Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
5.0
ความคิดเห็น
28
ชม
28
บท

โอ๊ย...ผีอำอีกแล้วหรือนี่! ผมชาไปทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะยันปลายเท้า  ทว่า! ประสาทหูยังดีอยู่เพราะได้ยินทุกคำพูด ว่า….. “ไอ้ผัวเฮงซวย เมื่อไหร่แกจะตายเสียทีวะ” ได้ยินแล้วพานอยากตายให้สมคำสาปแช่งเสียจริง ต่อด้วยเสียงหัวเราะเยาะเย้ย อีกทั้งสารพัดถ้อยคำประณามและคำถากถางที่ตามมา แต่ประโยคนี้สิ! “อัศวินจ๊ะ พี่มาวันนี้เพราะอยากบอกว่า ชีวิตนี้พี่ไม่เคยรักผู้ชายคนไหนมากเท่าพี่รักอัศวิน” ฟังแล้วทำให้คิดถึงอดีตความรักอันหวานชื่น ผมทราบดีว่าเสียงเหล่านั้นเป็นของใคร เพราะมันสร้างความเจ็บปวดเหลือเกินเมื่อได้ยินได้ฟัง แต่เสียงต่อไปนี้ทำให้ผมต้องลืมตาตื่น “เรียนจบกันมา ทุกข์สุขเราสู้ด้วยกัน น้องจะอยู่อย่างไรถ้าพี่ทิ้งน้องไป แล้วลูกเราล่ะ! ลูกต้องมีพ่อนะพี่” และอีกสารพัดคำพร่ำเพ้อชวนให้หดหู่ใจ   ผมหมดอาลัยตายอยาก ภาพสตรีสามนาง เนตรา...พี่แคท...หทัยรัตน์ โผล่มาในสมองพร้อมกัน ผมพยายามรวบรวมพลังให้หลุดพ้นจากขุมชีวิตสามนางนี้ สูดลมหายใจเฮือกใหญ่เสมือนหนึ่งวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึงแล้ว ก่นด่าชีวิตรักตัวเองในใจ ว่า “พระเจ้า...เลิกเล่นตลกกับผมเสียที! จบชีวิต ‘รักรันทด’ ของผมได้แล้ว!”

บทที่ 1 No.1

ผม...อัศวิน ทองสกาว กำพร้าพ่อแม่แต่เด็ก ย่าเล่าว่าพ่อตายจากโรคร้ายก่อนผมเกิด ส่วนแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตหลังผมหย่านมแม่ได้ไม่นาน

ความรักความอบอุ่นจากบุพการีจึงไม่เคยได้ลิ้มรส แต่อย่างน้อยก็ได้ดื่มด่ำน้ำนมจากอกแม่ และเติบโตภายใต้การเลี้ยงดูของย่าผ่องศรี กับพี่ชายอายุห่างกันถึงเจ็ดปี...พี่อรรถพล

บ้านย่าอยู่ฝั่งธนฯ ทางไปต้องนั่งรถสองแถวเข้าซอยแคบ ๆ ถึงสุดทางตันยังวัดแห่งหนึ่ง จากนั้นต้องเดินเข้าไปภายในวัดถึงประตูทางเข้าออกด้านหลัง ก็จะเป็นหมู่บ้านแออัดที่มีเพียงมอเตอร์ไซค์เข้าถึง

หากจะพูดว่าถิ่นฐานที่ผมอยู่คือแหล่งชุมชนของวัดคงไม่ผิดนัก เพราะมีมากกว่าสามร้อยหลังคาเรือนปลูกอยู่บนพื้นที่วัด บ้านแต่ละหลังบ่งบอกฐานะเจ้าของตามขนาดพื้นที่ที่ต้องจ่ายค่าเช่า

