Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
Theory ล้อมรัก ละลายใจ

Theory ล้อมรัก ละลายใจ

siree/evavy

5.0
ความคิดเห็น
18
ชม
10
บท

She said : ฤดูหนาวหรือท้องฟ้าเหรอที่ปืนชอบอะ He said : พริกหวาน She said : ฮะ? He said : ชอบพริกหวาน Reader : Oops . หากใครกำลังมองหานิยายเนื้อเรื่องเข้มข้น เน้นหนักในเรื่องราวที่ลึกลับสลับซับซ้อน ซ่อนปม ซ่อนเงื่อน กลิ่นดราม่าโชยแรงมาแต่ไกลต้อง… ‘T h e o r y ล้ อ ม รั ก ล ะ ล า ย ใ จ’ สายหวาน พาฝัน กุ๊กกิ๊ก ละมุนละไม เบาสมอง ฟีลกู๊ด อ่านง่ายมาก ๆ อ่านแล้วอารมณ์ดี มีแต่รอยยิ้ม ไม่เชื่อลองอ่านดูสิคะ ไม่แน่ว่าอ่านแล้วคุณอาจจะตกหลุมรักปืนสุดหล่อกับพริกหวานสุดน่ารักเข้าโดยไม่รู้ตัว . “วันนี้มีดาวเคียงเดือน” “ดาวเคียงเดือน?” ผมเลิกคิ้ว เห็นท่าทางตื่นเต้นของพริกหวานจากหางตาเลยอดที่จะยิ้มเอ็นดูไม่ได้ และก่อนที่ผมจะเอ่ยปากถาม ว่าดาวเคียงเดือนที่ว่ามันคือละครหรืออะไร ริมฝีปากอวบอิ่มจิ้มลิ้ม ที่เงียบเสียงไปหลังจากแยกย้ายกับพวกไอ้เข้มที่ลานจอดรถเมื่อประมาณสิบนาทีที่แล้วก็ชิงขยับเพื่อขยายความ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เท้าผมต้องแตะเบรกเพราะข้างหน้าเป็นสัญญาณไฟแดงพอดี คันแรกที่ติดเลยกู ผมเท้าข้อศอกข้างขวาตรงประตู ตามองจ้องอยู่ที่ตุ๊กตาหน้ารถถามว่าตอนนี้อารมณ์ขุ่นมัวของผมหายไปหรือยัง คำตอบคือมันยังอยู่ แต่เจือจางลงมากแล้วล่ะ โมโหเองหายเอง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผมโมโหแทบตาย เชื่อไหมผมตกอยู่ในอาการนั้นเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้ตั้งแต่นำพาชีวิตมาคลุกคลีอยู่กับพริกหวานน้อย เธออยู่เฉย ๆ ก็สามารถ ทำผมบ้าได้ “ดาวเคียงเดือน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระจันทร์ยิ้มไง ปืนรู้จักใช่ไหม เมื่อกี้เค้าอ่านเจอในเฟซบุ๊ก บอกว่าค่ำวันนี้จะมี เค้าอยากดูมากกกก” ผมพยักหน้า ร้องอ๋อ แล้วเอนตัวไปข้างหน้ามองดูท้องฟ้าที่เริ่มถูกความมืดกลืนกินด้วยความสนใจ “แล้วเราจะเห็นปรากฏการณ์นั้นได้ตอนกี่โมงอะดื้อ” ดาวเคียงเดือนคือปรากฏการณ์ที่ดาวศุกร์ ดาวพฤหัสบดี และดวงจันทร์โคจรเข้ามาใกล้กัน โดยดวงจันทร์จะหงายอยู่ด้านล่างของดาวอีกสองดวง สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สาเหตุที่เรียกว่าพระจันทร์ยิ้มก็เพราะมีลักษณะคล้ายใบหน้าคนกำลังยิ้ม จำได้เพราะเคยอ่านมา “ตามที่ข่าวบอก เราจะเห็นกันช่วงหัวค่ำ กินเวลาไม่นาน” “งั้นก็ต้องจับตาดูให้ดี” “ใช่ แต่ปืนจ๋า ช่วยพาเค้าไปส่งที่หอเลยได้ไหมอะ เค้าไม่อยากแวะที่ไหนอีกแล้ว” เสียงอ้อนอ่อนหวานเรียกปืนจ๋าของสาวตาใสแจ๋วและปากจู๋ ๆ ของเธอเรียกรอยยิ้มจากผม อดใจไม่ไหวต้องยื่นมือออกไปประคองซีกแก้มเนียนนุ่มไม่ต่างจากผิวเด็กทารกแรกเกิด ผมเกลี่ยคลึงเบา ๆ ด้วยปลายนิ้วหัวแม่มือ เล่นนุ่มนิ่มซะขนาดนี้จะไม่ให้อยากทะนุถนอมได้ยังไง “แต่ปืนยังไม่อยากแยกกับดื้อเลยทำไงดีล่ะ” ผมพูดเสียงเบา ก้มหน้าลงไล้ปลายจมูกเชิดรั้นอย่างหยอกล้อ ขณะเดียวกันก็ซึมซับกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากร่างบางไปด้วย พอได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันผมก็เกิดความโลภ อยากยืดเวลาออกไปอีก อยู่กับเพื่อนถึงตอนต้องแยกคือแยก ไม่มีความอาลัยอะไรหรอก แต่กับผู้หญิงคนนี้ผมดันอยากให้เวลา มีมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ต้องพูดคุยอะไรกันก็ได้ ขอแค่นั่งมอง นอนมอง #ดื้อของปืน

