Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
รสสวาทอาจารย์เนิร์ด

รสสวาทอาจารย์เนิร์ด

จินต์พิชา

5.0
ความคิดเห็น
ชม
10
บท

คนรักของเธอหน้าคล้ายอาจารย์สุดเนิร์ด แต่เพราะเวลาอยู่ด้วยกันเขาเร่าร้อน จนเธอคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลยทั้งสองคนจะเป็นคนเดียวกัน ******* "พี่รักพีชนะ" "พีชก็รักพี่ที่สุดรักทั้งพี่วรรธและอาจารย์สุดเนิร์ด" "วันนี้อาจารย์สุดเนิร์ดจะทำให้รู้ว่าฉายามันก็แค่ภาพลวงตา"

บทที่ 1 อาจารย์ไม่โซเชียล

บรรยากาศการเรียนการสอนวิชาเคมีของคณะวิทยาศาสตร์ภาควิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งค่อนข้างจะตึงเครียด อาจารย์ประจำวิชาเป็นชายหนุ่มตัวสูงใบหน้าเคร่งขรึม สวมแว่นตากรอบดำแต่งกายภูมิฐาน กางเกงสแล็คกับเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกเนกไทสีเดียวกับกางเกงและยังสวมสูทพอดีตัวเข้าชุดกันอีกด้วย

เขาเป็นคนพูดน้อยและมีฉายาว่าอาจารย์สุดเนิร์ดเนื่องจากการแต่งตัวและการวางตัวของเขา ที่ไม่สนใจสังคมและคนรอบข้างมาทำงานก็อยู่แต่ในห้องส่วนของตัวเอง แม้แต่อาจารย์ในภาควิชาเดียวกันก็ไม่ค่อยสนิทกับใครเท่าไหร่ แต่ในเรื่องของการเรียนการสอนและประสบการณ์ที่ถ่ายทอดให้กับนักศึกษานั้นเขาไม่เป็นสองรองใครเพราะนอกจากจบการศึกษามาจากต่างประเทศและมีประสบการณ์ทางด้านการสอนและมีประสบการณ์ในการทำงานอื่นนอกจากเป็นอาจารย์เลยทำให้เขาได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี

วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกนักศึกษาชั้นปีสี่ที่ลงเรียนวิชานี้กับเขามีเกือบหกสิบคนซึ่งนอกจากนักศึกษาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางแล้วยังมีนักศึกษาวิชาเคมีและเภสัชฯมาลงทะเบียนเรียนอีกด้วย แต่ถึงแม้จะมีนักศึกษาเกินครึ่งร้อยทั้งห้องก็ไม่มีเสียงคุยกันเลย นักศึกษานั่งเงียบฟังอาจารย์หนุ่มอธิบายอย่างตั้งใจจนกระทั่งเหลือเวลาจนกระทั่งหมดเวลาเรียนในเวลาเที่ยงพอดี

“ผมหวังว่าตลอดภาคเรียนนี้ทุกคนจะตั้งใจเรียนเหมือนวันนี้ทุกวันนะครับ ขอให้ทุกคนเรียนด้วยกันอย่างมีความสุขนะ ใครมีปัญหาอะไรสงสัยทิ้งคำถามไว้ในอีเมลผมได้เลยนะครับ”

“อาจารย์ไม่มีไลน์เหรอคะ หนูว่าติดต่อกันทางไลน์น่าจะสะดวกกว่า”

“ผมไม่มีครับ”

“แล้วพวกไอจี Facebook ล่ะคะ อินบ็อกซ์ถามในนั้นก็ได้ ไม่เห็นต้องส่งอีเมลให้ยุ่งยาก อาจารย์เขาเอาคิวอาร์โค้ดขึ้นจอเลยก็ได้ค่ะพวกเราจะได้สแกน”

“ผมไม่มีอะไรพวกนั้นหรอกครับถ้าอยากติดต่อผมก็ติดต่อผ่านทางอีเมลหรือไม่ก็ไปหาผมที่คณะได้ เอาล่ะวันนี้ผมขอตัวก่อนยินดีที่ได้รู้จักนักศึกษาทุกคนนะครับ สวัสดีครับ”

