ เริ่มใหม่

ทางใหม่ เริ่มใหม่

Beckett Grey
4.5

ซ่งจิ่งถังรักฮั่วอวิ๋นเซินอย่างลึกซึ้งนานถึงสิบห้าปี แต่ในวันที่เธอคลอดลูกกลับตกอยู่ในอาการโคม่า ขณะที่ฮั่วอวิ๋นเซินกระซิบข้างหูเธออย่างอ่อนโยนว่า "ถังถัง อย่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย สำหรับฉัน เธอไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว" ซ่งจิ่งถังเคยคิดว่าสามีของเธอเป็นคนอ่อนโยนและรักใคร่ตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเขามีแต่ความเกลียดชังและใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น และลูกๆ ที่เธอเสี่ยงชีวิตให้กำเนิด กลับเรียกหญิงสาวคนอื่นว่า 'แม่' ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหน้าที่เตียงคนไข้ของเธอ เมื่อซ่งจิ่งถังฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการตัดสินใจหย่าขาดอย่างเด็ดขาด! แต่หลังจากหย่าแล้ว ฮั่วอวิ๋นเซินจึงเริ่มตระหนักว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขาเต็มไปด้วยเงาของซ่งจิ่งถัง หญิงคนนี้กลายเป็นความเคยชินของเขา เมื่อพบกันอีกครั้ง ซ่งจิ่งถังปรากฏตัวในที่ประชุมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เธอเปล่งประกายจนทุกคนต้องหันมามอง หญิงคนนี้ที่เคยมีแต่เขาในใจ บัดนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเขาอีก ฮั่วอวิ๋นเซินคิดว่าเธอแค่ยังโกรธอยู่ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดนิดหน่อย ซ่งจิ่งถังจะต้องกลับไปหาเขาแน่นอน เพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ แต่ต่อมา ในงานหมั้นของผู้นำคนใหม่ของตระกูลเพ่ย เขาเห็นซ่งจิ่งถังสวมชุดแต่งงานหรูหรา ยิ้มอย่างเปี่ยมสุขและกอดแน่นเพ่ยตู้พร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ฮั่วอวิ๋นเซินอิจฉาจนแทบคลั่ง เขาตาแดงก่ำและบีบแก้วจนแตก เลือดไหลไม่หยุด...

มงกุฎเลือด

มงกุฎเลือด

Tepui Frost
5.0

ในชาติก่อน นางได้ต่อสู้เพื่อประเทศชาติเป็นเวลาห้าปี แต่ความดีความชอบทางการทหารกลับถูกน้องหญิงยึดไป คู่หมั้นที่นางรักหมดใจนั้นกลับนิ่งเฉยและร่วมมือกับอีกฝ่ายผลักนางตกลงสู่ห้วงลึกจนต้องเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจในคืนที่หนาวเย็น หลังจากได้เกิดใหม่ นางสาบานว่าจะทำให้ทุกคนที่รังแกนางได้รับผลกรรมที่สาสม เมื่อเผชิญหน้ากับครอบครัวที่เสแสร้งและผู้ชายเจ้าชู้ นางยิ้มเยาะ : ความดีความชอบทางทหาร? รางวัล? คู่หมั้น? เอาไปให้หมด นางหันหลังกลับและคุกเข่าในงานเลี้ยงในวังอย่างน่าตกใจโดยชี้ตรงไปยังมุมมืดที่มีอ๋องอวี้นั่งอยู่บนรถเข็น“ขอฝ่าบาททรงโปรดพระราชทานการสมรสระหว่างหม่อมฉันกับอ๋องอวี้เพคะ” ทุกคนต่างตกตะลึง อ๋องอวี้เซียวจือ ขาทั้งสองข้างใช้การไม่ได้และมีนิสัยเย็นชา เป็นคนที่ทุกคนหลีกเลี่ยงเสมือนปีศาจที่มีชีวิต ทุกคนหัวเราะเยาะนางว่าคงบ้าไปแล้ว ถึงรนหาที่ตายเช่นนี้ แต่ไม่มีใครรู้ว่านางเห็นถึงความโดดเด่นและพลังที่ซ่อนอยู่ลึกในตัวชายคนนี้ นางช่วยให้เขาฟื้นฟูความแข็งแกร่งและรักษาขาที่เป็นพิการ เขาสัญญาว่าจะให้ชีวิตที่มั่นคงแก่นางและเป็นที่พึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดให้นาง เมื่อน้องหญิงที่แอบอ้างนำความดีความชอบทางทหารของนางไปอวดความเก่งกล้า และแม่แท้ ๆ ยังคงใช้กลอุบายควบคุมชะตากรรมของนาง… นางและอ๋องอวี้ร่วมมือกันวางแผนอย่างรอบคอบทุกขั้นตอน เปิดโปงกลโกงและแสดงความกล้าหาญในสนามรบ! จนกระทั่งอ๋องอวี้ยืนขึ้นได้อีกครั้งและมีอำนาจครอบครองราชสำนัก จนกระทั่งนางแสดงตราประทับที่แท้จริงข และให้ทหารทั้งหลายยอมรับ ทุกคนเพิ่งรู้สึกตระหนักว่า คนที่พวกเขาเคยทิ้งไปไม่ต่างจากขยะนั้น ทั้งคู่ได้จับมือกันแล้วครองแผ่นดินไว้ด้วยแล้ว