บทที่ 1 Intro

“สวัสดี...เราชื่อปืน”

ฉันขมวดคิ้ว ร้องหืมในลำคอแล้วรีบเงยหน้า ละสายตาจากหนังสือที่เปิดกางทิ้งไว้ด้วยความงงงวยถึงขีดสุด คือที่เงยหน้าเนี่ยต้องการจะมองให้แน่ใจว่าตัวเองคือคนที่ถูกใครก็ไม่รู้พูดสวัสดี ใส่พร้อมทั้งบอกชื่อที่เดาว่าคงเป็นชื่อเล่นของเขาคนนั้นจริง ๆ ใช่ไหม ผลปรากฏว่าใช่จริง ๆ นั่นแหละ

เขาพูดกับฉันว่ะ

เพราะตรงนี้นอกจากฉันกับผู้ชายที่บอกว่าตัวเองชื่อปืนก็ไม่มีใครแล้วล่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะร้างผู้คนไปซะทีเดียว เพื่อนนักศึกษาร่วมสถาบันคนอื่น ๆ ที่มาอาศัยนั่งอ่านตำรา ค้นข้อมูล ประกอบการทำการบ้าน ทำรายงาน ใช้บริการหอสมุด ณ บริเวณโซนชั้นสามเวลานี้ต่างเลือกที่จะนั่งโต๊ะที่อยู่ห่างกันออกไปเพื่อความเป็นส่วนตัวกันแทบทั้งนั้น รวมถึงตัวฉันเองด้วยที่ต้องการความสงบในการค้นตำราเปิดหาข้อมูลทำรายงานส่งอาจารย์อิทตย์หน้า ซึ่งถ้าเป็นช่วงตอนพีคอย่างตอนกลางวันน่ะเหรอ แค่มีที่ว่างให้อาศัยนั่งหลบร้อนระหว่างรอเรียนช่วงบ่ายบ้างก็นับว่าดีแล้ว

และคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวหลังลอบสำรวจอยู่เงียบ ๆ คือ

เราเคยรู้จักกันไหมนะ ?

เคยรึเปล่า ?

ฉันมุ่นคิ้วพลางเอียงคอเล็กน้อยเพื่อมองผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งออร่าฟุ้งกระจาย ละสายตาได้ยากยิ่งตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเค้าโครงใบหน้าแสนเพอร์เฟค ทรงผม คิ้ว ตา จมูก ปาก ขณะเดียวกันก็พยายามนึกย้อนเรื่องราวความทรงจำในอดีตประกอบไปด้วย แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกสักทีว่าคนลักษณะท่าทางแบบนี้ หน้าตาอย่างนี้ฉันเคยเจอที่ไหนมาก่อนหรือไม่ คือมันไม่มีแวบเข้ามาในหัวทั้งชื่อ ทั้งเค้ารางใด ๆ ดังนั้นฉันขอสรุปไปเลยละกันว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ส่วนคำถามต่อมาก็คือ…

ทำไมเขาหล่อจัง ?

