icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
5.0
ความคิดเห็น
86.9K
ชม
72
บท

เขาคือ “พี่เขย” ของเธอ เธอคือ “น้องเมีย” ของเขา เขาอยากเป็นสามีของเธอ ส่วนเธอ… จำใจต้องเป็นภรรยาของเขา

บทที่ 1 จดหมาย

บทที่ 1 จดหมาย

“เมียฉันเป็นยังไงบ้างเบิ้ม ปลอดภัยแล้วใช่ไหม”

คุณหมอหนุ่มวัยสามสิบแปดมองหน้าเพื่อนสนิทที่เคยเรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลยันมัธยมปลาย ก่อนจะแยกย้ายไปศึกษาต่อตามสาขาที่ใจตัวเองปรารถนา มองใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา ที่บัดนี้มีแต่ความคร่ำเครียดนั้นอย่างเห็นใจ

“ยาที่เมียนายกิน ออกฤทธิ์ทำลายการทำงานของระบบประสาท และร่างกายจนหมดแล้ว...”

“แล้วยังไง นายช่วยแก้วได้ใช่ไหมเบิ้ม” เสียงทุ้มหูสั่นเครือด้วยความรู้สึกกลัวจับใจ

“เสียใจด้วยนะราม ฉันช่วยเมียนายไม่ทันจริง ๆ นายมาถึงช้าไป” ถึงแม้จะเห็นใจแต่เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป และยังสงสัยอยู่ว่าทำไมคนที่จิตใจดี อารมณ์ดีอย่างสิรินดาถึงได้คิดฆ่าตัวตาย “เข้าไปดูเมียนายได้นะราม”

“อย่าเพิ่งไป ช่วยเมียฉันให้ฟื้นก่อนเบิ้ม ได้โปรด” รามขวางทางเพื่อนสนิทไม่ให้เดินหนี น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมาอย่างไม่อาย

“สงบสติอารมณ์แล้วเข้าไปดูคุณแก้วอีกสักครั้งนะราม เผื่อนายมีเรื่องที่อยากจะพูดอะไรกับเธอ” อติพลเห็นใจเพื่อนรักเหลือเกิน แต่เขาจะช่วยอะไรได้มากกว่านี้อีกล่ะในตอนนี้

“ได้โปรดเถอะเบิ้ม ช่วยเมียฉันด้วย เอาชีวิตฉันไปแทนก็ได้ แต่ได้โปรดให้เธอกลับมา ลูกของฉันเพิ่งจะสามเดือนเท่านั้น ฉันจะให้เขาขาดแม่ไม่ได้” ลูกผู้ชายที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมาตลอด คุกเข่าขอร้องเพื่อนรักที่เป็นหมอพร้อมกับน้ำตา คร่ำครวญด้วยความเสียใจสุดชีวิต

“ราม...” อติพลดึงไหล่เพื่อนรักขึ้นมาแล้วโอบกอดเพื่อปลอบใจ “ฉันเสียใจด้วยจริง ๆ ฉันพยายามสุดความสามารถแล้ว”

“พี่รามคะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่นิ่งเงียบอยู่ในเหตุการณ์มาโดยตลอดเอ่ยขึ้น พร้อมกับประคองชายหนุ่มเอาไว้ “พี่รามกลับบ้านไปก่อนดีกว่านะคะ ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพรเอง”

“พี่จะเข้าไปหาแก้ว พี่อยากคุยกับแก้ว”

“ถ้าอย่างนั้นแพรพาเข้าไปนะคะ”

“อย่าเลยแพร พี่จะเข้าไปคนเดียว เพราะแก้วคงไม่ชอบถ้าพี่พาแพรเข้าไป” รามดึงแขนออกจากการกอดประคองของหญิงสาว แล้วเดินเข้าไปในห้องที่อติพลออกมา

เมืองบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย

“ทำไมคุณแม่ต้องกลับเมืองไทยกะทันหันแบบนี้คะ” หญิงสาวที่ใกล้จะเป็นเจ้าของใบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยของรัฐในนครซิดนีย์ถามมารดาด้วยความสงสัย เพราะเพิ่งเดินทางกลับมาถึงบ้านไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จะถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง

“แม่ก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไร ยายเพิ่งโทรมาบอกให้แม่รีบกลับไป” ดวงดาวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลต่อหน้าลูกสาวคนเล็ก ถ้าไม่ติดว่าอีกสามวันเธอจะสอบนางคงบอกความจริงไปแล้ว

“ทำไมสีหน้าคุณแม่ไม่ดีเลย ญาติเราเสียเหรอคะ... ใครคะคุณแม่”

“เอาไว้แม่ถึงเมืองไทยแล้วจะโทรมาบอกนะลูก เมื่อกี้แม่ก็คุยกับยายยังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”

สิริญ่าเพียงแต่พยักหน้ารับ เข้าใจความรู้สึกของผู้ที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัวประมาณหนึ่งว่าคงเสียใจจนพูดไม่ออก

“ถ้านิดว่างนิดก็อยากจะไปด้วยนะคะ” ถึงแม้ไม่ได้รู้สึกผูกพันกับญาติพี่น้องทางเมืองไทยอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่คุณยาย คุณตา หรือพี่สาว แต่เธอก็ถูกเลี้ยงดูมาอย่างคนไทยคนหนึ่ง และเคยเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติที่เมืองไทยอยู่เสมอก่อนจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย จึงอยากจะกลับไปร่วมงานพร้อมมารดาอยู่บ้าง

