Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
หากมันเป็นไปได้(ดี)

หากมันเป็นไปได้(ดี)

PIMCHADA W.

5.0
ความคิดเห็น
16
ชม
14
บท

'ไข่มุก' หญิงสาวผู้แบกทุกอย่างรอบตัวเอาไว้บนบ่าเล็กๆ เพียงลำพัง พยายามอย่างหนักที่จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด พร้อมลากคนข้างหลังที่ต่อแถวกันยาวเป็นขบวนรถไฟให้ ไปด้วยกัน จนกระทั่งมาเจอเขา.. ชายแสนดี ที่เธอหลงรักอย่างหมด หัวใจ แต่แล้วจู่ๆ .. เขาก็หายตัวไปเฉยๆ ในวันที่เธอกำลังจะมี โอกาสได้มอบของขวัญที่ดีที่สุดแก่เขา มันเพราะอะไรกันแน่! โชคชะตาถึงต้องสาปเธอ ให้ต้อง พบกับการพลัดพรากและถูกทอดทิ้งเสมอ ในเมื่อชะตาชีวิตไม่เข้าข้าง เธอจึงตัดสินใจจะเป็นผู้ลิขิต มันขึ้นมาเอง

บทที่ 1 ถึงเธอที่ฉันจำได้ดี

เที่ยงคืนกว่าแล้ว ท้องฟ้าคืนนี้มืดสนิทไร้กระทั่งแสงของดวงดาว แต่ดวงตายังสว่างไม่มีวี่แววความรู้สึกง่วงเลยสักนิด

หญิงสาวร่างผอมบาง ในชุดนอนผ้ายืดตัวยาวสีครีม ผมดำขลับยาวสลวยถึงกลางหลัง นั่งอยู่ข้างเตียงเฝ้ามองเด็กชายคนหนึ่งกำลังนอนหลับสนิท เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ของโต๊ะเขียนหนังสือเด็กขนาดเล็ก และดูเหมือนจะเล็กลงไปอีกขณะที่ตัวของเธอนั่งลงไป

สายลมโชยแผ่วเข้ามาทางหน้าต่าง พร้อมกลิ่นของดินและหญ้าชื้นจากฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักเมื่อตอนหัวค่ำ

นานแล้วสินะ ที่ไม่ได้นั่งมองลูกตอนกำลังนอนหลับอยู่แบบนี้ เขาตัวโตขึ้นมากทีเดียวแขนขาของลูกยาวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอคิดพลางจ้องมองไปที่เด็กชายวัย 8 ขวบ นอนคุ้ดคู้ รวบผ้าห่มทั้งผืนเข้ามาก่ายเอาไว้ที่กลางลำตัวขณะหลับสนิท กลิ่นผ้าปูที่นอนซักใหม่ยังหอมอยู่เลยข้างตัวเด็กชายมีข้าวของส่วนตัวของเขาวางอยู่เกลื่อนกลาดทั่วเตียงไปหมด

หนังสือเล่มโปรดที่เธอซื้อให้ลูกอ่าน สามสหายผจญภัย ตอน เกาะมหาสมบัติ มีแผนที่สำหรับแล่นเรือตามล่าหาสมบัติทำจากกระดาษอาร์ตมันที่เต็มไปด้วยร่องรอยการใช้งานอย่างดุเดือด รอยพับของกระดาษลึกจนเกือบจะขาด ถัดออกไปมีเรือใบสีดำนอนตะแคงตัวอยู่อย่างทุลักทุเล มองเห็นเสากระโดงเรือสีแดงสด และสมอสีขาวที่เด็กชายประดิษฐ์เพิ่มขี้นมาเอง ผูกห้อยออกจากตัวเรือลำเล็กขนาดครึ่งฝ่ามืออยู่ด้วย

ฝ่ามือของสาวร่างบางลูบไปตามผ้าปูที่นอนนุ่มลื่นบนเตียงของลูกชายอย่างแผ่วเบา ไม่กล้าแตะถูกตัวลูกกลัวจะทำให้สะดุ้งตื่น