อาจารย์ปัณณวรรธเดินออกจากห้องไปแล้วเสียงพูดคุยกันก็เซ็งแซ่ไปหมด

“เคยได้ยินแต่เขาว่าอาจารย์ปัณณวรรธเนิร์ดและโหดมากเพิ่งมาเจอตัวจริงวันนี้แหละ ดูท่าทางจะเนิร์ดจริงๆ ด้วย คิดเหมือนฉันไหมปูเป้” พิชญาภาหันไปถามดลยาหรือปูเป้เพื่อนสนิท

“เป้ก็คิดเหมือนพีชนั่นแหละ หน้าอาจารย์แกนิ่งมากเลยนะแต่เขาบอกกันว่าอาจารย์สอนดีสอนเข้าใจ”

“ใช่ ไอย์ก็ได้ยินมาเหมือนแบบนั้นเหมือนกัน” ไอริณหรือไอยวริญหันก็เห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อน

“ถ้าเรียนกับอาจารย์ทั้งเทอมแบบนี้สงสัยเซ็งแย่เลยเนอะ คนอะไรไม่เล่นไลน์ ไม่เล่นไอจี ไม่เล่น Facebook ติดต่อกันทีก็ต้องติดต่อทางอีเมลคร่ำครึเป็นบ้าเลย” พิชญาภาถอนหายใจ

“เราว่าพักเรื่องอาจารย์สุดเนิร์ดไปดีกว่า ไปหาข้าวกินกันดีไหม” ดลยาสาวหุ่นอวบชวนเพราะเลยเวลาอาหารกลางวันมาเกือบสิบนาทีแล้ว

“กินที่โรงอาหารหรือจะไปกินที่หน้ามหาลัยดีล่ะพีช”

“ไปร้านประจำของพวกเราหน้ามหาวิทยาลัยดีไหม เอารถพีชไปก็ได้ ไปคันเดียวกันจะได้ไม่ต้องแย่งกันจอดรถ”

“งั้นก็ได้”

พิชญาภา ดลยาและไอยวริญทั้งสามเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่มัธยมปลาย เวลาไปไหนพวกเธอก็จะไปด้วยกันทั้งสามคน

ดลยาหรือปูเป้อาศัยอยู่หอพักด้านหลังมหาวิทยาลัย ส่วนไอยวริญหรือไอริณนั้นขับรถมาเรียนเพราะบ้านของเธออยู่ไม่ไกลมากนักคุณสุดท้ายพิชญาภาหรือลูกพีชหญิงสาวอยู่คนเดียวที่คอนโดมิเนียมใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยเช่นกัน

ทั้งสามคนมาถึงร้านอาหารที่พวกเธอมักจะมาทานกันเป็นประจำ แต่พอมาถึงโต๊ะก็ไม่ว่างจึงคิดจะเปลี่ยนไปทานร้านอื่น

“เดี๋ยวสิพีชนั่งกับพวกเราก็ได้” เสียงหนึ่งเอ่ยเรียกทำให้ทั้งสามคนหันกลับมามอง แล้วก็เห็นว่าตอนนี้โต๊ะด้านริมสุดมีผู้ชายนั่งอยู่กันเพียงสองคนเธอและเพื่อนอีกสองคนจึงเดินเข้าไปสมทบด้วยนั่งด้วยกัน

“ขอบใจนะโจ้”

สรวิชญ์และเพื่อนอีกคนขยับเก้าอี้ให้กับสามสาวนั่ง ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้านั้นเป็นเพื่อนจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่รู้จักกันดีเพราะครั้งหนึ่งโจ้หรือสรวิชญ์เคยคบกับพิชญาภาอยู่เกือบปีแต่ก็ไปกันมีรอดเพราะไลฟ์สไตล์ต่างกันจึงลดสถานะเหลือแค่เพื่อน

เมื่อนั่งกันครบแล้วพิชญาภาและเพื่อนก็สั่งอาหารกับพนักงานจากนั้นก็หันมาคุยกับสรวิชญ์ที่ไม่เคยได้เจอกันเลยตั้งแต่ปิดเทอม

“สบายดีนะโจ้”

“อือ สบายดีพีชล่ะ”

“ก็เรื่อยๆ นะ”