ละแวกที่พวกเราพำนักอยู่ เป็นโซนผู้อาศัยที่มีฐานะค่อนข้างยากจนและแทบจะชิดติดกัน มีไม้เลื้อยหรือไม้ประเภทรั้วกินได้แสดงอาณาบริเวณบ้านแต่ละหลัง

เจ้าของบ้านที่อยู่ติดบ้านย่าชื่อชัยสิทธิ์ อาเขามีแผงขายดอกไม้ธูปเทียนถวายพระและของจำพวกเครื่องดื่มให้คนมาทำบุญที่วัด บ้านเขาน่าจะหลังใหญ่และดูดีสุดในละแวกนั้น

อาชัยสิทธิ์ตัวดำ...อ้วนล่ำและพุงพลุ้ย ชอบถอดเสื้อโชว์ลายสักเต็มหน้าอกเต็มแผ่นหลัง แถมยังสักเลขยันต์ตามแขนขาจนดูน่ากลัวเหมือนโจรหรือไม่ก็นักเลงโบราณ อีกทั้งยังชอบคุยโอ่ถึงรูปลายสักเสือเผ่น ว่าได้ลงคาถาอาคมให้ตัวเขาอยู่ยงคงกระพัน

เรื่องยิงฟันไม่เข้ายังไม่เคยเห็นกับตาสักที ว่าอาชัยสิทธิ์หนังเหนียวจริงตามที่คุย แต่ลายสักเสือเผ่นนี่สิ! ผมเชื่อสนิทว่าขลังจริง เพราะเคยเห็นอาเขาท่องคาถาปลุกเสกรอยสัก และตอนของเข้า อาชัยสิทธิ์ทำเสียงคำรามน่ากลัวเหมือนเสือโคร่ง ใช้เล็บตะกุยข่วนต้นไม้ลึกยาวเป็นทาง

นึกถึงภาพนั้นทีไร ทำให้ขนลุกกลัวอาชัยสิทธิ์ทุกที!

อาชัยสิทธิ์มีลูกสาวหนึ่งคนอายุเท่าผม ชื่อเนตรา ผมทราบภายหลังจากย่าว่ามีหมอดูประจำวัดเรานี่แหละ ทักอาชัยสิทธิ์ถึงลูกสาวคนนี้ว่ามีนัยน์ตาของเทพเจ้า และอนาคตจะสร้างความมั่งคั่งแก่ครอบครัวเขา

อาชัยสิทธิ์จึงตั้งชื่อลูกสาวตามหมอดูว่าเนตรา เขารักและตามใจลูกสาวคนนี้มาก ให้กินดีอยู่ดี ซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ และของเล่นมีราคาให้ไม่ขาด

ตั้งแต่จำความได้ ทุกเช้าผมเห็นย่าเตรียมข้าวของไปขาย โดยมีพี่อรรถพลในชุดนักเรียนคอยช่วย และทุกวันก่อนออกจากบ้าน ย่าจะอุ้มผมไปทิ้งไว้ที่บ้านอาชัยสิทธิ์ให้เมียเขาช่วยเลี้ยงคู่กับเนตรา พอตกสายครอบครัวอาชัยสิทธิ์ก็ต้องไปร้านขายธูปเทียน ปล่อยผมให้วิ่งเล่นที่นั่นโดยไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าไหร่ วันไหนมีรถไอศกรีมผ่านหน้าร้าน อาชัยสิทธิ์ก็จะซื้อให้แต่กับลูกสาว ส่วนผมทำได้แค่ยืนดูเนตราเลียกินไอศกรีมอย่างเอร็จอร่อย ให้เกิดอาการน้อยใจตามประสาเด็กว่าไม่มีพ่อแม่ให้ความรัก และเริ่มสำนึกถึงฐานะของย่าที่ยากจนกว่าอาชัยสิทธิ์มาก