ช่วงเวลาอาหารค่ำของคืนนั้น ทั้งสองคนเพิ่งเปิดศึกใส่กันไปอย่างดุเดือด ทั้งที่น่าจะเป็นคืนที่แสนสุขสันต์ของแม่ลูกแท้ๆ เพราะคืนวันนั้นเป็นวันที่เธอได้มีโอกาสหยุดงาน อุตส่าห์เฝ้านึกภาพไปว่าลูกชายจะต้องดีใจสุด ๆที่จะได้ใช้เวลาก่อนนอนด้วยกัน อย่างที่ลูกร่ำร้องจากเธอมาโดยตลอด แต่มันกลับตาลปัตรไปหมด เพราะเหตุการณ์คืนนี้ แท้ ๆ ทำให้ลูกชายถอยห่างออกจากเธอไปอีกแล้ว

“ แม่ครับ วันจันทร์หน้าที่โรงเรียนมีให้ลงสมัครคัดเลือกเข้าทีมฟุตบอลอีกครั้ง ผมจะ เอ่อ .. ผมขอ .. เข้าคัดเลือกได้มั้ย ” ลูกชายวัย 8 ขวบ ถามแม่ด้วยเสียงแผ่วเบาแสดงความลังเลออกไปอย่างโจ่งแจ้ง ขณะวางช้อนไว้ตรงกลางจานข้าวที่พึ่งเริ่มต้นกินไปได้ไม่กี่คำ

“ เราคุยเรื่องนี้ .. ”

เธอหยุดแล้วสูดลมหายใจเข้า เพื่อสะกดกั้นอารมณ์ที่กำลังจะพุ่งปรี๊ดลงไว้ได้และพูดต่อ

“ กันหลายรอบแล้วนะ กับเรื่องเตะฟุตบอลอะไรนี่ มันไม่ช่วยอะไรกับอนาคตลูกได้หรอกนะ หวังว่าเราจะไม่ต้องคุยเรื่องนี้กันอีก ”

เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆแต่หนักแน่น เพื่อต้องการตอกย้ำถึงความหมายของคำทุกคำที่พึ่งพูดออกไป

“ แต่ผมอยากเตะฟุตบอล ไม่ได้อยากเรียนพิเศษตอนเย็นและเพื่อน ๆคนอื่น ” เขาหยุดชั่วขณะ “ แม่เขายังอนุญาต ”

“ .. ”

เด็กชายทนสะกดหัวใจที่เร่งเร้าของเขาต่อไปไม่ไหว

“ นะครับแม่ ผมอยากเป็นนักฟุตบอล ” น้ำตาเอ่อล้นที่ดวงตาทั้งสองข้าง เด็กชายพูดเสียงสั่นเครือขอร้องแม่จากใจจริง

“ ไม่ เลิกฝันได้เลย ” เธอตอบลูกชายไปแค่นั้น

“ แม่ ... เห็นแก่ตัว! ” เด็กชายในชุดเสื้อกล้ามสีขาวตัวโคร่ง กางเกงขาสั้นลายสมอเรือน้ำตาร่วงพรูออกมา จากเขื่อนที่พร้อมแตก รุดขึ้นยืนระเบิดคำพูดดังลั่น ลุกพรวดออกจากโต๊ะไป

“ .. ”

ใจจริงเธอโมโหมากที่ถูกลูกชายสาดอารมณ์ใส่เธอแบบนั้น นึกอยากฟิวส์ขาด เดินตามไปเอาเรื่องให้รู้แล้วรู้รอดไปบ้างเหมือนกัน

“ เห็นแก่ตัวงั้นหรอ ฉันเนี่ยนะ เห็นแก่ตัว! คนในครอบครัวนี้สมควรได้รับคำนี้กันทั้งนั้นแหละ แต่ไม่ใช่ฉัน ”