“เปิดเทอมวันแรกเป็นไงบ้างล่ะ เทอมนี้เรียนกี่ตัว”

“เหลือเรียนอีกไม่กี่ตัวแล้วโจ้ล่ะ”

“เราก็เหลืออีกไม่กี่ตัว เทอมหน้าต้องไปฝึกงานที่โรงงานน่ะแล้วพีชกับเพื่อนต้องไปฝึกงานไหม”

“ก็ฝึกที่ห้องแล็บของมหาวิทยาลัยแล้วอาจารย์จะให้ไปฝึกที่โรงงานผลิตเครื่องสำอางน่ะ แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะได้ไปฝึกที่ไหนแล้ว โจ้ล่ะ”

“พวกเราน่าจะไปฝึกกันที่ระยอง แถวนั้นโรงงานอุตสาหกรรมเยอะ”

“แบบนี้ก็ดีเลยสิ อยู่ติดทะเลจะได้กินอาหารทะเลสด” ดลยาที่ชอบการทานอาหารทะเลก็พูดขึ้น

“เอาไว้ถึงเวลาที่เราไปฝึกงานจริงๆ พวกเธอก็ไประยองสิ จะได้เที่ยวและหาอาหารทะเลกิน”

“นี่ยังไม่ได้เริ่มไปฝึกงานคิดเรื่องเที่ยวกันแล้วเหรอโจ้”

“อีกหน่อยเราก็เรียนจบทำงานก็คงไม่มีเวลาเที่ยวแล้วแหละ แล้วไอริณจะไปด้วยไหมล่ะ”

“ก็ต้องไปสิ”

“นั่นไงตกลงเรานัดกันเที่ยวนะ”

“นี่เรานัดกันตอนไหนเหรอ” พิชญาภาหันไปถาม

“ก็เมื่อกี้ไงเอาเป็นว่าตกลงทั้งสามคนจะไปเที่ยวที่ระยองตอนที่เราไปฝึกงานตกลงไหม”

“ใครจะให้คำตอบได้นะโจ้ ถ้าเกิดพวกเราได้ไปฝึกงานที่อื่น ก็คงไม่มีเวลาไปเที่ยวหรอก” ดลยาแย้งขึ้นมา

“เอางี้มั้ยก่อนเรียนจบพวกเราชวนเพื่อนไปอีกเยอะๆ เที่ยวทิ้งท้ายก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำงาน” เพื่อนอีกคนที่นั่งเงียบเสนอ

“พีชเห็นด้วยนะ นายกับโจ้จัดการเรื่องนี้ได้ไหมล่ะ”

“ได้ไม่มีปัญหาเราว่าจะชวนให้ครบทุกคณะเลย”

“อันนี้เป้เห็นด้วยนะไม่รู้ว่าเรียนจบไปแล้วต่างคนจะแยกย้ายกันไปที่ไหนบ้าง ก่อนจบเที่ยวกันให้เต็มที่ก็ดีเหมือนกันนะ”

เมื่อได้ข้อสรุปแล้วทั้งห้าคนก็เริ่มทานอาหารกลางวันซึ่งพนักงานของร้านเอามาเสิร์ฟพอดี

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ จินต์พิชา

ข้อมูลเพิ่มเติม

หนังสือที่คุณอาจชอบ

บ่วงวิวาห์จำยอม (The Unwilling Wedding)

บ่วงวิวาห์จำยอม (The Unwilling Wedding)