ซึ่งเอิ่ม...ดูเหมือนว่าคำถามนี้ของฉันมันจะไม่ใช่คำถามที่จะหาคำตอบได้ง่ายเท่าไรเนอะ อาจต้องเจาะลึกไปถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้อง กระทั่งเหล่าบรรพบุรุษตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาเขาเลยว่าความหน้าตาดีนี้มีที่มาอย่างไร แต่ช่างคำถามไร้สาระของฉันเถอะ เอาเป็นว่าด้วยความน่าสนใจแบบมึน ๆ ชวนให้เกิดความสับสน และงงงวยชนิดหนักมากของปืนนี่แหละ สองลูกตาของฉันจึงยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าเนียนใสเขาคล้ายถูกตอกตรึงเอาไว้ด้วยตะปูแน่นหนา กว่าจะขยับปากเปล่งเสียงออกมาเบา ๆ แก้เก้อเมื่อรู้สึกตัวว่าจ้องจน ‘เกินงาม’ ได้ก็นานพอสมควร

“เอ่อ...สวัสดีค่ะ” คือนอกจากฉันจะเริ่มทำตัวไม่ถูก สีหน้าท่าทางค่อนไปทางเลิ่กลั่กเกินเบอร์แล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องรู้สึก เขินแบบแปลก ๆ กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยเจอด้วย งงตัวเองอะ เขาเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจอะไรในตัวอะไรสักหน่อย ก็แค่ ‘จ้อง’ หน้ากลับคืน ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการความช่วยเหลือจากฉันหรือว่าต้องการอะไรด้วยนะ ณ จุดนี้

และชั่วอึดใจกับการทนต่อสายตาที่จ้องมองมาคล้ายกำลังรออะไรสักอย่างจากฉัน ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่สามารถตีความหมาย หรือนั่งทางนัยหาคำตอบให้ตัวเองได้ว่าที่ปืนจ้องมาเนี่ยต้องการอะไร มันเลยเป็นเหตุให้ฉันมโนเอาเองแบบมั่นหน้า มั่นโหนก และมั่นใจว่าเขาคงรอให้ฉันแนะนำตัวกลับล่ะมั้ง และในจุดนี้แหละความลังเล มันเลยบังเกิด

เอ๊ะนั่น เอ๊ะนี่ คิดว่าจะดีหรือไม่ดี ที่ว่าทักเนี่ยมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงในใจรึเปล่า ถึงจะเป็นคนสถาบันเดียวกันก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ทุกคนนะ คือยิ่งคิดเยอะความคิดมันยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่ พอลองหลับตาตั้งสติ สงบจิต สงบใจ และบวก ลบ คูณ หารในใจฉบับรวบรัดเสร็จสรรพก็ได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คิด คงไม่เสียหายอะไรหรอกก็แค่บอกชื่อเล่นเอง ฉันสบตาปืนแวบหนึ่งก่อนจะขยับปากพูดอีกครั้งหลังทิ้งช่วงไปพักใหญ่

“เราชื่อพริกหวานนะ”

“อืม...พริกหวาน”

ปืนทวนชื่อฉันในลำคอพลางพยักหน้าหงึกหงักเชิงรับรู้ ขณะเดียวกันมือเรียวยาวของเขาก็ทำการยกเก้าอี้ตัวที่อยู่เยื้องกับที่ฉันนั่งออกมาจากใต้โต๊ะแทนการลากด้วยมือเพียงข้างเดียว จากนั้นจึงหย่อนสะโพก ทรุดกายลงนั่ง แล้วก็ล้วงเอาสมาร์ตโฟนเครื่องหรู สีดำรุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์ดังออกมาจากกระเป๋าเสื้อช็อปสีกรมอัน เป็นเอกลักษณ์ และบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวนั้นเรียนอยู่ที่คณะวิศวฯ คิ้วเข้มเห็นเพียงรำไรขมวดเป็นปมหน่อย ๆ ขณะที่นิ้วเรียวสวยของเขากดนั่นกดนี่ไม่ได้หยุด