ภาพในหัว เธอเดินตามลูกชายขึ้นไปที่ห้องนอนบนชั้นสอง ทุบประตูและตะโกนสาดคำพูดที่อั้นอั้นใส่ลูกอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิด สะกดข่มอารมณ์ที่พุ่งพล่านร้อนผ่าวไปทั่วร่าง และสุดท้ายก็หยุดมันเอาไว้แค่ตรงนั้น โชคยังดีที่หยุดมันได้พระเจ้าช่วย

ช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลูกชายนั้นเปราะบางมากทำไมกันนะ เหมือนว่าเธอจะไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่อันอบอุ่นในหัวใจของลูกชายเธอได้อีกแล้ว มันเหมือนมีกำแพงขนาดมหึมาที่มองไม่เห็นมากั้นอยู่ระหว่างกัน ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และ ทำไม !

ทั้งๆที่เธอนั้นรักลูกยิ่งกว่าชีวิต รักยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น เฝ้าทุ่มเททำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อลูกชายของเธออย่างเต็มที่ แล้วมันเกิดผิดพลาดที่ตรงไหน

มันผิดที่เธอเป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกชายคนเดียว

หรือจริง ๆ.. เธอไม่ควรจะเป็นแม่คนเลยด้วยซ้ำ

มันทำให้เธอนึกหวนคิดไปถึงเด็กคนหนึ่ง เด็กที่เธอเคยปกป้องดูแลและรู้จักเป็นอย่างดี เด็กหญิงคนนั้นคือตัวของเธอเอง

เมื่อครั้งเป็นเด็ก ครอบครัวของเธอมีพี่น้องเยอะมาก นับรวมกันได้ถึง 8 คน เธอเองเป็นลูกคนที่ 2 ในสมัยนั้นไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไรผู้คนส่วนมากถึงนิยมมีลูกเป็นโขยง เรื่องนี้นึกถึงทีไรก็ไม่เคยหาคำตอบที่สมเหตุสมผลได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวของเธอ

พ่อและแม่ของเธอนั้น ไม่ได้ประกอบอาชีพอะไรเป็นหลักแหล่งแน่นอน ทำให้ความเป็นอยู่ภายในครอบครัวนั้นกระท่อนกระแท่น จำได้ว่าตอนนั้นแม้เธอจะยังเด็กแต่ก็รับรู้ได้ว่า บรรยากาศภายในบ้านมันเหมือนมีมวลเมฆหมอกอะไรซักอย่างที่หนักอึ้ง วนเวียนลอยอยู่เป็นประจำ พ่อและแม่ของเธอก็ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกคือพ่อไม่ลงลอยกับแม่ฝ่ายเดียวมากกว่า และพ่อก็ยังชอบที่จะลงไม้ลงมือกับแม่เสมอ

พ่อของเธอเป็นช่างรับเหมาก่อสร้าง อาจฟังดูหรูหรา แต่เขาไม่ได้เป็นนายช่างใหญ่อะไร เครื่องไม้เครื่องมือส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีเป็นของตนเอง พ่อเป็นเพียงผู้รับจ้างที่รับงานได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ตามที่จะสามารถหาเช่าเครื่องมือได้เท่านั้น ส่วนแม่ของเธอทำขนมขาย ช่วยจุนเจือครอบครัว ขนมของแม่เป็นขนมแบบโบราณที่ใช้วัตถุดิบเพียงน้อยอย่าง แต่ก็สามารถทำขนมออกมาได้อร่อยไม่เหมือนใคร จำได้ว่าบ่อยครั้งตอนที่เธอยังเล็กแม่มักจะหอบหิ้วเอาเธอไปขายขนมด้วย ทำให้รู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวสถานที่แปลกใหม่อยู่เสมอ เพราะแม่จะเปลี่ยนที่ขายขนมอยู่ตลอด แม่เล่าว่าขนมของแม่กำไรน้อย ถ้าเช่าที่ประจำคงจะจ่ายไม่ไหว ช่วงไหนกำลังทำท่าจะขายดี เป็นธรรมดาเจ้าของที่เขาก็อยากได้ส่วนแบ่งเป็นค่าเช่าที่ แต่แม่ไม่ยอมจ่ายก็เลยต้องย้ายที่ขายไปเรื่อยอีก รายได้ของครอบครัวก็เลยเรียกได้ว่า เป็นเพียงเส้นด้ายบาง ๆ เท่านั้นเอง