ทะลุมิติมาเป็นภรรยาตัวน้อยของสามีพิการ

ทะลุมิติมาเป็นภรรยาตัวน้อยของสามีพิการ

มาชาวีร์
4.8

เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที

ประธานหลี่ พอได้แล้วนะ จะง้อภรรยาก็เข้าคิวก่อน

ประธานหลี่ พอได้แล้วนะ จะง้อภรรยาก็เข้าคิวก่อน

Encore
5.0

แต่งงานซ่อนเงากับหลี่ เจวี๋เฉินมาได้สามปี เจียงวานเคยคิดว่าความรักของเธอจะทำให้หัวใจเขาอุ่นขึ้นได้ แต่สิ่งที่รอเธออยู่ กลับเป็นวันที่จู่ ๆ รักแรกของเขากลับมาจากต่างประเทศ แล้วเขาก็พูดเพียงประโยคเดียวว่า “พวกเราหย่ากันเถอะ” เจียงวานรู้ดีว่าคนที่หลี่ เจวี๋เฉินรักไม่ใช่เธอ เธอจึงกลบเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ หยิบกระเป๋าแล้วเดินจากไปอย่างเด็ดขาด หลังหย่า ชีวิตของเจียงหว่านกลับพุ่งแรงราวติดปีก ทั้งงานทั้งโชคลาภหลั่งไหลไม่หยุด กลายเป็นสไตลิสต์ระดับท็อปของโลก ทั้งการงานและความรักล้วนรุ่งโรจน์ ส่วนอดีตสามีผู้มีตำแหน่ง บางคน นั้นวัน ๆ เอาแต่จ้องหน้าจอ คิดทุกวิถีทางว่าจะทำยังไงให้ได้แต่งงานกับเธออีกครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตเจียงวานตอนยังเด็กกลับมาอีกครั้งหลี่ เจวี๋เฉินถึงกับอยู่เฉยไม่ไหวอีก “วานวาน แต่งงานกันอีกครั้งเถอะนะ ได้โปรด!” เจียงวานเพียงยิ้มบาง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ“ไม่มีเวลาหรอก ไปหารักแรกของคุณเถอะ!” หลี่ เจวี๋เฉินควักแหวนออกมา คุกเข่าข้างเดียวแล้วเอ่ยว่า “ฉันไม่มีใครคนอื่นในใจ มีเพียงเธอเท่านั้น เธอคือคนที่ฉันรักมาตลอด ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเธอ!” ตลอดสามปีที่อยู่ด้วยกันทั้งเช้าเย็น ทำให้ทั้งคู่ค่อย ๆ เกิดความรักและผูกพันต่อกัน เธอเข้าใจว่าเขายังรักแฟนเก่าอย่างสุดหัวใจ แต่เขากลับคิดว่าในใจเธอมีใครอีกคนอยู่แล้ว คนดื้อสองคนที่แอบรักกันอยู่ฝ่ายละมุม แต่กลับเข้าใจผิดเพราะมีคนอื่นเข้ามาอยู่รอบตัวจนคิดไปต่าง ๆ นานา ความรักครั้งนี้จะฝ่าหมอกแห่งความเข้าใจผิดไปจนถึงตอนจบที่งดงามได้หรือไม่?

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