รอยยิ้มมิตรภาพประหนึ่งตัวเองเป็นมิสแกรนด์ประจำจังหวัดบ้านเกิด (นครปฐม) ที่ฉันตั้งใจมอบให้เขามีอันต้องหุบฉับลงโดยปริยาย เพราะอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาสนใจแต่หน้าจอของเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือมากกว่าจะเหลือบแลมาทางฉัน ก็คือพอหลังจากนั่งก็ทำการตัดฉันออกจากวงโคจรไปเลย

เหมือนอยู่คนละโลกอะ

คืออะไร ?

งงมากค่ะแม่

ที่คิดว่าเขาอาจจะมีอะไรแอบแฝงฉันคงมโนมากไปหน่อย แม้แต่หางตาเขายังไม่เหลือบแลฉันเลยจ้ะ เอาจริง ๆ ถ้าอยากนั่งโต๊ะนี้ บอกให้ฉันย้ายไปนั่งที่อื่นก็ได้นะ ง่ายดีด้วย ไม่ต้องลงทุนบอกชื่ออะไรกันหรอก แล้วก็คงไม่ต้องเสียเวลายืนกดดันโดยที่ฉันไม่รู้ตัว ตั้งหลายนาทีด้วย

เอ๊ะ!

เดี๋ยวนะ...

หรือเขามีปัญหาเรื่องการใช้รูปประโยคที่ถูกต้อง

ฉันมุ่นคิ้วสงสัยก่อนจะเลิกสนใจแล้วก้มหน้าลงเพื่ออ่านหนังสือที่เปิดกางเอาไว้ตามเดิม คือท่าทางเหมือนจะดีอยู่หรอกฉันเนี่ย แต่ติดตรงที่ตั้งใจอ่านเท่าไรมันก็ไม่เข้าหัวแล้วนี่สิ ทั้งที่เพื่อนร่วมแชร์โต๊ะก็ไม่ได้ส่งเสียงดังรบกวนสมาธิอะไรเลยนะ ออกจะนิ่งสงบเสมือนไร้ตัวตนในสายตาฉันด้วยซ้ำ จะโทษเขาเต็มร้อยก็ไม่ได้ เอาเป็นว่าเป็นที่ตัวฉันเองนี่แหละที่สมาธิมีไม่มากพอ ทำยังไงก็ไม่สามารถจมอยู่กับตัวเองต่อไปได้เหมือนก่อนหน้าที่เขาจะปรากฏตัว

จะว่าความหล่อพาใจไม่นิ่งก็...

มีนิดหนึ่งแหละ

ยอมรับ

นี่ถ้ายัยแจนกับยัยเบลไม่ชิ่งหนีฉันกลับบ้านไปก่อนล่ะก็ กล้าฟันธงและคอนเฟิร์มเลยว่ายัยสองคนนั้นจะต้องออกอาการดี๊ด๊า ชนิดเก็บอาการยังไงก็ไม่เนียน เพราะโดยปกติก็ชอบส่องชอบเหล่หนุ่ม ๆ คณะวิศวฯ เป็นงานอดิเรกแก้เครียดกันอยู่แล้ว ถ้ารู้ว่าฉันได้นั่งร่วมโต๊ะกับหนุ่มหล่อคณะนี้ล่ะก็ คงได้ยินเสียงคนร้องโอดครวญแบบแพ็คคู่เพราะความเสียดายพันเปอร์เซ็นต์ และฉันก็ไม่คิดจะปิดปากเงียบด้วย ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าคืนนี้จะแชตไลน์ไปเม้าท์ให้เบลกับแจนได้ดีดดิ้นเล่น