วันไหนแม่เธอขายขนมดีแม่จะกลับบ้านเร็ว เด็ก ๆก็จะได้กินข้าวกันเร็วขึ้นและอาจโชคดีได้กินขนมเป็นของแถม ทำให้เด็ก ๆดีใจครื้นเครงกันมากเป็นพิเศษ

แต่ถ้าวันไหนแม่กลับช้าแสดงว่าขายไม่ค่อยดี นั่นแปลได้ว่า เด็ก ๆ เข้านอนกันได้เลยไม่ต้องรอแม่ พวกเธอและพี่น้องก็ต้องกินของเท่าที่มีเหลืออยู่ในบ้านพอประทังความหิวไปก่อน

สมัยนั้นที่พักอาศัยของครอบครัวเธอเป็นใต้ถุนบ้านของยาย บ้านยายหลังนั้นเป็นบ้านไม้ริมคลองใต้ถุนสูง ตรงส่วนที่เป็นพื้นดิน ว่าง ๆ โล่ง ๆข้างล่างบ้านยายนั่นแหละที่ครอบครัวของเธอเข้ามาขออาศัยอยู่ เหตุที่ต้องอยู่ใต้ถุนบ้านยายนั้นก็อาจจะเป็นเพราะ สมัยสาว ๆแม่หนีตามพ่อไปทั้งที่ถูกผู้ใหญ่ห้ามปราม สุดท้ายก็กลับมาตายรังแถมยังหอบลูก ๆตามมากันเป็นพรวน พ่วงลูกเขยจำเป็นที่ไม่มีใครชอบหน้าเลยซักคนกลับมาอีกด้วย ความโกรธคงผสมรวมเข้ากับความผิดหวังชอกช้ำของยาย จึงเป็นผลมัดรวมให้พวกเราทั้งหมดสามารถพักอาศัยอยู่ได้แค่ใต้ถุนบ้านเท่านั้น

ในช่วงที่เธอเองยังเล็ก เป็นธรรมดาที่เธอจะไม่รับรู้ถึงเรื่องความลำบากขัดสนใดของครอบครัว ในความคิดของเธอก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติของครอบครัวทั่วไปที่ไหน ๆก็คงเป็นแบบนี้ ขอเพียงได้อยู่ด้วยกันกับพ่อและแม่ ได้วิ่งเล่นกับพี่น้องของเธอเองนั้นคือความสุขที่ยิ่งใหญ่มากแล้วของเด็กหญิงตัวน้อย

จนถึงวันที่สมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้นทีละคน จาก 5 คนกลายเป็น 6 และแม่ก็มีน้องเพิ่มขึ้นมาให้อีกเรื่อย ๆ

ในที่สุด ความจำเป็นก็บังคับให้เธอและพี่สาวต้องออกไปทำงานนอกบ้านทั้ง ๆที่ยังเด็กกันอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่ากี่ขวบกันแน่จำได้แต่ว่าอยู่ชั้นประถมต้น และงานที่ว่านี้ก็คือ การออกไปตามตลาดไปเก็บผักและผลไม้ที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้า เขาคัดทิ้งเพราะมันช้ำแล้ว ขายไม่ได้แล้ว

“ แต่มันยังกินได้นะ เอามาตัดตรงที่มันช้ำออกแล้วล้างให้สะอาดก็แค่นั้นแหละ ” แม่พูดกับเธอและพี่สาวของเธอเสมออย่างน้อยก็ยังได้เอาไปแบ่งกันกิน ชีวิตพวกเราก็ดำเนินไปแบบนี้เป็นประจำ

