5.0
ความคิดเห็น
260.4K
ชม
193
บท

“คนไม่มีค่า ไม่จำเป็นต้องถนอม เหมือนกับเธอยังไงล่ะแคท เธอมันก็แค่ก้อนกรวดเม็ดทรายไร้ค่า ไร้ราคา เป็นได้แค่ตุ๊กตามีชีวิตที่ดิ้นระริกอยู่ใต้ระหว่างขาของฉันเท่านั้น” ถ้อยคำของชายร่างใหญ่ที่คร่อมร่างเปลือยของเธอ ช่างเป็นคำพูดที่สร้างความเจ็บปวดให้กับนันท์นภัสมากเหลือเกิน หัวใจดวงน้อยเต้นเร่าด้วยความเสียใจ ร่างกายเย็นเฉียบประหนึ่งเธอฝังตัวอยู่ในหิมะขาวโพลน “คุณอูโก้...” เสียงเจ็บช้ำกล่าวออกไป “ใช่...ฉันคืออูโก้ จำชื่อเจ้าของเธอให้ขึ้นใจ แม่สัตว์เลี้ยงตัวน้อยๆ ของฉัน สร้อยที่ฉันให้เธอใส่มันก็เปรียบเสมือนปอกคอที่สวมให้สัตว์เลี้ยงตัวโปรด ให้คนอื่นเขารู้ว่า เธอมีเจ้าของแล้ว และฉันก็จะไม่ยอมให้ใครมาแย่งสัตว์เลี้ยงของฉันไปได้ นอกเสียจากว่า ฉันจะปล่อยมันไปเอง แล้วก็จำใส่กะโหลกกลวงๆ ของเธอเอาไว้ด้วยว่า ร่างกายของเธอทุกสัดส่วน อย่าให้ใครมาแตะต้อง ไม่อย่างนั้นเธอได้แหลกคามือฉันแน่ วันนี้ฉันจะลงโทษเธอเบาะๆ ที่ริอ่านให้ไอ้แจ็คมันจับมือ ไม่หนักไม่หนาอะไรหรอก...แค่คางเหลืองเดินลงจากเตียงไม่ได้เท่านั้นเอง”

บทที่ 1 1

1

เสียงพูดคุย เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น เสียงร้องขอความช่วยเหลือของหญิงสาวหลายคน ปลุกให้สตรีนางหนึ่งที่นอนสลบอยู่บนพื้นห้องตื่นขึ้นมา เธอเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาที่หลับยาวนานพร่าปรือจนต้องกะพริบตาหลายครั้งเพื่อปรับสภาพดวงตาให้เข้ากับแสงนีออน พลางสะบัดศีรษะไล่ความมึนงง ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างยันร่างกายให้ลุกขึ้นนั่ง

“ที่นี่ที่ไหน เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

คำถามแรกเกิดขึ้นในใจ เมื่อสายตาของเธอมองไปรอบๆ ห้องที่ไม่คุ้นเคย มองดูสตรีหลายสิบคนที่นั่งร้องไห้บ้าง ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือบ้าง บางคนก็ทุบประตูเหล็กจนเกิดเสียงดังแข่งกับเสียงต่างๆ ในห้อง สีหน้าของหญิงสาวเหล่านั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตื่นตระหนกตกใจ

“พวกเธอร้องไห้กันทำไม แล้วที่นี่ที่ไหน”

นันท์นภัสหันไปถามหญิงสาวผมทองที่นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ข้างๆ ด้วยความสงสัยระคนตกใจ คนที่ถูกถามเงยหน้ามามองผู้ถามน้ำตานองหน้า

“ที่นี่มันคือนรก เธอไม่รู้เหรอมันคือนรก”

สาวจากเมืองผู้ดีอังกฤษตวาดตอบ ร้องไห้ออกมาดังลั่นระบายความทุกข์ที่อัดแน่นในใจ นันท์นภัสยังรู้สึกงงกับคำตอบที่ได้รับ ความชัดเจนยังไม่เกิดขึ้นในสมอง

“เธอพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง บอกฉันหน่อยสิ” สาวชาวไทยถามอีกรอบ

สาวคนเดิมจึงหันมาตอบให้ความสงสัยของนันท์นภัสหายไป

“ที่นี่มันคือซ่องยังไงล่ะ ผู้หญิงทุกคนที่นี่กำลังจะถูกส่งไปขายตัวที่อื่น ได้ยินไหมที่นี่มันคือนรก มันคือนรก”

คนที่ได้รับคำตอบนิ่งอึ้ง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด ใจเต้นระส่ำหาจังหวะไม่ได้ ความงวยงงจากการเพิ่งลืมตาตื่นหายเป็นปลิดทิ้ง ความตระหนกตกใจเข้ามาแทนที่ และเป็นความรู้สึกที่รุนแรงเข้ามาในจิตใจของเธอเป็นอย่างมากด้วย