มหาเศรษฐี

5.0

“คุณก็รู้ว่าฉันเมา แล้วคุณยังจะทำอย่างนั้นกับฉันอีก คุณยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่รึเปล่า หา! คุณปรานต์? หรือคุณโกรธแค้นฉันมากถึงอยากจะแก้แค้นฉันให้ตายทั้งเป็นอย่างนี้?” “เธอจะมาหาว่าฉันฉวยโอกาสได้ยังไง? ในเมื่อเธอเองเป็นคนเรียกร้องสิ่งนั้นจากฉันเองแท้ๆ เธอควรจะโกรธตัวเธอเองมากกว่า แต่พูดก็พูดเถอะนะ ว่าลีลาของเธอมันช่างร้อนแรงกว่าผู้หญิงทุกคนที่ฉันเคยผ่านมาเสียอีก แหม...ว่าแล้วเราก็มาต่อกันอีกรอบดีไหมจ๊ะสาวน้อย? บอกตรงๆ ว่าฉันยังติดใจเธอไม่หาย” “หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!” “เอาน่า...ไหนๆ เรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันยินดีรับผิดชอบเธอทุกอย่าง พรุ่งนี้เราไปจดทะเบียนสมรสกันเลยก็ได้ บอกตามตรงนะ ฉันยังประทับใจในลีลาของเธอไม่หายเลย” ปารวี ต้าเฟย เมธาชัย จำต้องตกอยู่ในบ่วงวิวาห์อย่างจำยอม เมื่อถูกคนเป็นพ่อมัดมือชกให้ต้องแต่งงานกับญาตาวี วัฒนากุล ลูกสาวอดีตคนรักของพ่อ คนที่ทำให้แม่ของเขาต้องตกอยู่ในความห้วงของความเจ็บปวดเพราะไม่เคยได้รับความรักจากพ่อของเขาแม้กระทั่งในวินาทีสุดท้ายของชีวิต นั่นทำให้ชายหนุ่มผูกใจเจ็บญาตาวีจนนึกอยากจะขย้ำเธอทุกวินาที แต่มันจะสนุกอะไรกับการฆ่าเธอให้ตาย? สู้หลอกล่อให้เธอตกหลุมพราง แล้วค่อยๆ กรีดหัวใจของเธอให้เจ็บมันสะใจกว่ากันเยอะ ญาตาวีไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตนี้จะต้องโคจรมาพบกับชายหนุ่มผู้เจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยังหยิ่งยโสชนิดที่เธอนึกอยากจะข่วนหน้าหล่อๆ นั่นให้เป็นแผลเหวอะหวะ เธอพยายามจะเอาตัวออกห่างเขาเพราะไม่อยากทนรองรับอารมณ์หงุดหงิดที่ไม่มีเหตุผลของปารวีนัก แต่มันมักจะมีอันให้ต้องเข้าไปพัวพันกับเขาทุกที สุดท้าย... ก็ถูกเขาเล่นกลหลอกล่อให้เธอต้องติดอยู่ใน ‘บ่วงวิวาห์’ กับเขาแบบจำยอม แล้วชีวิตคู่ที่ไม่ได้เกิดจากพื้นฐานของความรักมันจะยืนยาวสักแค่ไหนกัน ในเมื่อเขาจ้องจะคอยทำร้ายจิตใจของเธอเพื่อแก้แค้นแทนแม่ผู้ล่วงลับของเขา ในขณะเดียวกัน... นับวันเธอก็รู้สึกเหมือนจะยิ่งผูกพันกับเขาไปทั้งใจ “อย่าเล่นบ้าๆ นะญาตาวี!” “เล่นบ้าๆ อย่างนั้นเหรอคะ? ฉันว่าไม่ใช่มั้ง เพราะดูเหมือนคุณเองก็ต้องการไม่ใช่เหรอ?” เจ้าของร่างบางค่อยๆ คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนเตียงนอนระหว่างขาทั้งสองข้างของเขา ก่อนโน้มตัวมาข้างหน้าจนใบหน้าหวานอยู่ห่างใบหน้าคมคายของเขาไม่ถึงคืบ “อย่าทำอย่างนี้นะญาตาวี เธอไม่รู้หรอกว่าผลที่ตามมามันรุนแรงแค่ไหน” “งั้นเหรอคะ?”

ไฟรักเร่าร้อน NC18++

ไฟรักเร่าร้อน NC18++

โรแมนติก

4.9

คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"