สมัยถูกฝากเลี้ยงที่ร้านขายธูปเทียน ยามคิดถึงย่าผมเป็นต้องมองไปยังอาคารเรียนสี่ชั้นไม่ไกลนัก ที่ทราบว่าย่าทำงานที่นั่นแต่ก็ยังไม่เคยไปสักที พอโตขึ้นถึงทราบว่าย่าไปขายข้าวเหนียวหมูปิ้งตรงหน้าโรงเรียนวัด

ครั้นย่างสู่วัยเรียน ผมเข้าชั้นประถมหนึ่งที่โรงเรียนวัดหน้าบ้านนั่นแหละ ไปโรงเรียนวันแรกก็ได้เห็นวิถีชีวิตหาเช้ากินค่ำอันแสนลำเค็ญของย่าและของพี่อรรถพลที่ตอนนั้นอายุสิบสามปี แถมใคร ๆ ก็ชมว่าหน้าตาหล่อ ตาโต ผมหยักศก หุ่นลีนด้วยกล้ามเนื้อล้วน ๆ และปีนั้นพี่เขาขึ้นชั้นมัธยมหนึ่งแล้ว

เช้าวันนั้น ขณะพี่อรรถพลกำลังสาละวนยกข้าวของขึ้นรถซาเล้ง ย่ามาปลุกผมตั้งแต่ยังไม่สว่างดี จับเข้าห้องน้ำและช่วยใส่ชุดนักเรียนให้ทั้งที่ยังไม่หายง่วง เสร็จแล้วก็ถูกย่าจูงไปนั่งงัวเงีย...ตาปรือบนรถซาเล้งท่ามกลางข้าวของเต็มรถ แต่ยังจำคำพูดย่าได้แม่นยำว่า

“เราเกิดมาจน ต้องขยันทำกินนะลูก”

มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อเสียงเครื่องยนต์ดับพร้อมรถซาเล้งหยุดสั่น ลืมตาขึ้นเห็นตัวเองอยู่หน้ารั้วเยื้องประตูทางเข้าโรงเรียน จากนั้นย่าจับผมลุกขึ้น บอก

“ถึงแล้วลูก เดี๋ยวพี่พลกับย่าต้องเอาของลงกันก่อน เสร็จแล้วพี่พลจะเดินไปส่งลูกที่ห้องเรียนนะ”

ผมพยักหน้า กวาดสายตาไปรอบ ๆ ตอนนั้นยังไม่เห็นมีนักเรียนมากันสักเท่าไหร่ สักพักก็ได้ยินพี่อรรถพลบอกผม

“วินดูไว้นะว่าพี่กะย่าทำอะไรบ้าง อีกหน่อยจะได้ช่วยกัน”

งานส่วนใหญ่ของพี่อรรถพลคือใช้แรงงาน ขนสัมภาระทุกอย่างลงจากรถให้ย่าเอาไปจัดวางขาย จากนั้นพี่อรรถพลตั้งเตาถ่านจุดไฟ ส่งควันลอยคลุ้งทั่วบริเวณได้สักพักควันก็จางลง ย่าจึงหยิบหมูที่เสียบไม้มาล่วงหน้าเอาเข้าเตาย่าง

ควันและกลิ่นจากหมูปิ้งคงเรียกลูกค้าได้ดี นักเรียนที่เดินทางมาโรงเรียนด้วยตัวเองเริ่มทยอยมาซื้อไม่ขาดสาย ไม่นานจากนั้น ใบหน้าย่าและของพี่อรรถพลก็เงาวับจากไอควันหมูปิ้งผสมเหงื่อผุดเต็มหน้า อีกทั้งมือไม้พวกเขาดูเป็นระวิงเหมือนไม่มีโอกาสได้หยุดพักเอาเสียเลย

เฮ้อ...เห็นแล้วเหนื่อยแทน!