‘เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร’

เป็นคำถามที่ก้องอยู่ในหัว นันท์นภัสใช้สติที่เหลืออยู่น้อยนิดคิดไตร่ตรอง หญิงสาวจำได้ว่าตนเองกำลังเดินไปยังลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ตอนกำลังจะถึงรถอยู่ไม่กี่ก้าว เธอก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครบางคนมายืนซ้อนทับแผ่นหลัง ก่อนที่ลำแขนจะตวัดรัดตรงเอวเล็ก ต่อมาก็มีผ้าผืนหนึ่งปิดทับกึ่งปากกึ่งจมูก มันเป็นช่วงเวลาที่เร็วมาก เร็วจนนันท์นภัสไม่ทันได้ต่อต้านหรือร้องขอความช่วยเหลือ ร่างกายก็อ่อนแรงลง ดวงตาปรือ ไม่กี่วินาทีทุกอย่างก็มืดสนิท มารู้สึกตัวอีกทีเธอก็มาอยู่รวมกันกับหญิงสาวหลายคน หลากเชื้อชาติซึ่งแต่ละคนใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาทั้งสิ้น

‘เราถูกจับตัวมา’ สาวชาวไทยคิดในใจหลังจากเรียบเรียงเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่ตนจำได้ คำถามต้องมาก็คือ ใครกันที่เป็นคนจับตนมาที่นี่หรืออาจเป็นพวกค้ามนุษย์ข้ามชาติที่มักจับตัวผู้หญิงหญิงสาวเข้าไปในรถชนิดที่แตกต่างกันไปตามข่าวที่นันท์นภัสรับรู้มา แต่ก็ไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

นันท์นภัสมองไปรอบๆ ห้องที่เธอกับหญิงเคราะห์ร้ายหลายทั้งน้ำตา ห้องนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสไม่มีหน้าต่างสักบ้าน จะมีเพียงช่องระบายอากาศที่อยู่ด้านบนสุดของผนัง ให้อากาศถ่ายเทเท่านั้น ตรงหน้าเธอจะเป็นประตูบานใหญ่ที่ทำจากเหล็กแข็งแรงทนทานและคงพังออกไปได้ยาก ผนังสามด้านทำจากปูน แต่อีกด้านครึ่งหนึ่งเป็นกระจกหนาทึบที่มองไม่เห็นด้านนอก

เสียงดังเหมือนมีคนไขประตูดังขึ้น เรียกความสนใจให้กับหญิงสาวทั้งหลายในห้อง ก่อนที่พวกเธอจะพุ่งสายตาไปยังบานประตูเหล็กที่ค่อยๆ เปิดออก ชายรูปร่างสูงใหญ่สวมถุงน่องอำพรางใบหน้าสามคนเดินเข้ามาในห้อง โดยมีอีกสองคนยืนถือปืนคุมเชิงด้านนอก

“ลุกขึ้น” เสียงชายตัวโตพูดพร้อมกับกระชากร่างสตรีผิวดำให้ลุกขึ้นยืน

“ไม่...ปล่อยนะ ปล่อยฉัน” สตรีคนนั้นขืนตัวเต็มที่ ปากร้องลั่น ชายคนดังกล่าวจึงฟาดฝ่ามือลงไปบนแก้มของเธอเต็มแรง

“ถ้าไม่อยากตาย หุบปาก”

ชายคุมซ่องตะโกนใส่หน้าหญิงสาวที่ตนเพิ่งทำร้าย ทว่าเธอก็ยังดิ้นรนขัดขืนไม่หยุด แต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงของมันได้ ในที่สุดเธอก็ถูกลากออกไปจากห้องเป็นคนแรก

และเมื่อหญิงสาวคนแรกถูกลากตัวออกไป เสียงกรีดร้องของผู้หญิงที่เหลือในห้องก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงร้องขอและขอความช่วยเหลือที่ดังไม่หยุด นันท์นภัสเองก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่า ชายทั้งสามคนนั้นจะไม่สนใจ ใครร้อง ใครดิ้นรน ใครขัดขืนมีอันต้องถูกทำร้ายด้วยการตบ นำพาความหวาดกลัวมาให้หญิงสาวเคราะห์ร้ายทั้งหลายเป็นอย่างมาก

หญิงสาวที่ถูกลักพาตัวหรือถูกหลอกมาถูกนำตัวออกไปจากห้อง 6 คน จำนวนที่พวกชายคุมซ่องต้องการตามคำสั่งของผู้เป็นนายคือ 7 คน และคนสุดท้ายที่พวกเขาต้องการคือ นันท์นภัส