อุ้มรักเจ้านายใจร้าย

อุ้มรักเจ้านายใจร้าย

โรแมนติก

4.8

“ผมยังไม่อยากมีลูก...” นพรดาสะดุดลมหายใจ หัวใจหนาววูบจนชาไปทั้งตัวเมื่อได้ยินคำนั้นจากปากเขา “บอสไม่อยากมีลูก หรือไม่อยากมีลูกกับเก้ากันแน่” “ก็ทั้งสองอย่าง ผมยังไม่พร้อมจะมีลูกหรือมีใครเข้ามาในชีวิตตอนนี้” นพรดาเม้มริมฝีปากแน่น ใจสั่นรัวๆ เมื่อได้ยินถ้อยคำแสลงหูจากปากคนไร้หัวใจ “เอาเถอะ ถ้าคุณมีลูกกับผมจริง เราค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน ถ้าคุณอยากเก็บเด็กไว้แต่เลี้ยงเองไม่ไหวหรือไม่อยากเลี้ยง ผมจะเอาเด็กมาเลี้ยงเอง” ถึงยังไงพ่อกับแม่ของเขาก็อยากมีหลานอยู่แล้วคงไม่ขัดข้องอะไร “แต่ถ้าคุณไม่ต้องการเก็บเด็กไว้ ผมก็ไม่ว่า และเคารพการตัดสินใจของคุณ แล้วก็จะให้เงินคุณก้อนหนึ่งเป็นค่าชดเชยในสิ่งที่คุณต้องเสียไป ถือว่าเป็นความรับผิดชอบจากผมแล้วกัน” นพรดาหันขวับไปมองเขาตาเขม็ง ในใจเริ่มเดือดปุดๆ “แล้วถ้าเก้าไม่ยอมเลือกสองทางนี้ล่ะคะ” “แล้วคุณต้องการอะไรกันล่ะ” “ถ้าเก้าบอกว่าต้องการคุณกับทะเบียนสมรสหนึ่งใบในฐานะเมียและแม่ของลูกคุณล่ะคะ บอสจะว่ายังไง” “ฝันไปเถอะ” “นั่นไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นประโยคบอกเล่า” “ผมขอเตือนคุณไว้สักอย่างนะนพรดา หากคุณโลภมากและเรียกร้องสถานะเกินตัว คุณก็จะไม่ได้อะไรจากผมเลย แม้แต่ความเป็นพ่อของเด็กถ้าหากว่าคุณท้องขึ้นมาจริงๆ” “ได้ค่ะ งั้นคุณก็จำคำพูดนี้ไว้ให้ดีแล้วกันนะคะ ฉันจะไม่เรียกร้องอะไรจากคุณอีก และคุณเองก็ไม่มีสิทธิ์จะมาเรียกร้องอะไรจากฉันเหมือนกัน แล้วถ้าฉันเกิดมีลูกขึ้นมาจริงๆ ฉันก็จะบอกเขาว่าพ่อเขาตายไปแล้ว แต่ถ้าลูกอยากมีพ่อ ฉันก็จะหาพ่อใหม่ให้เขาสักคน อืม...แบบนี้ก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ” อย่านะ...อย่ามาเสียดายทีหลังก็แล้วกันคนใจร้าย!

ผัวท่านประธาน ปล่อยฉันเถอะ!

ผัวท่านประธาน ปล่อยฉันเถอะ!

โรแมนติก

4.7

ในคืนวันเกิดอายุยี่สิบสองปี ลี่เฉี่ยนโลว่ถูกแฟนหนุ่มวางยา และไปมีอะไรกันกับซือจิ้นเหิง ผู้ชายลึกลับคนหนึ่งตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นเธอพบว่าครอบครัวเธอถูกทำลายจนไม่มีอะไรเหลือ เธอแต่งงานกับจิ้นเหิง ได้รับการคุ้มครองจากเขา และใช้เขาเพื่อแก้แค้น "ฉันเป็นภรรยาที่ถูกกฎหมายของเขา" แม้ว่าแม่สามีของเธอจะไม่ยอมรับ แม้ว่าแฟนสาวที่เป็นซุปเปอร์สตาร์ของเขาจะตามมาอยู่ด้วยกัน เธอก็ยังคงยืนยันอยู่อย่างนั้น เธอแท้งโดยบังเอิญ แต่เขากลับเข้าใจผิดว่าเธอไม่อยากมีลูกกับเขา และด้วยความเข้าใจผิดต่าง ๆ อีกหลายหย่าง เธอเลือกที่จะกระโดดลงทะเลเพื่อฆ่าตัวตาย หลายปีต่อมา เมื่อเธอกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เขาถึงกับตกตะลึง ชายคนนี้ได้สิ่งที่ต้องการจากเธอแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังรังควานและทรมานเธอต่อไป

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

โรแมนติก

5.0

หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