เกือบหนึ่งพันปีที่เฝ้ามอบถวายชีวิตของตัวเองคอยรับใช้นายท่านนาสูร และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกอนาคตตัวเอง เขากลับเคว้งคว้างเดินไม่ถูก และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อโชคชะตาส่งเด็กน้อยตัวเล็กอายุไม่กี่เดือนมาให้เขาได้ดูแล ‘เดหลี’ เขาดูแลเด็กน้อยไม่ต่างจากลูก แม้จะรู้ดีว่าอนาคตเด็กคนนี้จะเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง ‘พาที’ นั่งใช้ความคิดอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่นของบ้านที่ตนเองและเดหลีอาศัยอยู่ด้วยกัน เพลานี้เด็กน้อยอายุเจ็ดขวบ เผลอแป๊บเดียวจากเด็กน้อยงอแงเอาแต่ใจ นอนตัวแดงแบเบาะ ตอนนี้รู้ความและขี้อ้อนมาก “คุณพาทีคะ คุณพาทีคะ” “หืม! เด็กน้อย” คนถูกเรียกหันมาหาเจ้าของเสียงเล็กสดใสของหนูน้อยวัยเจ็ดขวบ “แต่งงานคืออะไรคะ?” หนูน้อยเกาะแขนของผู้เปรียบเสมือนพ่อของตนเอง “คือคนสองคนรักกัน แล้วก็แต่งงานกัน เดี๋ยวโตขึ้นเดหลีก็จะเข้าใจเอง” พาทีลูบหัวหนูน้อยหน้ากลมที่แนบแขนตัวเองและกำลังแหงนเงยหน้าขึ้นมองจ้องหน้าตัวเอง เหมือนเขาที่กำลังก้มมองหน้ากลมๆ อ้วนๆ ของหนูน้อย “งั้นโตขึ้นเดหลีจะแต่งงาน และคุณพาทีต้องแต่งงานกับเดหลีด้วยนะคะ” “แต่งงานน่ะแต่งได้ แต่กับฉันไม่ได้เดหลี” “ทำไมไม่ได้คะ เดหลีรักคุณพาที ถ้าไม่แต่งกับคุณพาทีจะให้หนูแต่งกับใครคะ” หนูน้อยเจ็ดขวบตอบอย่างฉะฉาน ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘รัก’ และ ‘แต่งงาน’ “โตขึ้นเธอจะรู้เองเดหลี ตอนนี้ได้เวลานอนแล้วนะ ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวฉันเอานมร้อนไปให้ดื่มก่อนนอนนะ” “อุ้มค่ะ” หนูน้อยยอมผละแขนสั้นๆ ที่กอดแขนใหญ่ออกมากางให้อีกฝ่ายอุ้มตัวเองกลับห้องนอน พาทียกยิ้มเอ็นดูท่าทางของหนูน้อยแล้วก็ช้อนอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกแล้วลุกขึ้นจากโซฟาพาเดินกลับห้องนอนด้วยเวลานี้ดึกมากแล้ว
พาทีมองไปเบื้องหน้าที่เด็กสาวตัวเล็กๆ ที่เคยร้องไห้ตามตัวเอง งอแงตัวติดตัวเองในวันนั้น ตอนนี้โตเป็นสาว เดหลีในวัย 22 ปี ทิ้งกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่ลากมาแล้ววิ่งมาสวมกอดเขาเต็มแรงและเขาที่ยืนรอรับไม่คิดว่าเด็กน้อยจะวิ่งมาสวมกอดเกือบหงายหลังล้มไปกับพื้น
“คิดถึงคุณพาทีที่สุดเลยค่ะ” เดหลีในวัยยี่สิบสองปีเอ่ยพร้อมผละออกมาพร้อมเขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มสากของผู้มีพระคุณของตัวเองและพาทีก็ได้แต่ยืนนิ่งอึ้งกับสิ่งที่เด็กสาวทำเหมือนสมัยเด็ก แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กน้อยตัวอ้วนกลมแล้ว พาทีรีบผลักเด็กสาวออกห่าง