และพอคิดถึงเพื่อนขึ้นมาก็อดเสียดายไม่ได้ที่ไม่รู้ว่าปืนอยู่ชั้นปีอะไร ถ้ารู้จะได้บอกข้อมูลยัยสองคนนั้นได้ถูกต้องถ้าโดนซักไซ้ในประเด็นนี้ขึ้นมา แต่ครั้นจะถามให้รู้เรื่องมันก็ดูยังไงอยู่ เพราะเขาเองก็ไม่มีทีท่าว่าอยากคุยกับฉันเท่าไรด้วย

ไม่สิ

เรียกได้ว่าไม่อยากเสวนาด้วยน่าจะใช้คำได้ถูกต้องมากกว่า จะให้ฉันเริ่มต้นชวนคุยก่อนมันก็ไม่ใช่นิสัยอีกแหละ ดีไม่ดีเดี๋ยวจะหาว่าฉันอ่อยเอาอีก พื้นฐานเป็นคนนิสัยหลงตัวเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าฉันเก็บความสงสัยส่วนตัวเอาไว้ในใจจะดีกว่า ถามว่าโอกาสที่จะเจอกันอีกมีไหม ก็คงมีนั่นแหละ แต่เขาจะจำฉันได้ไหมในหลังจากนี้มันก็อีกเรื่อง สรุปว่าไม่สร้างปัญหายุ่งยากให้ตัวเองภายหลังเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

และในเมื่ออ่านหนังสือหาข้อมูลเพื่อประกอบการทำรายงานส่งอาจารย์วิชุดาอาทิตย์หน้าต่อไปไม่รู้เรื่องฉันจึงปิดมันลงในที่สุด เพราะรู้ว่าหากฝืนอ่านต่อไปก็สูญเสียเวลาเปล่า เพราะสมาธิที่เสีย ไปแล้วเรียกกลับคืนมาได้ยากแค่ไหนฉันรู้ดี และด้วยเหตุนี้ฉันเลยเริ่มลงมือเก็บชีทเรียน สมุดจดบันทึกเกี่ยวกับเรื่องเรียน ปากกาหลากสี ใส่กระเป๋าผ้าปักลายด้วยมือเพื่อเตรียมตัวกลับหอพักที่อยู่ห่างออกไปจากมหาวิทยาลัย

หลุบสายตาลงดูเวลาที่นาฬิกาบนข้อมือก็พบว่า ณ ตอนนี้เกือบจะหกโมงครึ่งแล้ว สามชั่วโมงกว่าที่นั่งอยู่ในหอสมุด คือมาอาศัยตากแอร์อยู่ที่นี่ตั้งแต่เรียนวิชาสุดท้ายของวันเสร็จ ก็ว่าแล้วว่าทำไมถึง ได้รู้สึกหิวขึ้นมาตงิด ๆ ที่แท้ก็ได้เวลาหาอะไรใส่ปากใส่ท้องแล้วนี่เอง ซึ่งเมนูในใจก็มีมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ

นั่นก็คือ...

ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นหน้าปากซอยเข้าหอ

จริง ๆ อยากกินมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแหละ แต่เผอิญว่าช่วงเวลาที่อยากมันดึกเกินกว่าจะออกไปเดินต๊อก ๆ เพื่อซื้ออะไรกินแล้วไง เลยอาศัยทำมาม่าเกาหลีแบบเผ็ดคูณสองใส่ไส้กรอกเซเว่นที่ซื้อติดตู้เย็นแก้ความอยากหมูตุ๋นแสนอร่อยแทน และแค่นึกถึงความหอมของน้ำซุปน้ำย่อยในกระเพาะก็เริ่มทำงานหนักขึ้นมาอีกแล้ว

กลับดีกว่า

ไม่รออะไรแล้ว

แต่ก่อนจะลุกออกมาจากโต๊ะแล้วหันหลังให้ใครอีกคนฉันก็แอบเหล่สายตามองแวบหนึ่งนะ เผื่อเขามองมาฉันก็จะพูดอะไรสักคำสองคำ ซึ่งฉันคงหวังมากไปเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไร อีกอย่างก็เห็นว่าเขากำลังตั้งอกตั้งใจเล่นเกมในมือถือมาก ขืนทะเล่อทะล่าไปขัดจังหวะเข้าคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตัวฉันสักเท่าไร ใครบ้างจะไม่รู้ว่าพวกผู้ชายเวลาเล่นเกมนี่จริงจังยิ่งกว่าจริงจังซะอีก สังเกตดูได้จากสีหน้าที่ ค่อนไปทางเคร่งเครียดนั่นสิ สงสัยกำลังอยู่ในช่วงพีคจัด โบกมือลากันตรงนี้ไปเลยละกัน