ย่ายื่นหมูปิ้งสองไม้ให้ผมกินกับข้าวเหนียวเป็นอาหารเช้า อิ่มแล้วไม่รู้จะทำอะไรได้แต่มองรอบ ๆ ตัวไปเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้น เสียงร้องไห้ที่คุ้นเคยดังขึ้น ผมหันขวับทันทีด้วยเชื่อแน่แก่ใจ ว่าเป็นเสียงร้องอาละวาดจากเด็กหญิงชื่อเนตรา

เด็กงอแงไปโรงเรียนวันแรกมีให้เห็นเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เสียงแหกปากร้องพร้อมลงไปนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นนี่สิ! น้อยครั้งมากจะมีปรากฏ และเป็นที่หนักใจคุณครูจนต้องอุ้มเนตราออกจากตัวแม่เธอ...พาวิ่งเข้าไปภายในรั้วโรงเรียน

ครู่ใหญ่ต่อมา ผมได้ยินย่าบอกพี่อรรถพล “พลเอาน้องไปส่งได้แล้วลูก”

พี่อรรถพลจากนั้นนำผมไปส่งให้คุณครูถึงห้องเรียน พบว่าในห้องมีนักเรียนกว่าห้าสิบคน หนึ่งในนั้นมิใช่ใครอื่นนอกจาก ด.ญ. เนตรา ที่โตมากับผมตั้งแต่จำความได้

ผมเดินผ่านโต๊ะเนตราเห็นสองตาเธอยังบวมอยู่ นัยน์ตากลมโตคู่นั้นคงผ่านการร้องไห้มานานพอดู เธอหันมามองผมแวบหนึ่งด้วยท่าทีเฉยเมย ส่วนผมที่ยังตื่นสถานที่ได้แต่เงอะ ๆ งะ ๆ ทำอะไรไม่ถูก

วันต่อ ๆ มา เด็กผู้ชายจับกลุ่มกับเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงก็อยู่แต่ส่วนของผู้หญิง ผมกับเนตราจึงแทบไม่เคยได้พูดคุยกันเลย ทั้งที่บ้านอยู่ติดกันแท้ ๆ

ผมเริ่มตระหนักว่าเกิดมาในครอบครัวยากจน พวกเราต้องตื่นก่อนไก่ขันไปช่วยกันขายหมูปิ้ง หลังโรงเรียนเข้าย่าก็ขายต่อคนเดียว...ไม่หมดไม่เลิก ตกเที่ยงต้องไปตลาดหาซื้อวัตถุดิบเตรียมขายในวันถัดไป ทำกับข้าวมื้อเย็นเสร็จก็ต้องหมักหมูค้างคืนไว้ เพื่อตื่นมาเอาหมูเสียบเข้าไม้และนึ่งข้าวเหนียวให้เสร็จทันก่อนสว่าง

ด้วยรักและสงสารย่า ผมในวัยหกขวบกลับสำนึกหน้าที่อันพึงมีต่อครอบครัวเร็วกว่าวัย เช้าตื่นขึ้นจึงช่วยย่าเสียบหมูเข้าไม้ ต่อด้วยช่วยพี่อรรถพลขนของขึ้นรถซาเล้ง และทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อลดภาระย่าและพี่อรรถพล บ่อยครั้งต้องย่างหมูเองทำให้เนื้อตัวและเสื้อผ้ามีกลิ่นเฉพาะตัวจนถูกเพื่อน ๆ ล้อ

ต่อมาขนานนามผมว่า...ไอ้‘หมูปิ้ง’

ตกเย็นก็ต้องรีบกลับบ้านพร้อมพี่อรรถพล...ไปช่วยงานย่ากัน เพื่อนฝูงจึงไม่ค่อยมี

เป็นเช่นนั้นเรื่อยมา! กระทั่งผ่านไปหกปี..ผมอายุสิบสอง

ฐานะยากจนบังคับให้ต้องช่วยย่าทำมาหากิน งานที่ต้องใช้แรงงานทำให้ร่างผมลีนด้วยกล้ามเนื้อและมีซิกแพคเห็นเด่นชัด อีกทั้งชีวิตลำบากที่ผ่านมาสอนผมให้สู้เพื่ออนาคตที่ดีกว่า โดยหวังว่าโตขึ้นจะมีงานดี ๆ ได้เงินเดือนเยอะ ๆ ย่าจะได้สบายเสียที จึงมุ่งมั่นขยันเรียนทำให้สอบได้ที่หนึ่งในชั้นตลอดมา ส่งผลให้ผมได้ทุนการศึกษาทุกปี ปีละสามพันบาทคอยช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว

ปิดเทอมใหญ่ปีนี้ผมอายุยังไม่ถึงสิบสามดี ยิ่งโตหน้าตายิ่งคมคายคล้ายพี่อรรถพล ปีนี้พี่อรรถพลจบมัธยมหกแล้วด้วยเกรด 2.16 และเป็นเพราะจบด้วยเกรดที่ไม่ดีพอ พี่เขาจึงยังคิดไม่ตกว่าจะเรียนต่อ ปวส. ดีหรือไม่

อดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าผมจะขยันช่วยย่าทำงานหนักแค่ไหน ก็ไม่ได้ทำให้ฐานะความเป็นอยู่พวกเราดีขึ้นแต่อย่างใด เป็นเพราะย่าขายหมูปิ้งไม้ละห้าบาทและข้าวเหนียวห่อละสองบาทมาตลอด ครั้นจะขายแพงกว่านี้ เด็กนักเรียนวัดคงไม่ซื้อกินหรอก สู้พวกเขาไปซื้อข้าวราดแกงวิญญาณหมูกระดูกไก่ในโรงอาหารจานละสิบบาท แต่กินได้อิ่มไม่ดีกว่าหรือ

ในทางกลับกัน ยิ่งโตค่าใช้จ่ายผมยิ่งเพิ่มขึ้น กลายเป็นว่าฐานะย่าจนลงอีก

ช่วงปิดเทอมใหญ่พวกเราก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน พี่อรรถพลจะได้งานทำที่ร้านสุกี้ในห้างฯ เป็นร้านเดิมทุก ๆ ปีเพราะมีประวัติการทำงานดีเด่น ส่วนผมจะช่วยย่าเปิดแผงลอยบนรถซาเล้ง ไปขายข้าวเหนียวหมูปิ้งตอนเย็นบริเวณหน้าวัด ให้คนทำงานที่กำลังเดินทางกลับซื้อไปกินที่บ้าน แม้ขายไม่ค่อยดีนักแต่กลับทำกำไรได้ดีกว่ามาก เพราะเราขายหมูปิ้งไม้ละเจ็ดบาทและข้าวเหนียวห่อละสามบาทตามราคาท้องตลาด และริมถนนหน้าวัดก็ขายได้โดยไม่ต้องเสียค่าเช่า

ส่วนเสาร์-อาทิตย์จะมีคนมาวัดทำบุญเยอะหน่อย เราสองย่าหลานจึงเปลี่ยนที่ขายยังบริเวณหน้าร้านธูปเทียนของอาชัยสิทธิ์ แต่ถูกอาเขากำชับห้ามขายน้ำเพื่อจะได้ไม่ไปแย่งลูกค้าร้านเขา

จะว่าไปแล้ว อาชัยสิทธิ์ห้ามร้านค้าขายเครื่องดื่มทุกชนิดในวัดแข่งกับร้านแกมาแต่ไหนแต่ไร ก็ไม่เห็นมีใครกล้าโวยวายอะไรนี่! สงสัยจะกลัวลายสักเสือเผ่น...เหมือนผม

เช้านี้ ก่อนพี่อรรถพลจะออกไปทำงานที่ร้านสุกี้ อาชัยสิทธิ์ไม่ใส่เสื้อเช่นเคย เดินส่ายอาด ๆ มาหาพวกเราถึงบ้าน บอกมีสองเรื่องจะคุยด้วย

และสองเรื่องนั้น...เปลี่ยนชีวิตผม!

********************

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