“ไม่เหมาะสมเดหลี” เขาบอกเธอเสียงเข้มพร้อมกับถอยหลังออกห่าง
“เมื่อก่อนเดหลีก็ยังทำได้เลยนี่คะ” เด็กสาวเอ่ยเอาแต่ใจ
“นั่นเมื่อก่อน แต่ตอนนี้เธอโตแล้วเดหลี ไม่ใช่เด็กอ้วนกลมคนนั้นแล้ว”
เขาตอบเธอกลับแล้วหมุนตัวล้วงกระเป๋ากางเกงเดินเข้าไปในตัวบ้าน ส่วนเดหลีก็เดินกลับไปลากกระเป๋าตัวเองแล้วเดินเข้าบ้านตามเจ้าของบ้าน ผ่านมาจนตอนนี้ผู้มีพระคุณของเธอยังคงหนุ่มแน่น น่าเกรงขาม แม้จะสงสัยในตัวผู้มีพระคุณที่ทำตัวลึกลับ แต่ก็ไม่กล้าถาม
“ฉันบอกเดหลีว่ายังไงหลังเรียนจบ” เมื่อเด็กสาวเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋านั่งลง พาทีก็เอ่ยถามถึงคำสั่งของตัวเองก่อนหน้านี้
“ให้เดหลีทำงานที่กรุงเทพค่ะ”
“แล้วทำไมถึงกลับมาที่นี่” เขาถามเธอ
“ก็คุณพาทีอยู่ที่นี่ เดหลีอยากมาช่วยงานคุณพาทีค่ะ” เธอบอกอย่างไม่สนใจแล้วก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลังออกมากดเล่น
“ฉันบอกแล้วยังไงว่างานที่นี่ไม่เหมาะกับเธอเท่างานที่กรุงเทพ”
“ตรีศูลบอกว่าตอนนี้ที่ฟาร์ม ที่โรงงานของเรางานเยอะมาก และตรีศูลก็จะกลับมาช่วยงานคุณมังกรกัณฐ์กับคุณณิสาเหมือนกันค่ะ” เธอเงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์ตอบแล้วก้มลงเขี่ยหน้าจอเล่นต่อ
“เดี๋ยวนี้ไม่เชื่อฟังกันแล้วเหรอเดหลี” น้ำเสียงของพาทีเข้มขึ้นและห้วนแข็งพร้อมกับดวงตาของเขาทอไปด้วยความกรุ่นโกรธ
“ทำไมคุณพาทีถึงอยากผลักไสเดหลีไปอยู่ในที่ไกลๆ ด้วยคะ”
“ฉันทำเพื่อเธอนะเดหลี”
“ไม่ใช่! คุณพาทีทำเพื่อตัวเองต่างหาก” แล้วเธอก็ลุกขึ้น
“นั่งลงเดหลี” พาทีสั่งเสียงดัง
“เดหลีจะเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องค่ะ คุณพาทีไล่เดหลียังไง เดหลีก็ไม่ไป เดหลีโตมากับบ้านหลังนี้ เดหลีไม่ไป เดหลีจะอยู่ที่นี่” แล้วเธอก็เดินไปหยิบกระเป๋า
“ฉันสั่งให้นั่งลงเดหลี! นั่งลง!” พาทีตะโกนสั่งเสียงดังกว่าเดิมและใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล
“ทำไมคะ ทำไมต้องผลักไสเดหลีไปที่อื่นด้วย” แล้วเธอก็ยอมปล่อยมือจากกระเป๋านั่งลงเหมือนเดิม
“เดี๋ยวนี้ต่อปากต่อคำเก่งเกินไปแล้วนะเดหลี ไม่เชื่อฟังฉันแล้วเหรอ?” น้ำเสียงของพาทีแสดงถึงความโกรธ ไม่พอใจในตัวสาวน้อยที่ตัวเองเลี้ยงมาตั้งแต่ตัวแดงแบเบาะ
“เดหลีไม่ได้เถียง เดหลีแค่อธิบายค่ะ”