หลังทำเรื่องยืมหนังสือที่ต้องใช้ค้นหาข้อมูลประกอบการทำรายงานกับเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์คนสวยมาสองเล่มเรียบร้อย เดินออกมาด้านนอกตึกหอสมุด ท้องฟ้าที่เคยมีแสงแดดเจิดจ้าก็ถูกความมืดกลืนกินไปกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เสาไฟทุกต้นมีไฟ สีส้มส่องสว่างตลอดทาง

ฉันชอบนะ บรรยากาศตอนย่างก้าวเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวแม้ว่าหน้าหนาวบ้านเราอากาศเย็นจะมาเร็วไปไวกว่าทุกประเทศก็เถอะ แต่จะว่าไปอากาศ ณ ตอนนี้ ในเวลาเกือบ ๆ จะหนึ่งทุ่มของวันที่ยี่สิบปลาย ๆ ของเดือนตุลาคม ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้มันก็เย็นใช้ได้เหมือนกันแฮะ และเหมือนว่าอากาศมันจะเย็นกว่าทุกวันด้วยแฮะนับตั้งแต่ที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศว่าประเทศไทยของเราได้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวอย่างเป็นทางการไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนด้วย ลมเย็น ๆ ที่พัดโชยผ่านหน้าไปเมื่อกี้ให้ความรู้สึกดีจนอยากยื้อเอาไว้นาน ๆ

“เป็นไปได้ขอหนาวกว่านี้อีกเยอะ ๆ เลยนะ”

ถึงฤดูนี้มันจะทำให้ดูเหงา ทำให้คนอยู่ไกลบ้านคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัวมากกว่าช่วงเวลาปกติ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็แฝงด้วยความสุข ฉาบด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ

และฉันก็เชื่อมั่นเต็มหัวใจว่าแทบทุกคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะนับถอยหลังเข้าสู่เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองอย่างคริสต์มาส และ ปีใหม่ ซึ่งก็เดือนหน้านี้แล้วที่เทศกาลเหล่านั้นจะวนกลับมามอบความสุข สนุกสนานอีกครั้ง

ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วคลี่ยิ้มก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไป กลับถึงห้องแล้วต้องโทรคุยกับแม่ให้หายคิดถึงหน่อย เวลานี้ต่อให้อยากยืนหลับตา ชูแขนซึมซับอากาศดี ๆ ที่หาได้ค่อนข้างยากในกรุงเทพฯ แค่ไหนก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสักเท่าไร เพื่อนร่วมเดินทางเท้าไปด้านหน้ามหาวิทยาลัย ณ ตอนนี้ไม่ได้เยอะเหมือนตอนช่วง ที่พระอาทิตย์ยังลอยเด่นอยู่เหนือหัว รถบริการคันยาวคอยรับส่งอาจารย์ บุคลากร รวมทั้งนักศึกษาที่ต้องการไปกลับหน้ามอก็หยุดวิ่งไปตั้งแต่ห้าโมงแล้ว เวลานี้คือรีบได้ต้องรีบถ้าไม่อยากเดินออกไป คนเดียว

“พริกหวาน!”

พริกหวาน ?

มีใครตะโกนเรียกฉันงั้นเหรอ ?

ฉันย่นคิ้วแล้วเหลียวหลังกลับไปมองที่ต้นเหตุแห่งความสงสัย เห็นปืนวิ่งมาด้วยสีหน้าที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูกฉันก็ขมวดคิ้วแน่น ไม่ใช่จะตามมาต่อว่าที่ไปไม่ร่ำลาอะไรแบบนั้นใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างที่คิดก็ดูไร้สาระไปหน่อยไหมอะ ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้ถ้าบังเอิญเจอกันตามถนนหนทางเขาอาจจำฉันไม่ได้แล้วก็ได้

“เธอ...”