“ไม่นะ ปล่อย ปล่อย”

นันท์นภัสพูดเป็นภาษาสากล ใช้มือปัดป้องมือสกปรกของชายใจโฉดที่พยายามจะจับลำแขนของตัวเอง เท้าเล็กที่มีแรงไม่มากกระแทกไปยังลำขาของชายคนดังกล่าวหลายครั้ง ทว่าขาของมันก็เหมือนแข็งดุจหินไม่สะดุ้งสะเทือน

“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวไปมากกว่านี้ อย่าขัดขืน” ชายคุมซ่องร่างใหญ่กล่าวเตือนคว้าหมับตรงลำแขนเล็กแล้วบีบ เป็นเชิงเตือนอีกทางหนึ่ง

“ไม่นะ ไม่ ปล่อย...ช่วยด้วย”

ปากสาวขยับเปิดร้องลั่นไม่สนใจคำเตือนของชายนิสัยเลว ขืนตัวเต็มที่ไม่ให้ตนถูกลากออกไปจากห้องนี้ ทว่ามันไม่ได้เป็นไปตามที่เธอคิด ในที่สุดร่างเล็กก็ถูกลากถูออกไปจากห้องนั้นสำเร็จ

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ อัญญาณี

ข้อมูลเพิ่มเติม
โซ่รัก ใยพิศวาส

โซ่รัก ใยพิศวาส

มหาเศรษฐี

5.0

“ฉันท้อง” เพชรหอมกลั้นใจบอกชายตรงหน้า ชายหนุ่มที่หล่อนรักสุดหัวใจ ยอมมอบกายมอบใจให้ทั้งที่ยังไม่แต่งงาน คนได้ยินเลิกคิ้วสูง สีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนเหยียดยิ้ม “แน่ใจเหรอว่าเป็นลูกฉัน” ราซิเอลโล่ตวัดผ้าห่มออกจากตัว ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะคว้าชุดคลุมที่พาดอยู่ปลายเตียงมาสวมทับเรือนกายเปล่าเปลือย “ฉันจำได้ว่า ฉันป้องกันทุกครั้งไม่มีพลาดแน่นอน” เจ็บ! “ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่คิดรับผิดชอบเธอนะ แต่ฉันมั่นใจว่า ฉันป้องกันตัวเองดีมาก ดูอย่างเมื่อคืนสิ ฉันเมาฉันยังใส่ถุงยางเลย ลูกในท้องเธอ ไม่ใช่ลูกฉัน...ฉันมั่นใจ” เพราะความมั่นใจของเขา ทำให้หล่อนแบกความเสียใจ ความทุกข์และลูกในท้องกลับเมืองไทย โดยที่ราซิเอลโล่ไม่รู้สักนิดว่า ความแน่นอนคือสิ่งไม่แน่นอน

พันธะเสน่หามาเฟีย

พันธะเสน่หามาเฟีย

มหาเศรษฐี

5.0

เพราะเตกิล่าสองแก้วในคืนนั้น ทำให้ชีวิตเรียบง่ายของดวงดาราเปลี่ยนไป หล่อนมีลูกแฝด โดยไม่รู้ว่า ใครคือพ่อของลูก “ก็ฉันอยากกอดเธอด้วยถามไปด้วยนี่” เขาไม่ปล่อย “แล้วก็อยากจูบเธอด้วย” ดวงดาราตกใจ อ้าปากค้าง ดวงตาขยายกว้าง ไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยประโยคนี้ออกมา หล่อนถึงกับทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งให้เขากอด “ไม่...” เป็นเพียงคำเดียวที่ดวงดาราเอ่ยออกมา เนื่องจากเสียงทุกเสียงถูกปิดลงด้วยริมฝีปากบางสีชมพูของเขา อารามตกใจปากจิ้มลิ้มที่ยังคงอ้าค้าง เปิดโอกาสให้เอเดนสอดลิ้นเข้าไปพันรัดลิ้นนุ่มที่อยู่ในอาการตระหนก เอเดนสำรวจช่องปากหอมหวาน พิสูจน์ด้วยตัวเองว่า ทั้งกลิ่นและรสชาติภายในโพรงปากหวานจะใช้คนเดียวกับสาวปริศนาคนนั้นหรือไม่ เหมือนกันเลย...ปากหอมหวาน กลิ่นน้ำหอมก็เย้ายวนชวนลุ่มหลง นั่นคือคำตอบที่เอเดนได้รับ เขาบดจูบ แรกลัดลิ้นเล็กที่ดูแล้วไม่เป็นประสา ราวกับไม่เคยถูกจูบมาก่อน เนื้อตัวก็สั่นหนัก หัวใจดวงดาราไม่ต้องพูดถึง เต้นโครมครามหาจังหวะไม่ได้ ตื่นเต้นไปหมดจนมือชื้นเหงื่อ สมองของหล่อนว่างเปล่าเสมือนถูกถึงออกจากหัว ไร้ความคิดความอ่านใดๆ ทั้งสิ้น แล้วอยู่ๆ ความดำมืดก็เข้ามาแทนที่ “เฮ้ย!” เอเดนตกใจ เมื่อร่างแน่งน้อยอ่อนแรง ขาทั้งสองข้างอ่อนเปลี้ย ใบหน้าแหงนหงาย ดวงดาราเป็นลม...