“นั่นแหละเขาเรียกเถียง พรุ่งนี้กลับกรุงเทพแต่เช้า ฉันจะไปส่งเอง” แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินหนีออกจากห้องนั่งเล่นทิ้งให้เด็กสาวนั่งหน้างอคนเดียว
“คนใจร้าย! ใจร้ายๆๆๆ ใจร้ายที่สุด เดหลีเกลียดคุณพาที ได้ยินไหมคะ เดหลีเกลียด!” เธอตะโกนไล่หลังคนตัวโตที่เดินจากไปแล้วก็ลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเดินทางตัวเองแล้วลากออกจากบ้าน
ด้านคฤหาสน์หลังใหญ่ มังกรกัณฐ์มองเจณิสา ภรรยาตัวเองกับลูกชายที่นั่งกินขนมกันอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้วก็ส่ายหน้า เวลาผ่านมานาน ภรรยาคนสวยก็ยังสวยงดงามดั่งเช่นครั้งแรกที่เจอกัน แม้อายุของเจณิสาจะมากแล้ว แต่ผิวพรรณยังคงผุดผ่องสวยงามเหมือนสาวแรกแย้ม ทรวดทรงองค์เอวก็ยั่วยวนเหมือนเช่นเดิม หลังจากเจณิสาคลอดลูก เขาก็ทำพิธีแบ่งชีวิตให้ภรรยาเพื่อจะอยู่ด้วยกันตลอดกาล
“ผมชักสงสัยแล้วสิว่าผมมีลูกชายคนเดียวหรือมีสองคนเจณิสา” มังกรกัณฐ์เอ่ยขึ้นเมื่อภรรยาและลูกชายแย่งขนมกันทานเล่น
“แล้วคุณคิดว่าไงคะคุณมังกรกัณฐ์” เธอปล่อยมือจากขนมตรงหน้ามาถามสามีกลับ
“ผมว่าผมมีลูกสองคน คุณกับตรีศูล”
มังกรกัณฐ์ตอบภรรยาและมองหน้าลูกชายคนเดียวของตัวเอง ในตอนแรกอยากมีลูกสาวเพิ่มอีกคน แต่ตอนเจณิสาคลอดตรีศูลกว่าจะคลอดเจ็บท้องคลอดสามวันสามคืนและเขาไม่ปรารถนาจะเห็นความเจ็บปวดของเธออีกครั้งจึงมีแค่ตรีศูลคนเดียวแม้จะอยากมีลูกสาวมากก็ตาม แต่ยังโชคดีที่มีเดหลีเข้ามาเติมเต็มความฝันอยากมีลูกสาวให้ตัวเอง เขากับภรรยาและพ่อกับแม่เลี้ยงเดหลีน้อยตั้งแต่แบเบาะ และเดหลีกับตรีศูลก็มาพร้อมกัน ทั้งสองเปรียบเหมือนพี่น้องกันแม้จะต่างสายเลือดต่างเผ่าพันธุ์กัน
“สามค่ะ รวมเดหลีด้วยอีกคน” เจณิสาส่งยิ้มให้สามี
“พี่เดหลีก็กลับมาแล้วนะครับพ่อ แม่” ตรีศูลเอ่ยบอกพ่อกับแม่
“อือ...ทุกอย่างเป็นโชคชะตาที่เดหลีเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าลุงพาทีจะอยากผลักไสก็ตาม” มังกรกัณฐ์เอ่ย
“ตรีศูลไม่เข้าใจ ทำไมปู่พาทีถึงไม่อยากให้พี่เดหลีกลับมาอยู่ด้วย ที่บ้านเรา ที่โรงงานเรา ฟาร์มเรามีงานเยอะแยะที่รอพี่เดหลีมาช่วย” คนที่เก่งเกินอายุเอ่ยอย่างสงสัย ปีนี้ตรีศูลอายุยี่สิบเอ็ดปี แต่ก็เรียนจบปริญญาตรีตั้งแต่อายุยี่สิบปี
“ตรีศูลก็รู้ว่าปู่พาทีกับหนูเดหลีแตกต่างกันยังไง เดหลีเป็นมนุษย์ ปู่พาทีของลูกเป็นยักษ์” เจณิสาเอ่ย
“แล้วยังไงครับ ขนาดแม่ณิสากับย่าน้องยังรักปู่นาสูรกับรักพ่อได้เลย แล้วทำไมพี่เดหลีจะอยู่กับปู่พาทีไม่ได้” ตรีศูลพอจะรู้เรื่องชะตาของทั้งสองจากพ่อและปู่ของตัวเองเล่าให้ฟังมาบ้าง