“หืม”

“…” เรียกแล้วเขาก็เงียบไป

“มีอะไรรึเปล่า ถ้าไม่มีเรา...”

“จะออกมาทำไมไม่บอก” เขาโพล่งขึ้นมาในขณะที่ฉันยังพูดไม่ทันจบ ซึ่งทำให้ฉันจำต้องกลืนส่วนที่เหลือลงคอไปแบบงง ๆ ปืนมองหน้าฉันนิ่งมาก คือคงไม่ได้คิดจะต่อว่าฉันจริง ๆ ใช่ไหม และก่อนที่ฉันจะคิดอะไรไปไกลปืนก็ทำฉันอึ้งเป็นรอบที่สอง “มันมืดแล้วเห็นไหม” คือทำเสียงดุไม่พอ ยังทำหน้าดุหน้าเข้มใส่ฉันอีก นี่เขากำลังข่มขวัญฉันอยู่กลาย ๆ รึเปล่า หรือเห็นฉันเป็นเด็กเล็กเหรอ แล้วถ้าเกิดฉันบ้าจี้ตอบไปว่ามืดแล้วมันยังไง ไม่บอกแล้วเธอจะทำไม เขาจะเหวี่ยงขายาว ๆ มาเตะก้นฉันไหม เอาเป็นว่าไม่เสี่ยงต่อความปลอดภัยดีกว่าเนอะ

“ขอโทษด้วยนะ ที่ไม่ได้บอกปืนก่อนว่าเราจะกลับแล้ว” ฉันพูดเสียงอุบอิบ ยิ้มจาง ๆ แบบเก้อเขิน ซึ่งตรงกันข้ามกับความคิดที่กำลังตีกันจนสับสนวุ่นวาย และพยายามที่จะไม่คิดอะไรมากกับประโยคที่ว่ามันมืดแล้วเห็นไหมของเขาด้วย “อีกอย่างคือเราก็ไม่กล้าเรียกด้วยไง เห็นว่าปืนกำลังใช้สมาธิเลยไม่อยากรบกวน” ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องมายืนอธิบายเหตุผลอะไรกับคนที่เพิ่งเจอด้วย ก่อนหน้านี้นอกจากแนะนำตัวเองแบบสั้น ๆ เขาก็ดูไม่ได้สนใจไยดีอะไรฉันขนาดนั้น

และเหมือนปืนจะพูดอะไรสักอย่างฉันแอบจับสังเกตเขาได้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาสักคำได้แต่เดินหน้านิ่งขึ้นมาตีคู่ ฉันเลยทึกทักเอาเองว่าเขาคงจะเดินไปหน้ามอเหมือนกัน และยิ่งแน่ใจเมื่อฉันก้าวเท้า เขาก็ก้าวไปพร้อมกับฉัน ก้าวไปในจังหวะเดียวกัน

ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเราสองคนก็เดินมาถึงหน้ามอ บริเวณจุดรอรถประจำทาง หรือป้ายรถเมล์นั่นแหละ โดยตลอดเส้นทางที่ฉันกับคนแปลกหน้าที่หน้าไม่แปลกเดินออกมาด้วยกันไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างเราเลย คำเดียวก็ไม่มี ฉันเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นคุยยังไง ปากหุบ ๆ อ้า ๆ อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้เปล่งเสียงออกไป ก็อย่างที่บอกเริ่มต้นไม่ถูก ตัวเขาเองก็ดูไม่ได้ต้องการจะคุย เลยเลือกที่จะเงียบ จมอยู่กับความคิดไร้สาระของตัวเอง