เมียไม่ปรารถนา

เมียไม่ปรารถนา

มหาเศรษฐี

4.9

คุณานนท์เมา... ใช่ เขาต้องการให้แอลกอฮอล์ดับความทุกข์ ความผิดหวัง ความเสียใจ และอาการเจ็บใจ แค้นฝังรากลึกให้หลุดออกไปใจบ้าง วันนี้เขากับครอบครัวเสียหน้าหนักมาก ต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้านที่ต้องนำเรื่องนี้ไปพูดคุยกันสนุกปาก คงไม่มีใครคิดว่า คนอย่างคุณานนท์จะถูกทิ้งกลางอากาศ ถูกทิ้งในวันสำคัญของชีวิตด้วย ไม่แค้นก็แปลก แล้วความแค้นทั้งหมดก็กำลังไปลงที่เจ้าสาวที่ไม่ปรารถนา “หลับสบายเลยนะ” เขาพูดเสียงต่ำ มองดวงหน้าหวานที่นอนหลับพริ้มบนเตียง “ตื่น!” คุณานนท์ตะโกนเสียงดัง เขาไม่เพียงแค่ส่งเสียงเรียกเธอ มือใหญ่คว้าผ้าห่มแล้วเหวี่ยงมันไปกองบนพื้น และนั่นทำให้เขาเห็นเรือนร่างสาวมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันกาย เสียงอันแผดดัง ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่กระทบผิวกาย ส่งผลให้ลัลณ์ลนินตื่น เธอเอี้ยวตัวมาทางด้านหลังแล้วต้องสะดุ้งตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นร่างสามียืนไม่มั่นคงนักริมเตียง “พี่กล้า” “แหม แต่งตัวรอให้ฉันมาเอาเธอเลยเหรอ รู้หน้าที่ดีนี่” น้ำเสียงติดอ้อแอ้ ทำให้เธอรู้ว่า เขากำลังเมา “ไม่ใช่ค่ะ ไม่ชะ...ว้าย!” ลัลณ์ลนินยังไม่ทันพูดจบประโยค คุณานนท์ก็โถมร่างดันร่างเล็กให้นอนลงบนที่นอน โดยมีร่างเขาทาบทับ “พี่กล้าลุกคะ ลุก” “ไม่ลุก” คุณานนท์ตอบเสียงดังฟังชัด “เธอลืมแล้วเหรอว่าเราแต่งงานกันแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่ที่เราจะมีอะไรกัน จริงไหม” ใช่ เขาพูดถูก ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าการแต่งงานมาจากความรักและความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย แต่นี่ไม่ใช่ งานวิวาห์ที่ทั้งเขาและเธอไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้น เรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าเกิดขึ้นเช่นกัน ยิ่งตอนนี้ด้วยแล้ว กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ฟุ้งตามร่างหนา เป็นอีกสัญญาณหนึ่งให้รู้ถึงความไม่ปลอดภัย “ไม่ค่ะ ไม่” ลัลณ์ลนินพูดด้วยความกลัว เธอกำลังกลัวคุณานนท์ ลางสังหรณ์บอกเธอว่า ตนเองกำลังไม่ปลอดภัย เธอดิ้นรนไปมา ดิ้นทั้งที่รู้ว่า หนีไม่พ้น