“มันไม่เหมือนกันตรีศูล ตลอดเวลาเกือบหนึ่งพันปีที่ปู่พาทีของลูกมีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยมีชีวิตเพื่อตัวเองเลยสักครั้ง ชีวิตที่ผ่านมาของเขาทุ่มเทเพื่อพ่อกับปู่ของลูกมาตลอด แต่พอเป็นเรื่องของตัวเอง ปู่พาทีของลูกก็คิดไม่ตกว่าควรจะเดินตามชะตากำหนดหรือหนีโชคชะตาของตัวเอง” มังกรกัณฐ์เอ่ยบอกลูกชาย
“คืนนี้ผมจะไปค้างที่เขากับปู่นาสูรและย่าน้องนะครับ” พูดจบหนุ่มเลือดผสมก็หายตัวไปจากห้องนั่งเล่น ไม่รอให้พ่อกับแม่ตอบ
“ดูลูกชายคุณมังกรกัณฐ์สิคะ” เจณิสาส่ายหน้าให้กับความคิดเร็วทำเร็วของลูกชาย
“ไม่ใช่ของผมคนเดียวสักหน่อย เนี่ยก็เริ่มดึกแล้ว เราขึ้นห้องกันเถอะเจณิสา” มังกรกัณฐ์เอ่ยส่งสายตาหวานกรุ้มกริ่มอย่างมีความหมายให้ภรรยาและเจณิสาก็ก้มหน้าแดงอายหนีสายตากระหายของสามี
“ไปกันเถอะทูนหัว” แล้วเขาก็ตวัดมือครั้งเดียว เขาและภรรยาคนสวยก็มาอยู่บนห้องนอนส่วนตัวเรียบร้อย
ด้านคนน้อยเนื้อต่ำใจก็เดินลากกระเป๋าออกมาจากฟาร์มเรื่อยๆ ไม่สนใจว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว เธอเดินลากกระเป๋าเดินทางไปตามริมถนนเรื่อยๆ ทั้งน้ำตา และเหมือนฟ้าไม่เข้าข้างเธอ อยู่ๆ ฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะตกก็กระหน่ำมาอย่างรุนแรงจนต้องรีบวิ่งไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่
“คนใจร้าย! ใจร้าย! คุณพาทีไม่เคยแคร์เดหลีเลยใช่ไหมคะ อึก!” เธอบ่นพึมพำตัดพ้อเจ้าชีวิตตัวเองและเป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอเฝ้ามองมาตลอดตั้งแต่วัยเด็ก จะว่าแก่แดดก็ว่าได้ หัวใจและร่างกายนี้ของเธอมันพร้อมจะเป็นของเขามาตลอดและมีแค่เขาเท่านั้นที่จะได้ครอบครองมัน
เปรี้ยง! ซ่า!
เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังไปทั่วพร้อมกับฝนที่ตกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และเนื้อตัวของเธอก็เปียกปอนเหมือนลูกหมาตกน้ำก็ไม่ปานในตอนนี้
ฮือๆๆ
“คนใจร้าย! คุณพาทีใจร้าย!” เธอร้องตะโกนแข่งกับเสียงฟ้าเสียงฝนแล้วยกมือปาดเช็ดน้ำตากับน้ำฝนที่ไหลเข้าตาตัวเองออกด้วยความเสียใจ
ด้านพาทีก็ยืนมองไปนอกระเบียงกระจกของห้องที่ตอนนี้ฝนกระหน่ำรุนแรง เขามองภาพที่สะท้อนในกระจกเป็นภาพของเดหลีที่กำลังตะโกนตัดพ้อเขาแข่งกับเสียงฝน
“เป็นแบบนี้ดีแล้วพาที”
