Happy ที่โสดอีกครั้ง
ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจของเซินชูก็ยิ่งรู้สึกเหน็บหนาวมากขึ้น
เธอไม่รู้ว่าเธอคุกเข่าไปนานแค่ไหน เธอรู้เพียงว่าฝนหยุดตกแล้ว แต่ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่
คนรับใช้สองคนที่เฝ้าเธออยู่ต่างหลับสนิทไปแล้ว จริง ๆ แล้ว ตอนนี้เธอสามารถลุกออกไปได้แล้วด้วยซ้ำ แต่เซินชูก็ยังไม่อยากที่จะยอมแพ้
เธอไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าป๋อมู่เหนียนจะใจร้ายใจดำถึงขนาดนี้
แต่บางครั้ง คนเราก็ไม่ควรซื่อเกินไป
ตอนฟ้าสว่าง ในที่สุดป๋อมู่เหนียนก็มา
เซินชูคุกเข่าทั้งคืน ร่างกายของเธอกำลังจะทนไม่ไหวแล้ว แต่เธอก็ยังต้องการคำตอบ
เธอใช้เล็บจิกฝ่ามือของตัวเอง ใช้ความเจ็บปวดปลุกให้ตัวเองมีสติ “คุณสงบสติอารมณ์แล้วใช่ไหม? ”
หากสงบสติอารมณ์ลงแล้ว ก็ฟังคำอธิบายของเธอหน่อย
ป๋อมู่เหนียนมองไปยังเซินชูที่อยู่ตรงหน้าเขา เซินชูมีสภาพทุลักทุเลจากการตากฝนมาทั้งคืน ดวงตาคู่งามไม่สามารถเก็บซ่อนความผิดหวังเอาไว้ได้ แต่แววตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความดึงดัง
เขาถูกเธอมองจนรู้สึกไม่สบายใจ “เธอรู้ความผิดของตัวเองหรือยัง? ”
เซินชูอึ้งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าที่เธอคุกเข่าอยู่ที่นี่ทั้งคืนมันน่าขำสิ้นดี
แต่เธอคุกเข่าทั้งคืน รอเขาทั้งคืน เธอไม่ควรจะปล่อยสิ่งที่ทำให้เธอไม่พอใจให้ผ่านไปอย่างนี้
“เมื่อคืน ฉันไม่ได้ผลักหลินเซียงหยาตกน้ำจริง ๆ เธอกระโดดลงไปเอง”
เธอพูดพลาง พยายามลุกขึ้น จากนั้นก็เงยหน้ามองเขาอย่างนิ่ง ๆ “แต่ฉันรู้ว่าคุณไม่เชื่อ ดังนั้น.......”
“เราหย่ากันเถอะ ป๋อมู่เหนียน”
เราหย่ากันเถอะ ป๋อมู่เหนียน
ป๋อมู่เหนียนคิดว่าเช้านี้เขาจะได้ยินเซินชูสำนึกผิด แต่เธอไม่ได้สำนึกผิด แต่กลับพูดกับเขาว่าหย่ากันเถอะ
หลังจากเซินชูพูดจบก็เดินจากไปทันที เธอเดินไปอย่างช้า ๆ เพราะเธอคุกเข่ามาทั้งคืน หัวเข่าของเธอบวม และเจ็บมาก อีกทั้งเธอยังเปียกฝนมาทั้งคืน ทำให้เธอมีไข้สูง เธอก้าวเดินไปอย่างยากลำบาก แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ เธอก็ยังเดินเชิดหน้า
ไม่นานเซินชูก็กลับมาถึงห้อง เธอกัดฟันส่งข้อความหาเฉินเซียว จากนั้นก็เก็บเข้าของที่มีไม่มากของเธอใส่กระเป๋าเดินทาง
ตอนที่เธอลากกระเป๋าเดินลงมายังชั้นล่าง ป๋อมู่เหนียนก็เดินขึ้นมาพอดี เซินชูไม่มองเขาแม้แต่หน่อย เธอเดินลากกระเป๋าไปที่ทางออกทันที
สภาพของเซินชูแย่มาก หลังจากพยายามฝืนตัวเองออกไปจากบ้านตระกูลป๋อแล้ว สายตาของเธอก็เริ่มพร่ามัว
โชคยังดีก่อนที่เธอจะหมดสติไป เฉินเซียวก็มาถึงพอดี
ตอนที่เฉินเซียวเห็นเซินชูลากกระเป๋าเดินทางมาอยู่ข้างถนนอย่างโซซัดโซเซ เฉินเซียวก็โมโหจนจะระเบิดออกมา
“ป๋อมู่เหนียน มันตายไปแล้วหรือไง? ”
เธอรีบลงจากรถ จากนั้นก็เอากระเป๋าเดินทางของเซินชูใส่ท้ายรถ เมื่อเธอเดินกลับมา ก็เห็นเซินชูหมดสติไป
“น้องห้า! ”
เฉินเซียวตกใจมาก รีบวิ่งเข้าไปประคองเธอไว้ ตอนที่ประคองตัวเซินชู ความร้อนในตัวเซินชูทำเอาเธอตกใจมาก
เฉินเซียวทั้งสงสารทั้งโกรธ เธออุ้มเซินชูเข้าไปในรถ “น้องห้า เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาล”
เซินชูสลบไม่ได้สติ ตัวของเธอเอียงซบกับเบาะข้างคนขับ ใบหน้าของเธอซีดเผือดจนทำให้เฉินเซียวถึงกับไม่สบายใจ
เฉินเซียวไม่มีเวลาไปสะสางบัญชีกับคนของตระกูลป๋อ เธอเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที
เซินชูไข้สูงจนหมดสติ บ่ายมาถึงรู้สึกตัวตื่น
เมื่อเธอลืมตา ก็เห็นเฉินเซียวนอนฟุบอยู่ข้างขอบเตียง
เซินชูนิ่งอึ้งไป สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนยังอยู่ในมโนความคิดของเธอ ตอนนี้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เธอก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ
เธอกลัวว่าจะทำให้เฉินเซียวตื่น เธอกัดฟันไม่ให้ตัวเธอร้องไห้ออกมา ในความมืดมีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่ไหลออกมาไม่หยุด
เธอผิดเอง เธอไม่ควรคิดว่าเธอสามารถเปลี่ยนใจป๋อมู่เหนียนได้ หัวใจของเขามีแต่หลินเซียงหยามาโดยตลอด ตลอดสามปีที่ผ่านมา เธอก็เหมือนกับตัวตลก
ไม่น่าแปลกที่หลินเซียงหยาบอกว่าเธอโง่ ในเวลานี้เมื่อคิดดูแล้ว เธอไม่เพียงโง่ เธอยังเง่าด้วย
บนโลกนี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนโง่เท่าเธออีกแล้ว