บางทีเด็กหญิงก็ไปเป็นเด็กรับรถตามลานจอดรถ ที่เปิดให้คนทั่วไปสามารถเข้าจอดได้ฟรี เธอจะไปนั่งเฝ้ารถคันแล้วคันเล่า ให้กับผู้คนที่นำรถเข้ามาจอด ทั้ง ๆที่ไม่ได้มีหน้าที่นี้เลยแต่คนในละแวกนั้นต่างก็เอ็นดูเด็กน้อยที่ขยันขันแข็งวิ่งไปวิ่งมา ท่าทางไม่สนใจความร้อนแรงของแสงแดดที่แผดเผาในตอนกลางวันแต่อย่างใด

เด็กหญิงตัวน้อยตั้งหน้าตั้งตารับรถด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา อาจเป็นเพราะเธอไม่เคยสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ผู้ใดเลย พวกผู้ใหญ่ละแวกนั้นจึงปล่อยผ่านไปแบบเลยตามเลย

เมื่อมีผู้คนที่มาจอดรถเห็นเด็กน้อยทำท่าโบกไม้โบกมือรับรถให้อย่างขะมักเขม้น แถมยังไปนั่งเฝ้ารถให้ตอนเจ้าของเขาจอดรถทิ้งไว้ นั่งจุ้มปุ๊กรอ จนบรรดาเจ้าของรถเขาไปทำธุระเสร็จ แล้วกลับมาเอารถนั้นแหละ เธอจะรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยท่าทางกระตือรือร้นเสียเต็มที

“ หนูไม่ได้ไปไหนเลยนะคะ หนูเฝ้ารถให้พี่ตลอดเลยค่ะ ” เธอฉีกยิ้มกว้าง ๆให้ ส่งเสียงเล็กเจื้อยแจ้วสดใส มองตาแป๋วเป็นประกาย

“งั้นหรอ ขอบใจมากนะจ้ะเก่งจังเลย” หญิงเจ้าของรถคันหนึ่งหัวเราะในความไร้เดียงสา พูดรับคำเด็กน้อยพร้อมหยิบยื่นเศษเหรียญให้เป็นน้ำใจ

“ ขอบคุณค่ะ” เด็กหญิงฉีกยิ้มให้กว้างกว่าเก่า ตาหยีเล็กจนแทบจะปิด รีบยกมือไหว้ย่อขาทำท่ากระดกตัวน่าเอ็นดู ยื่นมือไปรับเหรียญนั้นมาเก็บใส่กระเป๋ากางเกงตัวหลวม ที่แย่งกันใส่กับพี่สาวเป็นประจำกางเกงนำโชคจริง ๆเลย เธอยิ้มแป้น

และ นั่นแหละ อีกงานของเธอ

วันไหนที่เธอได้เหรียญมาเยอะจากการเฝ้ารถ ที่ไม่ได้มีใครเขามอบหน้าที่ให้เลย ( เพราะมันไม่มีหน้าที่นี้ต่างหาก ) ในวันนั้นมื้อเย็นของเธอกับพี่น้องก็จะอิ่มหนำสำราญกันเป็นพิเศษ

หากมีบางวันที่ไม่ได้ไปรับรถที่ลานจอดจะด้วยเหตุอะไรก็ตาม เธอและเหล่าบรรดาพี่น้องก็จะต้องรอแม่กลับจากการขายของ ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตามเคยเพราะแม่ไม่เคยกลับตรงเวลาเลยในแต่ละวัน บางวันกว่าแม่จะมามันก็ช่างดึกดื่นเกินกำลังที่เด็ก ๆจะรอไหว