เขาพึมพำกับตัวเองแล้วตวัดมือไล่ภาพตรงหน้าทิ้งแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำนอน ให้เด็กน้อยเจ็บปวดจากตนและตัดใจจากตนตอนนี้ดีกว่าปล่อยให้เดหลีถลำลึกไปมากกว่านี้ ไม่ใช่มองและอ่านใจของสาวน้อยไม่ออก เขารู้มาตลอดว่าเดหลีคิดเช่นไรกับตนเอง แต่เป็นตัวเขาเองที่ไม่สามารถจะทำเช่นนั้นกับเด็กที่ตัวเองเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะได้
นานเกือบชั่วโมงกว่าฝนจะหยุดตก พอฝนหยุดเดหลีก็สูดลมหายใจเข้าปอดปลุกใจตัวเองแล้วลากกระเป๋าที่เปียกไม่ต่างจากตัวเองเดินไปตามริมถนนต่อ เวลานี้ดึกมากแล้ว ไม่มีแม้แต่รถสักคันจะแล่นผ่านมา พอเดินไปได้สักพักก็เจอกับรถยนต์ที่ขับผ่านมา เธอจึงรีบทิ้งกระเป๋าวิ่งไปตัดหน้ารถให้รถยนต์คันนั้นจอด
“อยากตายรึไงคนสวย” หนุ่มฉกรรจ์หน้าบากมีแผลเป็นผ่าหน้าลดกระจกลงตะโกนถามเธอพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนที่นั่งอยู่เบาะหลังรถเปิดประตูลงมาจากรถ
เดหลีรู้สึกได้ถึงความอันตรายจึงก้าวถอยหลังทีละก้าวเพื่อจะวิ่งหนี แต่ก็ถูกชายฉกรรจ์หน้าบากและอีกคนที่นั่งข้างคนขับเปิดประตูลงมาวิ่งมาล้อมเธอไว้ก่อน ‘ตายแล้วเดหลี’ เธอได้แต่อุทานกับตัวเองในใจเมื่อมองชายร่างใหญ่หน้าตาน่ากลัวและใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเครา
“จะไปไหน ไม่ใช่ต้องการให้เราสี่คนช่วยเหรอถึงได้วิ่งมาตัดหน้ารถพวกพี่แบบนี้คนสวย” หนุ่มหน้าบากเอ่ยพร้อมกับยื่นมือมาจะจับลูบไล้หน้านวลเนียนของหญิงสาวที่เปียกปอนเหมือนลูกหมาข้างถนน
“ฉันนึกว่าเป็นรถของเพื่อนฉันเลยวิ่งออกไปตัดหน้า” เธอบอกแล้วมองดูหน้าชายหนุ่มทั้งสี่คนสลับกันไปมาด้วยความสั่นกลัว
“งั้นก็คิดว่าพวกพี่ทั้งสี่คนเป็นเพื่อนซะสิ ไปสนุกกันเถอะคนสวย” หนุ่มหน้าบากคนเดิมเอ่ยพร้อมพยักหน้าสั่งเพื่อนให้ล็อกตัวหญิงสาวไว้
“ว้าย! คุณพาทีช่วยเดหลีด้วยค่ะ ช่วยด้วย!”
เดหลีร้องดิ้นขัดขืน แต่ก็ถูกหนุ่มร่างใหญ่สองคนจับล็อกไว้แน่นจนไม่อาจจะดิ้นหลุดหนีไปได้
“แถวนี้มันเปลี่ยวไม่รู้รึไงคนสวย และฝนเพิ่งหยุดตกด้วย ยากที่จะมีรถผ่านทางมา ไปกับพวกพี่ดีกว่าคนสวย ไปสนุกกันเถอะ อุ้มเธอไปที่รถ” ชายคนเดิมเป็นคนพูดพร้อมกับสองคนยกหิ้วแขนทั้งสองข้างเธอพาไปที่รถที่จอดอยู่ อีกคนเดินไปเปิดประตูรถรอ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงคุ้นเคยดังขึ้น
“ปล่อยคนของฉันเดี๋ยวนี้!” ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกขอความช่วยเหลือ คนที่เพิ่งล้มตัวลงนอนก็มาโผล่ตรงนี้ทันทีพร้อมกับใช้พลังตัวเองผลักผู้ชายที่บังอาจแตะต้องคนของตัวเองกระเด็นออกไปให้พ้นทาง
ตุ้บ!