ดั่งมนต์ต้องใจ

ดั่งมนต์ต้องใจ

มหาเศรษฐี

5.0

ยามเกลียด...เกลียดเข้าไส้ ถึงเวลารักเมื่อใด...คำว่าหมดทั้งใจยังน้อยไป ......... “โอ๊ย!” เสียงร้องเจ็บดังขึ้น ปรียาพรถูกเหวี่ยงไปบนพื้นห้อง “เธอกล้ามากนะที่สวมเขาให้ฉัน ฉันอยากรู้เหลือเกินว่าเธอต้องการเงินอะไรหนักหนาถึงกลับไปรับงาน เงินที่เธอสูบไปจากแม่กับยายของฉันไม่พอหรือไง หรือว่าทนความร่านของตัวเองไม่ไหว ผู้หญิงอย่างเธอหิวเงินไม่พอ ยังหิวผู้ชายอีก ทุเรศที่สุด ฉันไม่น่าแต่งงานอีตัวอย่างเธอเลย” “เพี้ยะ” ความอดทนของมนุษย์มีขีดจำกัด ปรียาพรเป็นปุถุชนธรรมดาระงับความโกรธไม่ได้ ยิ่งเขามาดูถูกซ้ำๆ อย่างนี้ เธอจะไม่ทนอีกต่อไป ฟาดฝ่ามือลงบนแก้มยุรนันท์ แม้กลัวเขา แต่เธอก็ทำ “อย่ามาดูถูกกันให้มากนะ ถ้าฉันไม่ดี ฉันมันร่าน หิวผู้ชาย ไม่คู่ควรกับคุณ งั้นเราเลิกกัน พรุ่งนี้ไปหย่ากันที่อำเภอ แล้วต่างคนต่างไป จะได้ไม่ต้องทนอึดอัดกันอีก” ปรียาพรคิดว่าทางดีที่สุด ทว่ายุรนันท์ไม่คิดเช่นนั้น เขาคิดว่าเธอมีเป้าหมายใหม่ ถึงได้พูดขอหย่า กำแพงแห่งความโกรธที่ว่าสูงแล้ว ตอนนี้สูงมากขึ้นหลายเท่า ใบหน้าเขาแดงก่ำ ดวงตาลุกโชนด้วยแรงแห่งโทสะ มองปรียาพรอย่างดุดัน ก้าวเดินมาหาภรรยาด้วยท่าทางคุกคาม “เธอกับครอบครัวตั้งใจเข้ามากอบโกยเงินทองจากฉัน จัดฉากเรื่องคืนนั้น ทั้งที่เธอก็รู้เต็มอกว่าเราไม่มีอะไรกัน แต่เธอก็ไม่พูดแย้ง พ่อกับแม่เธอก็เอาแต่พูดว่าฉันต้องรับผิดชอบ ทั้งที่รู้เต็มอกว่า ผู้หญิงเน่าๆ อย่างเธอไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ นอนด้วยครั้งสองครั้งคงไม่สึกหรอเพราะผ่านงานมาโชกโชน ซึ่งเธอก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วจะมาพูดว่าฉันดูถูกเธอได้ยังไงห๊า” ยุรนันท์ตะเบ็งเสียงจนเธอตกใจ “ถ้าฉันไม่ดี เราก็เลิกกัน หย่ากันไปเลย” ปรียาพรคิดหาหนทางไม่ออกนอกจากวิธีนี้ เขาจะได้ไม่ต้องทนอยู่กับภรรยาที่คิดว่าเป็นอดีตโสเภณี เธอเองก็จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดซ้ำซาก “หย่าเหรอ” เขาทวนคำเสียงเย็น “ฉันหย่าแน่ เรื่องอื่นฉันพอยอมรับได้ แต่เรื่องสวมเขานี่ไม่ไหว แต่ก่อนหย่าฉันอยากลองสักครั้ง อยากรู้ว่าทำไมมีแต่ผู้ชายอยากดมดอกไม้เน่าๆ กันนัก แค่ฉันเดินผ่านก็จะอ้วกแล้ว ดอกไม้ไร้กลิ่นหอมอย่างเธอคงไม่ทำให้ฉันมีความสุขหรอก แต่ฉันก็อยากลอง” ยุรนันท์จ้องมองปรียาพรไม่วางตา นัยน์ตาเขามีพลังแห่งความโกรธมิเปลี่ยนแปลง ปรียาพรตกใจ หัวใจเธอเต้นแรงมาก คำพูดเขาไม่ต้องแปลความหมาย ยิ่งทำให้ความหวาดกลัวอาบทั่วจิตใจ อยากอธิบายให้ยุรนันท์เข้าใจ แต่ด้วยอารมณ์เขาตอนนี้พูดมากแค่ไหนก็คงไม่ฟัง ไม่เข้าไปในหู ทางเดียวคือต้องเอาตัวรอดออกจากห้องนี้ ทว่าความคิดเธอช้าไป... .... เป็นภาคต่อ ดั่งทรายต้องลมค่ะ

