หนึ่งปราถนา ปฐพีนี้ขอมีเพียงเจ้ส
ที
ที่ต้องออกเรือนแล้ว เจ้
จึงขอนอนที่อารามเพื่อเฝ้าดูอาการเพราะแม่นมหนิงอันบอกว่าจะให้หมอมาดูอาการแต่
พียงสหายกัน” นางนั่งหวีผมต่อ เส
วหากเขาไปแต่งกับสตรีอื่
เจ้าค่ะ” นางเชิดหน้าบอก อี๋นั่วไ
้คิดอะไรกับอี๋นั่ว” แม่ชีเ
ียจที่อี๋นั่วไร้หัวนอน
ุ่งนี้ต้องตื่นไปสวดมนต์แต่เช้า เจ้าจะได้เห็นอี๋นั่วอีกมุมหนึ่ง ไม่ใช่เพียงสหายที่วิ่งเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเท่านั้น เขาตื่นก่อนใครมาหุ
เขา” นางรีบทรุดตัวลงบนฟูกนอน ดึงผ้าห่ม
เข้ามาสวมกอดกดจมูกลงบนกลุ่มผมนุ่มนิ่ม นางคิดถูกแล้วที่ละทางโลก เดินทางจากเมืองหลวง
ดได้กลิ่นเหม็นไหม้ลอยมาเตะจมูก เลี่ยงหลิงปรื
ั้งคอ หายใจก็ลำบาก แต่นางก็ยังเขย่า ๆ ร่างที่
ื่อไม่ให้ตนเองสำลักควันไปมากกว่าเดิม มือบางอีกข้างควานหาคบไฟเพื่อจุด เมื่อเจอแล้วก็รีบจุดตะเกียงให้ภายในให้ห้องสว่าง แต่หมอกสีข
ั
งแล้วลืมดับ เขาจึงลุกมาเพื่อจะดับไฟ แต่กลับว่าเป็นอารามที่พักของแม่ชีกำลังลุกไหม้อยู่ มี
ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก ยกโบกส
่ใจว่าควันจางลงแล้ว โอวหยางเจิ้งหัวจึงหัน
งตะกุกตะกัก ก้อนสะอึกติดอยู่ตรงลำคอ สับสนว่าเก
ารของแม่ชีเฟยหย่าและแม่นมหนิง
รขึ้น” เ
บนี้แล้ว อี๋นั่วนี่ความฝันใช่หรือไม่ ข้ากั
นอย่างสุขุม ไม่ได้ลงฝีเท้าเช่นนี้ หากจะมาช่วยกันดับไฟต้องส่งเสียงตะโกนเรียก แถมอย
น ฉุดร่างบางให้ลุกตาม ไม่ได้บอกเพียงเลี่ยงหลิงอย่าเพิ่งคิดอะไร เขาบอกตนเองด้
้ำตาไหลเป็นทาง ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไ
าไว้ก่อน” เมื่อเห็นนางยังคงยืนร้องไห้เงียบ ๆ เสียงฝีเท้าเหล่านั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีเวลาแล้ว โอวหยางเจิ