“ไม่ต้องหรอกลูก ตั้งใจทำข้อสอบให้ดีก็พอ แม่ไปก่อนนะลูก”

“หนูไปส่งนะคะ”

“ไม่ต้องหรอกลูกนิด เดี๋ยวพ่อขับรถไปเอง หนูอยู่บ้านตั้งใจอ่านหนังสือสอบก็พอแล้ว” บิลบอกกับลูกสาวสุดที่รักแล้วเตรียมลากกระเป๋าออกไป

“ค่ะคุณพ่อ ถึงแล้วโทรหานิดด้วยนะคะคุณแม่” หญิงสาวเข้าไปโอบกอดบิดามารดาและหอมแก้มพวกท่านก่อนลาจากกัน “ฝากบอกพี่แก้วด้วยนะคะว่านิดคิดถึงพี่แก้วมาก ถ้าสอบเสร็จแล้วจะรีบตามไปนะคะ นิดอยากเจอหน้าหลานตัวเป็นๆ มากเลยค่ะ”

“จ้ะลูกรัก” บิลตอบแทนภรรยาที่ได้แต่พยักหน้ารับพร้อมกับอาการข่มกลั้นน้ำตา “พ่อไปก่อนนะ”

เมื่อรถยนต์ที่สามีเป็นคนขับพ้นออกจากรั้วบ้าน น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ของดวงดาวก็ล้นทะลักออกมาอย่างกับทำนบพัง เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นเจียนจะขาดใจเสียใจเหลือเกินที่ต้องสูญเสียลูกสาวคนโตไปอย่างไม่มีวันกลับแบบนี้

“ที่รัก ความตายเป็นเรื่องธรรมดาของทุกคนบนโลกใบนี้นะ” บิลพยายามปลอบใจภรรยาด้วยความสงสาร ด้วยอาชีพของหมอเขาก็ได้พบเจอกับญาติของผู้เสียชีวิตทุกวัน แต่เมื่อเป็นคนในครอบครัวเดียวกันเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรไปดีกว่านี้

“ถ้าลูกฉันแก่ตายหรือป่วยตายฉันคงไม่เสียใจแบบนี้หรอกค่ะ แต่นี่ลูกฉันฆ่าตัวตาย ตายจากไปแบบไม่รู้สาเหตุว่าทำไม คุณจะไม่ให้ฉันเสียใจได้ยังไงกันคะ”

“ผมเข้าใจที่รัก ผมเข้าใจ” ถึงแม้สิรินดาจะไม่ใช่ลูกสาวที่เกิดจากเขา แต่เขาก็รักและเอ็นดูเธอเหมือนลูกสาวแท้ๆ คนหนึ่งเพราะได้เลี้ยงมาตั้งแต่เธออายุห้าขวบจนถึงอายุยี่สิบสอง เขาเองก็เสียใจไม่น้อยไปกว่ากัน

“ฉันไม่น่าให้เธอกลับเมืองไทยเลย ถ้าเธอยังอยู่ที่นี่กับเราเธอคงไม่ตาย”

“อย่าโทษตัวเองแบบนี้สิที่รัก คุณไม่ได้ไล่ลูกไปนะ ลูกเป็นฝ่ายขอกลับไปเองต่างหาก”

ดวงดาวไม่ได้กล่าวอะไรอีกนอกจากร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจกับข่าวการจากไปของลูกสาวคนโต

เมืองซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์

“นิด พวกเราจะไปเที่ยวฉลองสอบเสร็จกันคืนนี้ ไปด้วยกันนะ”

“ขอโทษด้วยนะนิโคลฉันไปด้วยไม่ได้จริง ๆ เพราะฉันต้องไปประเทศไทยคืนนี้”

“ทำไมถึงรีบนักล่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“นิดหน่อยจ้ะ ญาติแม่ฉันเสียน่ะ”

“เสียใจด้วยนะ เอาไว้เจอกันหลังจากกลับมานะ”

“บาย” สิริญ่าโบกมือลาให้เพื่อนสนิท เดินไปที่จอดรถจักรยานแล้วปั่นกลับไปยังที่พักที่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไม่ถึงห้ากิโลเมตร

“สวัสดีนิด”

“สวัสดีค่ะคุณโทรส” เธอทักทายตอบเจ้าของหอพักขณะกำลังจะเดินขึ้นบันได

“มีจดหมายถึงเธอนะ”

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวย้อนกลับไปยังตู้จดหมายของแต่ละห้อง หยิบจดหมายที่ใส่ไว้ในนั้นขึ้นมาดู

“แปลกนะ”

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแล้วมองหน้าบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ในห้องกระจกใกล้ๆ “อะไรแปลกเหรอคะคุณโทรส”

“ก็แปลกที่ยังมีคนเขียนจดหมายอยู่น่ะสิ สมัยนี้การสื่อสารอยู่แค่ปลายนิ้วเท่านั้นไม่ใช่เหรอ” เขาพูดพร้อมกับใช้นิ้วจิ้มๆ ไปบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเพื่อบอกใบ้

“พี่สาวฉันคงนึกสนุกก็เลยใช้วิธีโบราณแบบนี้ไงคะ ขอตัวก่อนนะคะ” เธอตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้างแล้วสาวเท้าขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

หนังสืออื่นๆ ของ ณศิกมล / ซินเหมย

ข้อมูลเพิ่มเติม
บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