ดั่งทรายต้องลม

ดั่งทรายต้องลม

มหาเศรษฐี

5.0

ของบางอย่างมักเห็นค่า ในเวลาที่เสียมันไป .... “เปิ้ลจะมาอยู่บ้านหลังนี้ในฐานะเมียพี่อีกคนนะ” ความเจ็บช้ำที่พราวฟ้าได้รับน้อยไปใช่ไหม ปรินทร์ถึงได้โยนความรู้สึกนั้นเข้าจิตใจเธอมากขึ้น มันมากมายเสียจนพราวฟ้าคิดว่า ชาตินี้ทั้งชาติไม่รู้ว่าจะสลัดหลุดความร้าวรานใจได้หรือไม่ น้ำตาที่เพิ่งแห้งเหือดไปพักหนึ่ง ตอนนี้กำลังทำงานอีกครั้ง ไหลรินเป็นทาง ปรินทร์พูดออกไปแล้วก็นึกอยากตบปากตัวเอง เขาไม่ควรเอ่ยประโยคนี้เป็นประโยคแรก ควรเป็นคำพูดที่ทำให้ความเสียใจปัดออกไปจากหัวใจพราวฟ้ามากกว่า เขาไม่รู้สาเหตุว่า ทำไมปากเขาหนัก ขาตัวเองแข็งเช่นนี้ ได้แต่ยืนมองพราวฟ้าที่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร “ถ้างั้นทรายจะไปจากที่นี่ค่ะ” ไม่มีผู้หญิงคนไหนทนได้ ทนเห็นผู้หญิงอีกคนเข้ามาอยู่ในฐานะเมียน้อย แค่นี้เธอก็เจ็บปวดมากพอแล้ว “ทรายอยู่ที่นี่ไม่ได้ค่ะ ไม่ได้แม้วินาทีเดียว” ปรินทร์ตกใจไม่คิดว่าพราวฟ้าจะตัดสินใจเช่นนี้ หัวใจเขาหล่นตุ๊บ ใจหายกับประโยคที่ได้ยิน “มันยากนักหรือไงที่จะอยู่ด้วยกัน พี่ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร ต่างคนต่างอยู่ก็หมดเรื่อง เปิ้ลเป็นผู้ดีพอ ไม่มารังควานทรายหรอก” ปากหนอปาก พูดไปโดยไม่ทันคิดอีกแล้ว และไม่เคยคิดไตร่ตรองว่า วาจาที่เอ่ยออกไปสร้างแรงสะเทือนเกิดขึ้นในใจพราวฟ้าหนักมาก “สำหรับคุณอาจไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับฉัน มันคือเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตคู่ ไม่มีผู้หญิงคนไหนทนได้หรอกค่ะ คุณลองคิดกลับกัน ถ้าฉันพาผู้ชายมาอยู่ที่นี่อีกคนในฐานะผัวน้อย คุณจะรู้สึกยังไง ที่ฉันนอนกับคุณวันนึง นอนกับผัวน้อยวันนึง คุณคงมีความสุขมากสินะ” พราวฟ้าเถียงกลับ ปรินทร์นิ่งอึ้ง ตกใจ มองคนพูดนิ่ง พราวฟ้าเป็นคนไม่มีปากมีเสียง แทบจะไม่เถียงใครเลยทั้งสิ้น นับตั้งแต่อยู่กินกันมาวันนี้เป็นวันแรกที่เธอกล้าต่อปากต่อคำ และไม่หมดเพียงแค่นี้ “คุณเปิ้ลเป็นผู้ดีหรือคะ ผู้ดียังไงถึงได้ยอมเป็นเมียน้อยคนอื่น ผู้ดีจริงๆ เขาจะหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่ทำตัวต่ำ ไม่ทำให้ตัวเองโดนติฉินนินทา จะคิดทำอะไรต้องใช้สติคิด นี่ต่างหากค่ะที่เรียกว่าผู้ดี ฉันคงอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะฉันเป็นคนชั้นต่ำ ไม่เหมาะกับดงผู้ดี เชิญคุณอยู่กับคุณเปิ้ล ผู้หญิงที่คุณเลือก