ช่วงไหนที่พ่อของเธอไม่มีงานจ้างอยู่ว่าง ๆ ซึ่งดูเหมือนจะบ่อยเลยทีเดียว พ่อมักจะดื่มเหล้าจนเมาหนักตลอด ช่วงนั้นแหละที่บรรยากาศภายในบ้านที่ว่ามันแปลกจะเกิดขึ้นเสมอ มันเหมือนกำลังจะมีพายุหรือมวลอะไรซักอย่างที่มองไม่เห็น ค่อย ๆก่อตัวขึ้นภายในบ้านและพร้อมจะพัดทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหูขวางตาพ่อ แม้กระทั่งใครบางคนในหมู่พวกเราเผลอร้องเพลงขึ้นมา ก็ยังไม่ได้เลย

น้องสาวของเธอคนหนึ่งเคยเผลอร้องเพลงออกมาตอนพ่อกำลังเมาได้ที่ พ่อออกคำสั่งเรียกให้น้องมานั่งร้องใกล้ ๆ แล้วต้องร้องเพลงไปเรื่อย ๆห้ามหยุดร้องเด็ดขาด แต่น้องไม่ยอมร้องเพลงต่อคงจะด้วยความตกใจกลัว วันนั้นพ่อเลยเขวี้ยงแก้วเหล้าแตกกระจาย กลายเป็นว่าพวกเราพี่น้องร้องไห้กันระงมแทน

การที่พ่อของเธอเมาหนักตลอด ถ้าแม้มีเรื่องไม่พอใจเล็กน้อยแค่ไหนกับแม่เรื่องราวมักจะลุกลามบานปลายถึงขั้นตบตีแม่ของเธออยู่เสมอเท่าที่จำความได้ แม่ผู้ไม่เคยต่อกรกับสามีของตัวเองเลยสักครั้ง ก็ปล่อยให้เขาตีอยู่อย่างนั้นไม่ยอมเลิกราสักที

นั่นเองที่ดวงใจดวงน้อย ๆของเด็กหญิงเริ่มมีความรู้สึก รังเกียจมนุษย์ผู้นั้นเหลือเกิน มนุษย์ผู้ที่เธอเรียกว่า .พ่อ. และมันก็เริ่มมากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ

“ หนูไม่เข้าใจแม่เลย ว่าแม่จะทนให้พ่อตีแม่ทำไม ” เด็กหญิงเฝ้าถามแม่ของเธออยู่หลายครั้ง และก็เหมือนเดิมทุกครั้ง

แม่ไม่เคยตอบอะไรกลับมาเลย ..

มีครั้งนึงที่แม่ตัดสินใจย้ายออกจากใต้ถุนบ้านของยาย เพราะพ่อของเธอไม่ยอมกลับบ้าน แถมบอกด้วยว่าไม่อยากที่จะกลับมาอยู่ที่นี่อีกแล้ว มันก็คงจะมีหลายเหตุผลที่พ่อตัดสินใจแบบนั้น สุดท้ายแม่ก็เลือกจะหอบลูก ๆย้ายออกตามพ่อไป แต่คำว่า’ลูก ๆ’ของแม่กลับไม่ได้รวมเธออยู่ในนั้น แม่เลือกทิ้งเธอเอาไว้ที่บ้านยายเพียงคนเดียว

เหตุผลที่แม่ให้กับเธอนั้น สำหรับเธอช่างเป็นเหตุผลที่ตลกร้ายจริง ๆ แม่บอกเธอว่า

“เพราะหนูเป็นเด็กดี และฉลาดกว่าพี่น้องคนอื่น ๆมีหนูคนเดียวที่สามารถเอาตัวรอดได้ และที่นี่ก็เป็นบ้านยายไงล่ะ” แม่บอกเธอง่าย ๆแค่นั้นเอง

“ เหตุผลบ้าบออะไรของแม่ ... เป็นเด็กดีเพื่อแม่จะได้ทิ้งหนูไปงั้นหรอ ”

เธอเสียใจมากร้องไห้ไม่หยุด โกรธทุกสิ่งทุกอย่างและเกลียดแม่ของเธอด้วยที่ทิ้งเธอไว้ที่บ้านยายคนเดียว