สองคนที่หิ้วยกเดหลีกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ด้านข้างถนนและนั่นทำให้คนที่เปิดประตูรอและหนุ่มหน้าบากหันมามองทางผู้มาใหม่ ส่วนเดหลีเมื่อเป็นอิสระก็วิ่งไปหลบหลังของผู้เป็นเจ้าชีวิตตัวเอง
“คุณพาทีช่วยเดหลีด้วยค่ะ เดหลีกลัว” เธอเอ่ยเสียงสั่น
“ไม่ต้องกลัวเด็กน้อย” พาทีหันมายิ้มให้คนที่หลบอยู่ด้านหลังตัวเองพร้อมลูบหัวทุยเล็กแล้วเธอก็หมดสติไปพร้อมกับแขนของเขาตวัดกอดอุ้มเธอไว้ด้วยแขนข้างเดียว
“แกเป็นใคร?” หนุ่มหน้าบากร้องตะโกนถามพร้อมเดินไปหยิบปืนที่มีติดรถมาเล็งไปทางคนที่ทำร้ายเพื่อนตัวเอง ส่วนสองคนที่กระเด็นไปกระแทกต้นไม้ก็ลุกเดินมาสมทบเพื่อนตัวเอง ตอนนี้ทั้งสี่หนุ่มยืนเรียงแถวหน้ากระดานมองมาทางเขาพร้อมอีกคนมีปืนในมือ
“ยิงดูสิ ถ้ากูไม่ตาย พวกแกตาย!” น้ำเสียงเยือกเย็นดังลอดออกมาจากริมฝีปากพร้อมกับช้อนอุ้มร่างน้อยเดหลีขึ้นแนบอกแล้วเดินเข้าไปหาพวกไม่รู้จักชะตาชีวิตทั้งสี่คน บังอาจนัก กล้าแตะต้องคนของตนเอง
“อย่าเข้ามานะเว้ย! ฉันยิงแกจริงๆ นะเว้ย!” ชายหน้าบากตะโกนบอกสั่งมือสั่น เมื่อผู้ชายตรงหน้าเดินเข้ามาพร้อมกับดวงตาวาวโรจน์ประกายเป็นสีแดงเพลิง และไม่รู้ว่าโผล่มาได้ยังไง
“บอกแล้วไงว่าให้ยิง ถ้ากูไม่ตาย พวกมึงทั้งสี่ตาย” ไม่ใช่คำขู่ แต่เขาจะทำแบบที่พูดจริงๆ
ปัง! ปัง! ปัง!
คนหน้าบากรัวกระสุนปืนใส่คนที่เดินเข้ามาหาตัวเองกับเพื่อนรัวๆ แต่เหมือนว่ามันจะไม่กระทบผิวของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“เป็นไปได้ยังไง มันยิงไม่เข้า” หนึ่งในเพื่อนของคนหน้าบากเอ่ยเสียงสั่นพร้อมกับมองหาทางหนี
“บอกแล้วใช่ไหมว่าถ้ากูไม่ตาย พวกมึงตาย” พาทีเอ่ยเสียงเหี้ยมแล้วก็ตวัดมือผลักทั้งสี่คนไปกระแทกกับรถด้านหลังพร้อมกับเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วควักหัวใจของเดนมนุษย์ทั้งสี่คนเรียงกันในเวลาไม่กี่อึดใจ หัวใจทั้งสี่ดวงถูกควักออกมาอย่างเหี้ยมโหดและสิ้นลมในทันที
“บทลงโทษที่พวกมึงกล้าแตะต้องคนของกู”
พาทีเอ่ยกับทั้งสี่ศพ ตลอดชีวิตที่อยู่มาเกือบหนึ่งพันปี เขาไม่เคยฆ่ามนุษย์สักครั้ง แต่พวกเดนมนุษย์พวกนี้สมควรตาย พาทีมองหัวใจทั้งสี่ดวงในอุ้งมือตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือดแล้วเขาก็ใช้พลังของตัวเองปกปิดการตายของทั้งสี่คนเหมือนกับว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ศพทั้งสี่และรถยนต์ก็หายไปจากตรงหน้า หายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับคราบเลือดและหัวใจในมือของเขาก็หายไป
“กลับบ้านของเรากันเดหลีน้อย” แล้วเขาก็พาคนหมดสติกลับบ้านของตนเองและกระเป๋าเดินทางของเธอก็ไม่ลืมเอากลับไปด้วย
หนังสืออื่นๆ ของ ณิการ์
ข้อมูลเพิ่มเติม