ส่วนฉันก็จะไปตามทางของฉัน” ปรินทร์อึ้งอีกรอบ เขามองเธอนิ่งงัน ไม่เพียงแค่พราวฟ้าตอบโต้กลับด้วยคำพูดเชือดเฉือน สรรพนามที่เรียกระหว่างกันก็เปลี่ยนไป มองพราวฟ้าที่เดินไปนั่งร้องไห้ริมเตียง “ก็ลองทำตามที่พูดสิ ฉันจะฆ่าเธอกับชู้ให้ตายคาที่เลย” ปรินทร์เสียงเข้มห้วน ความไม่พอใจคุกรุ่นในแววตา แค่จินตนาการว่าเธอมีความสัมพันธ์กับชายอื่น เขาก็แทบบ้า ความหึงหวงพล่านในอก “แค่ฉันพูดคุณยังโกรธ แต่คุณทำจริง คุณมีอะไรกับคุณเปิ้ลไม่พอ ยังพาเธอมาอยู่ที่นี่ แล้วคุณคิดเหรอว่าฉันจะทนได้ แล้วฉันก็ไม่ทนด้วย” พราวฟ้าพูดไปร้องไห้ไป “โธ่โว้ย! มันจะอะไรกันหนักหนา ทำไมเธอทนอยู่ที่นี่ไม่ได้ มันจะตายหรือไง” ปรินทร์หัวเสีย เมื่อเมียพูดไม่รู้เรื่อง ทำแข็งข้อใส่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “ฉันให้เธออยู่ที่นี่ก็บุญเท่าไหร่แล้ว อย่าเรื่องมากไปหน่อยเลย...รำคาญ” ปรินทร์กระแทกเสียงใส่ มองหน้าพราวฟ้าด้วยความไม่พอใจ เขาไม่คิดสักนิดเลยว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของพราวฟ้า ความผิดอยู่ที่เขาเต็มๆ “ฮือ...ฮือ” พราวฟ้าร้องไห้หนักขึ้น ไม่กลั้นน้ำเสียง เธอปล่อยโฮออกมาราวกับว่า ไม่อาจกลั้นความเจ็บช้ำน้ำใจที่โถมใส่ได้อีก ปรินทร์ไม่เพียงแค่ทำร้ายจิตใจพราวฟ้า เขาไม่ถนอมน้ำใจเธอเลยสักนิด พร้อมเหยียบย่ำความรู้สึกให้จมพื้นดิน ขยี้หัวใจสาวจนแหลกลานคาเท้า “แล้วก็เลิกร้องไห้ซะที น้ำตาไม่ได้ช่วยอะไรเธอหรอกนะ เห็นแล้วหงุดหงิด น่าเบื่อชะมัด” ปรินทร์หัวเสียหนักมากขึ้น เขาเดินออกไปจากห้องทันทีที่พูดจบ ราวกับว่าไม่อยากคุยกับพราวฟ้าต่อ เพราะเกรงว่าจะยิ่งพูดกันไม่รู้เรื่อง ค่อยกลับมาพูดใหม่หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างอารมณ์เย็นลง พราวฟ้าไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ย นอกจากน้ำตาที่รินไหลไม่หยุด คำสัญญาคำพูดของเขาที่ว่า ไม่คิดอะไรกับทิวาทิพย์มากไปกว่าเพื่อนก็ไม่ใช่ความจริง เขาเพียงแค่หลอกล่อให้เธอตายใจและเชื่อใจ ก่อนตลบหลังอย่างเจ็บปวดที่สุด ปรินทร์หมดรักเธอแล้ว หากยังมีความรักหลงเหลือ ปรินทร์จะไม่ทำเช่นนี้ มือเรียวสวยวางลงบนท้อง เธอลูบท้องเบาๆ ก้มหน้าลงบอกกล่าวกับอีกหนึ่งชีวิตในครรภ์ “พ่อไม่ต้องการแม่แล้ว เราไปอยู่กันสองคนนะลูก” เป็นการตัดสินใจอันแน่วแน่ของพราวฟ้า เมื่อเขาไม่เห็นค่า ไม่เห็นแก่ความรัก จะอยู่ให้ทุกข์ทรมานใจทำไม หากเธอไม่ดึงตัวเองออกจากความเจ็บปวด เธอก็ต้องจมอยู่กับความเสียใจไปตลอดชีวิต