ฝ่ายปืนหลับตาใครก็ดูออกทั้งนั้นว่าเขาพูดไม่เก่ง เมื่อต่าง คนต่างเป็นแบบนี้บรรยากาศรอบกายจึงดูอึมครึมตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และถือว่าเป็นโชคดีของฉันเลยแหละที่ไม่ต้องยืนรอรถนาน ไม่ต้องทนกับบรรยากาศแปลก ๆ รอบตัวนานเกินไป มาหยุดยืนที่ หน้าป้ายได้ไม่ถึงห้านาทีรถสีเหลืองคันยาวบรรจุคนได้เยอะ และจอดมันทุกป้ายก็แล่นมาให้เห็นแล้ว

ไม่ต้องคอยชะเง้อคอ ยื่นหน้าดูว่าสายไหนจะพากลับที่พักเหมือนหลาย ๆ คนเลยแหละ เพราะอะพาร์ตเมนต์ที่ฉันใช้เป็นแหล่งพักพิงมาตั้งแต่ปีหนึ่งนั่งรถเมล์ไปแค่สามป้ายเท่านั้นเอง ดังนั้นรถเมล์สายไหนที่จอดตรงหน้ามอฉันสามารถขึ้นได้หมด อีกหน่อยรถไฟฟ้าหน้ามอสร้างเสร็จสมบูรณ์วันนั้นฉันคงสบายกว่านี้ สายมียาวเลย หอเลยมอไปถึงสถานที่สำคัญหลายที่เลย ไม่เกินสิ้นปีนี้คงได้ใช้ บางสถานีมีเปิดทดลองให้ใช้บริการแล้ว

“เรากลับก่อนนะ แล้วก็...ยินดีที่ได้รู้จักนะปืน” ฉันยิ้มกว้างให้ปืนด้วยความจริงใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวเท้าออกไปข้างหน้าเพื่อเตรียมตัวขึ้นรถโดยสารที่กำลังแล่นมาตามถนน และจะจอดเทียบป้ายในอีกไม่ช้า

ฉันไม่รู้ว่าปืนใช้สายตาแบบไหนมองมาที่ฉัน เขาจะยิ้มหรือไม่ยิ้มเรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้อีกเพราะไม่ได้หันหลังกลับไปมอง เอาเป็นว่าเรื่องนั้นฉันไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจแล้วล่ะเพราะฉันจะถือว่าอย่างน้อย ๆ วันนี้ก็ได้รู้จักคนเพิ่มอีกหนึ่งคน

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ siree/evavy

ข้อมูลเพิ่มเติม

หนังสือที่คุณอาจชอบ

บุตรีอนุผู้ถูกทอดทิ้ง

บุตรีอนุผู้ถูกทอดทิ้ง

มาชาวีร์
4.7

หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง

วิวาห์สายฟ้าแลบ

วิวาห์สายฟ้าแลบ

กวินท์
5.0

เสิ่นหยวูแต่งงานกับเหอซวี่ที่เป็นสูติแพทย์ตอนอายุยี่สิบสี่ปี สองปีต่อมา เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว เหอซวี่ก็วางแผนแท้งลูกเธอด้วยมือตัวเอง และหย่าร้างกับเธอ ระหว่างช่วงเวลาที่มืดมนเหล่านี้ ตู้หยวุนปรากฏตัวเข้าในชีวิตของเสิ่นหยวู เขาทำดีต่อเธออย่างอ่อนโยน และให้ความอบอุ่นแก่เธออย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ทำให้เธอต้องเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน สุดท้าย เสิ่นหยวูจึงเข้มแข็งขึ้นหลังผ่านพ้นไปกับทุกอย่างแล้ว แต่เมื่อความจริงก็ถูกเปิดเผยในที่สุด เธอจะยอมรับและอดทนได้ไหม? อยู่เบื้องหลังตู้หยวุนผู้ที่หล่อเหลาดูมีเสน่ห์นั้นเป็นใคร?และเมื่อพบคำตอบแล้ว เสิ่นหยวูจะรับมือยังไง ?

ที่แท้เป็นคุณหนูตัวจริง

ที่แท้เป็นคุณหนูตัวจริง

Nadia Lada
5.0

เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"

ทะลุมิติมาเป็นภรรยาตัวน้อยของสามีพิการ

ทะลุมิติมาเป็นภรรยาตัวน้อยของสามีพิการ

มาชาวีร์
4.8

เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