จริงอยู่ที่ยายไม่ได้ใจร้ายอะไรกับเธอเลย ให้ที่อยู่ ที่กิน แต่เธอไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น และถึงยังไงอยู่กับยายเธอก็ต้องหาเลี้ยงตัวเองเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนเดิมอยู่ดี แต่สิ่งที่มันสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด คือเธอต้องการอยู่กับแม่กับพี่น้องของเธอเท่านั้น

ถึงที่สุดแล้วโวยวายร้องไห้ไปก็ต้องหมดแรงเปล่า เพราะแม่ไม่สนใจเลยยังไงก็ทิ้งเธอไปอยู่ดี

.. ‘ทำไมต้องเป็นเธอคนเดียว’ เด็กหญิงเฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาด้วยหัวใจที่แสนปวดร้าว

เย็นวันหนึ่งหลังจากกลับจากโรงเรียน ช่วงเวลาโพล้เพล้ดวงตะวันใกล้จะลับไปแล้ว ทั่วท้องฟ้าเหมือนถูกป้ายด้วยสีแดงคล้ำ ๆเมฆสีดำกำลังเริ่มคืบเข้ามา เด็กหญิงในชุดนักเรียนสวมเสื้อตัวโคร่ง กระโปรงยาวเกือบครึ่งหน้าแข้ง นั่งห้อยขาอยู่ตรงชานพักริมคลองหลังบ้านพลางจ้องมองสายน้ำที่ถูกลมพัดไหว เป็นระลอกคลื่นน้อย ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า แสงอาทิตย์สลัวลงแล้วตอนนี้ความมืดเริ่มจะเข้ามาแทนที่อีกครั้ง ช่วงเวลานั้นแหละจะเป็นช่วงเวลาที่ ..

คิดถึงแม่ที่สุดเลย ..

“ หนูคิดถึงแม่ แม่อยู่ที่ไหน ทำไมถึงทิ้งหนูอยู่ที่นี่คนเดียว หนูเกลียดแม่ที่สุด เกลียดพี่และน้องทุกคน ”

เมื่อความรู้สึกที่มีท่วมท้นจนเต็มอก น้ำตาอุ่นๆก็ไหลพรากลงมาที่สองแก้มนิ่มของเด็กหญิงน้อยผู้โดดเดี่ยว

“ แต่หนู .. ฮือออ .. หนูก็รักแม่ คิดถึงแม่ที่สุด คิดถึงพี่คิดถึงน้องทำไมทุกคนได้อยู่กับแม่ ทำไม ฮือออ ..”

เธอบอกกับตัวเองว่าวันหนึ่งข้างหน้าถ้าเธอมีลูก ไม่ว่าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดเธอจะไม่มีทางทิ้งลูกไปไหนอย่างเด็ดขาด เธอได้ตั้งปณิธานไว้กับตัวเองอย่างแรงกล้า เพราะเธอรู้ดีว่ามันสร้างความเจ็บ ปวดทุกข์ทนในใจของเด็กคนหนึ่งเอาไว้มากมายแค่ไหน

นานหลายปีทีเดียว ที่ชีวิตของเธอต้องดำเนินอยู่แบบนั้น จนถึงวันที่เธอเรียนจบมัธยมต้นมาอย่างทุลักทุเล และอายุครบ 15 ปี วันหนึ่งเธอมีความคิดว่า.. หากเธอสามารถย้ายออกจากบ้านยายไปหางานทำแบบจริงจังและเริ่มต้นใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้คงจะดีไม่น้อย ถ้าเธอหาเงินได้เยอะๆแม่อาจจะอยากเอาเธอไปอยู่ด้วยก็ได้ หากมันเป็นแบบนั้นได้ .. คงจะดี