เมียลับนายหัว

เมียลับนายหัว

มหาเศรษฐี

5.0

................ วินาทีที่ได้เห็นรอยยิ้มของลูกสาว หัวใจเขาเต้นแรงมาก ความรู้สึกหม่นเศร้า เคว้งคว้างท่ามกลางความหนาวเหน็บถูกปัดออกมาจากจิตใจจนสิ้นเมื่อได้พบหน้ากัญญาพัชรด้วยตาตัวเอง หนูน้อยวัยสี่ขวบเดินมาหาชายร่างสูงใหญ่ด้วยความรู้สึกที่บอกในใจว่า ต้องเดินไปหา “สวัสดีค่ะ มาหาใครคะ” เสียงหวานใสเหลือเกิน... สิงหนาทพูดอยู่ในใจเมื่อได้ยินเสียงแรกของลูกสาว เขาก้มมองดูเด็กหญิงหน้าตาราวกับตุ๊กตา ผิวขาวอมชมพู รูปร่างอวบน่าฟัดน่ากอด สวมใส่ชุดคอจีนสีขาวฟ้า ใบหน้าหนูน้อยชวนมองยิ่งนัก ตาโต แก้มป่อง ริมฝีปากแดงอมชมพู เขาย่อตัวลงให้ความสูงอยู่ระดับเดียวกับกัญญาพัชร “ขอกอดหน่อยได้ไหมครับ” สิงหนาทพูดกับลูกเสียงหวานมาก กัญญาภรณ์กับชุติมาสั่งสอนเสมอว่า อย่าเข้าใกล้คนแปลกหน้า ใครที่น้องขนมไม่รู้จักชวนไปไหนอย่าไป ให้กินอะไรก็อย่ากิน ซึ่งหนูน้อยเชื่อฟังมาตลอด ทว่าครั้งนี้กัญญาพัขรกลับละเมิดคำสั่งสอนมารดา “ได้ค่ะ” กัญญาพัชรกางมือออกไปทางด้านข้าง ยิ้มเต็มใบหน้า ราวกับว่าต้องการอ้อมกอดจากเขาเช่นกัน สิงหนาทไม่รอช้ารั้งร่างอวบของลูกสาวไว้ในอ้อมแขน กระชับแน่นประหนึ่งกลัวว่าร่างนี้จะสลายแล้วรู้ตัวว่า เขาอยู่ในความฝัน ไม่ใช่ฝัน...มันคือเรื่องจริง เนื้อนุ่มนิ่มที่เขากอด หัวใจของหนูน้อยที่แนบกับอก สิงหนาทรับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ ความอุ่นจากเรือนกายตอกย้ำว่า เขาได้พบลูกแล้ว น้ำตาเขาปริ่มขอบตาก่อนปล่อยมันลงมาเคลียแก้มอย่างไม่คิดจะกลั้น เป็นน้ำตาแห่งความดีใจ เป็นความดีใจที่รอคอยมานานสี่ปี คนเป็นพ่อค่อยๆ ดันร่างลูกสาว ลูบหัวหนูน้อยเบามือ “คุณลุนร้อนไห้ทำไมคะ โอ๋ๆ ไม่ร้อนนะคะ” สิงหนาทยิ้มกับคำพูดของลูกสาว แล้วยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อกัญญาพัชรกอดปลอด “ไม่ต้องร้อนนะคะ โอ๋ๆ” “ลุงไม่ร้องแล้วครับ ลุงไม่ร้องแล้ว ขอบใจน้องขนมนะครับที่ปลอบลุง” สิงหนาทปาดน้ำตาทิ้ง ยิ้มให้บุตรสาวสุดน่ารัก “แม่อยู่ไหมครับ แม่แพรน่ะครับ” “แม่ไม่อยู่ค่ะ” “แม่ไปไหนครับ” “แม่ไปหาผัวใหม่” เด็กวัยสี่ขวบตอบเสียงใส ยิ้มแป้น แต่คนได้รับคำตอบกลับยิ้มไม่ออก “ไปไหนนะครับ” สิงหนาทถามซ้ำ “แม่ไปหาผัวใหม่ น้ายูบอกว่าผัวเก่าแม่เฮงซวยค่ะ” น้องขนมตอบตามที่ชุติมาบอก ไม่รู้ความหมายในคำพูดที่เอ่ยออกไป โดยไม่รู้ว่า คำตอบของตนนั้นกำลังทำให้เสือร้ายโมโห “หนอย...ห่างผัวไม่กี่ปี ริอยากมีผัวใหม่ ฝันไปเถอะ” โรมานซ์

หนังสือที่คุณอาจชอบ

เจ้าสาวจำเป็นกับสามีเศรษฐี

เจ้าสาวจำเป็นกับสามีเศรษฐี

Edgar Reeves
4.9

แต่งงานกับนักเลงคนหนึ่งแทนพี่สาวและใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก แต่ไม่คิดว่าจู่ ๆ สามีก็พลิกตัวกลายเป็นมหาเศรษฐีลึกลับที่มีอำนาจล้นฟ้า?เจียงช่านพยายามบอกกับตัวเองว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เธอวิ่งกลับไปที่บ้านเช่าเล็ก ๆ นั้นและโผ่เข้าในอ้อมกอดของสามีและพูดว่า"พวกเขาบอกว่าคุณเป็นคุณฮั่ว จริงเหรอ?"เขาลูบผมเธอพลางพูดว่า"คนนั้นก็แค่หน้าตาเหมือนฉันเท่านั้นน่ะ"เจียงช่านรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย"คนนั้นน่ารำคาญมาก ยืนยันตลอดว่าฉันเป็นภรรยาเขา ที่รัก ช่วยจัดการเขาสักทีนะ"วันต่อมา คุณฮั่วปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนด้วยจมูกที่ช้ำและใบหน้าที่บวม "คุณฮั่ว นี่มัน?"มีคนหนึ่งอดถามขึ้นไม่ได้ เขายกยิ้มอย่างใจเย็น"ภรรยาสั่งให้จัดการ ผมจึงจำเป็นต้องลงมือหนักหน่อย"

คุณนายยอมหย่าแล้ว

คุณนายยอมหย่าแล้ว

Calv Momose
4.9

หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