ด้วยความที่เธอเองทำงานตั้งแต่เล็ก ๆ ดูแลตัวเองได้มาโดยตลอด เธอจึงไม่คิดมากหรือมีความกังวลใจใด ๆ ที่จะบอกลายายและน้า ๆ เพื่อขอย้ายออกจากบ้านไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง ออกไปหางานทำเป็นเรื่องเป็นราวกว่าที่ทำอยู่นี้ ถ้าเป็นบ้านอื่นคงจะผิดวิสัยที่เด็กผู้หญิงขอออกจากบ้านเพื่อไปหางานทำ เกิดไปพูดแบบนี้เข้า น่าจะโดนเทศนาจนหูชาหรือไม่ก็โดนด่าชุดใหญ่แน่ แต่อย่างไรซะก็ไม่ใช่ที่นี่ อย่างไรซะก็ไม่มีใครจะส่งเสียให้เธอได้เรียนต่ออยู่แล้ว จึงไม่มีใครคัดค้านเลยซักคน

เริ่มแรกที่คิดจะไปสมัครงานในขณะที่มีอายุแค่นั้น

“ มันจะมีงานอะไรบ้างนะที่จะทำให้ได้เงินเร็ว ๆ แถมต้องมากพอที่จะใช้เรียนหนังสือด้วย ใช้กินอยู่ด้วย ” เธอสั่งสมองในส่วนการเอาตัวรอดของเธอให้เริ่มแสกนหาทันที

ยุคสมัยนั้นเด็กสาววัยแรกรุ่นเช่นเธอ ถ้าคิดจะหารายได้ในขณะ ที่ตัวเองก็ยังไม่มีวิชาชีพอะไรเลย มันก็มีอยู่ไม่กี่ทางเลือกนักหรอกและเส้นทางที่สมองส่วนการเอาตัวรอดของเธอแสกนได้ในเวลานั้นก็คือ เธอจะใช้พรสวรรค์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เด็กนั่นแหละทำงาน แม้มันจะน้อยนิดแค่ไหนก็ต้องลองดู

เธอมีน้ำเสียงที่ไพเราะและมีเอกลักษณ์ ใช่! .. แม่บอกเธออย่างนั้นเสมอ และใครต่อใครก็ชอบขอให้เธอร้องเพลงให้ฟังอยู่บ่อย ๆ สมัยเด็กเธอยังเคยยืนร้องเพลงคนเดียวแบบไม่อายใครเลย เวลามีงานเทศกาลแถมมีคนใจดีหย่อนเศษตังใส่กระป๋องให้อีกต่างหาก ถึงจะเป็นเพียงเงินเล็กน้อยแต่เด็กหญิงตัวน้อยในตอนนั้นก็ดีใจมากเหลือเกิน ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็คงประมาณเปิดหมวกของพวกศิลปินอิสระนั่นแหละ

เมื่อทางเลือกที่มีน้อยนัก เด็กสาวจึงตัดสินใจไปสมัครร้องเพลงที่ร้านอาหารกึ่งบาร์แห่งหนึ่งในย่านการค้าใจกลางเมืองหลวง ถนนแถวนั้นมีร้านประเภทนี้ตั้งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด แน่นอนมันไม่ถูกกฎหมายหรอกและไม่ง่ายเลยด้วย สำหรับเด็กสาวที่ยังไม่เดียงสาอย่างเธอจะมาทำงานเป็นนักร้องกลางคืนในร้านสไตล์นี้

แต่ถึงอย่างไรเสียเธอก็ได้งานนั้น

“ นี่เรื่องจริงใช่มั้ยเนี่ยย .. ได้งานแล้วงั้นหรอ คงจะเป็นช่วงขาขึ้นกับเขาบ้างแล้วใช่มั้ย ”

ดีใจจนอยากตะโกนออกมาให้ลั่นเลย อยากจะออกแรงกระโดดให้สูงสุด ๆจะได้ระเบิดความดีใจที่มันท่วมท้นอยู่ในอก แต่เรื่องจริงทำได้เพียงยืนมองตาปริบ ๆ สงบปากสงบคำ แล้วรีบยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าของร้านทั้งสองคน

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